(ภาพวาดของเรือ Mary Celeste ในปี 1861 (ในเวลานั้นชื่อ Amazon) โดยศิลปินที่ไม่รู้จัก)
Mary Celeste เป็นเรือใบลำหนึ่งที่ยังเป็นปริศนาและกลายเป็นเรื่องเล่าลือว่าเป็นเรือผีสิงเช่นเดียวกับ Flying Dutchman และ RMS Queen Mary
ที่โด่งดัง โดยเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 1872 เรือที่รู้จักกันในชื่อ Mary Celeste ถูกพบลอยอยู่ในทะเลที่แปรปรวนของมหาสมุทรแอตแลนติก ใกล้กับหมู่เกาะ Azores ประมาณ 1,000 ไมล์ทางตะวันตกของโปรตุเกส โดยเรืออยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมสำหรับการเดินเรือ แต่เมื่อขึ้นไปบนเรือกลับพบว่าลูกเรือทั้งหมดได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งปริศนานี้ยืนยงมากว่า 135 ปี
ย้อนกลับไปในเดือนมกราคม 1885 เรือได้ชนเข้ากับแนวปะการัง Rochelois Reef และอับปางลงนอกชายฝั่งเกาะ Haiti กัปตันของเรือ Gilman Parker ได้ถูกกล่าวหาว่าจงใจทำลายเรือเพื่อฉ้อโกงประกันภัย โดยขายสิทธิ์ในการกู้ซากเรือให้กับกงสุลอเมริกันในราคา 500 ดอลลาร์ และเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามมูลค่าของสินค้าบนเรือ
แต่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ 13 ปีก่อนหน้านั้น ซึ่งเป็นจุดจบของผู้คนทั้งหมดบนเรือ Mary Celeste ก่อนที่จะได้แล่นออกไปในทะเลอีกครั้ง ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ของความลึกลับที่ยืนยงมากที่สุด
ลูกเรือที่หายไปของ Mary Celeste
จากซ้ายไปขวา: Benjamin Briggs, กัปตันเรือ Mary Celeste - Albert C. Richardson, Sarah Briggs - wife of Benjamin Briggs,
Sophia Briggs - daughter of Benjamin (Public Domain)
Mary Celeste เป็นเรือใบสองเสามีความสูงของเสากระโดง 100 ฟุต สัญชาติอเมริกัน แล่นออกจากท่าเรือในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เพื่อไปสู่เมืองเจนัว ในอิตาลี เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 1872 เป็นเรือค้าขายที่มีสินค้าส่วนใหญ่เป็นแอลกอฮอล์แปรสภาพ โดยเปิดตัวภายใต้การลงทะเบียนของอังกฤษในปี 1861 ในชื่อว่า “The Amazon” ที่อู่ต่อเรือใน Spencer Island,แคนาดา
เรือถูกปล่อยลงสู่ทะเลปีเดียวกับปีที่เกิดสงครามกลางเมืองอเมริกาขึ้น โดย Mary Celeste มีความยาว 31 เมตรกว้าง 7.6 เมตร ระวางขับน้ำ 282 ตัน
เจ็ดปีต่อมา เรือได้เปลี่ยนเจ้าของเป็นชาวอเมริกัน และเปลี่ยนชื่อเป็น " Mary Celeste "
เรือยังคงออกแล่นอย่างไม่หยุดนิ่ง จนในปี 1872 ที่ต้องเดินทางจากนิวยอร์กไปยังเจนัว มีกัปตันเรือคือ Benjamin Briggs ที่กล่าวกันว่าเป็นคนที่ไม่ดื่มเหล้าและเป็นคริสเตียนที่เคร่งศาสนา กัปตัน Briggs ยังได้รับการอธิบายว่าเป็นเจ้าหน้าที่ที่กล้าหาญที่จะไม่ทิ้งเรือของเขาเว้นแต่เพื่อเป็นการช่วยชีวิต
โดย Albert Richardson เพื่อนร่วมงานคนแรกได้รับการพิจารณาจากกัปตัน Briggs ว่าเหมาะสมในการเป็นผู้บังคับบัญชา นอกจากนี้ ยังมีภรรยาของกัปตัน Briggs ลูกสาววัยทารกของเขา และลูกเรืออีกหกคนที่อยู่บนเรือ Mary Celeste
ความลึกลับของ Mary Celeste เริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคม 1872 หลังจากการขนถ่ายสินค้าถังแอลกอฮอล์ขึ้นบนเรือ 1701 บาร์เรล และเริ่มออกเดินทางในวันที่ 7 พฤศจิกายนจากท่าเรือนิวยอร์ก ล่องไปในมหาสมุทรแอตแลนติก จนกระทั่ง 4 ธันวาคม Dei Gratia นักเดินเรือชาวอังกฤษได้ค้นพบเรือ Mary Celeste ที่กำลังแล่นอยู่ระหว่าง Azores และโปรตุเกสอย่างไร้จุดหมายโดยไม่พบคน
อาหารที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งในห้องโดยสารของเรือ จากการสังเกตุของ Dei Gratia เมื่อตอนขึ้นเรือ Mary Celeste ในวันที่ 5 ธันวาคม 2415
( Cr. Archivist / Adobe Stock)
เมื่อตรวจสอบใกล้ชิด Dei Gratia ค้นพบว่า ลูกเรือของ Mary Celeste ไม่ได้อยู่บนเรือ และบันทึกรายการสุดท้ายในบันทึกประจำวันของเรือที่ถูกเขียนไว้ในวันที่ 24 พฤศจิกายนก็ไม่มีอะไรผิดปกติ นอกจากนั้นเรือก็ยังอยู่ในสภาพที่พร้อมสำหรับการเดินเรือที่ส่วนใหญ่ยังคงสภาพสมบูรณ์ ส่วนอาหารและน้ำก็มีเพียงพอสำหรับหกเดือน
ตามคำอธิบายของกัปตัน David Morehouse ของ Dei Gratia ได้ตั้งข้อสังเกตว่าลูกเรือของ Mary Celeste ได้ทิ้ง pipes ขณะถูกสูบบุหรี่เอาไว้ ซึ่ง Morehouse บอกว่านี่เป็นสัญญาณว่า ลูกเรือออกจากเรือด้วยความตื่นตระหนก ยิ่งกว่านั้น เรือชูชีพลำเดียวของเรือตลอดจน chronometer และ sextant (นาฬิกาและเครื่องวัดระยะ) ของเรือก็หายไป
นอกจากนี้ ในการไต่สวนของทหารเรือระหว่างการซักถาม Augustus Anderson (ลูกเรือของ Dei Gratia ) บอกว่า พบเชือก halyard ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นเชือกที่แข็งแรงประมาณ 8 ซม. (3 นิ้ว) หักและห้อยอยู่ด้านข้างของเรือด้วย
จากหลักฐานเหล่านี้ อาจนำสถานการณ์ที่เป็นไปได้มาปะติดปะต่อเป็นสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นกับเรือ Mary Celeste ได้เช่น มีบางอย่างเกิดขึ้นบนเรือ Mary Celeste ซึ่งทำให้กัปตันตกใจและสั่งให้ลูกเรือลงเรือชูชีพและทิ้งเรือไป จากนั้น ก็ใช้เชือก halyard ผูกติดกับเรือชูชีพไว้ และลอยตามหลังเรือไปเรื่อยๆเพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น
แต่นี่อาจกลายเป็นความผิดพลาด และโชคไม่ดีสำหรับกัปตัน Briggs และครอบครัวของเขา รวมทั้งพวกลูกเรือที่เชือก halyard อาจขาดลงในระหว่างพายุที่โหมกระหน่ำ พวกเขาทั้งหมดจึงไม่สามารถกลับไปที่เรือ Mary Celeste ได้
สถานการณ์ข้างต้นอาจเป็นหนึ่งในคำอธิบายที่สมเหตุสมผลและเป็นไปได้มากกว่า สำหรับการหายตัวไปของลูกเรือของ Mary Celeste อย่างไรก็ตาม
ยังไม่มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ที่แท้จริงเกี่ยวกับสาเหตุของการหายไปของกัปตัน Briggs และมีการเสนอทฤษฎีอีกมากมาย รวมถึงกัปตันเรือคนหนึ่งที่ชื่อ David Williams ที่บอกว่าเรือ Mary Celeste ถูกทิ้งร้างอาจเนื่องจาก seaquake ปรากฏการณ์ที่ค่อนข้างพบได้บ่อยในหมู่เกาะ Azores
ซึ่ง Williams ระบุว่า แผ่นดินไหวในทะเลนี้อาจทำให้แอลกอฮอล์ในถัง 6 ถังล้มและหก ทำให้กลัวว่าที่สูบบุหรี่จะเป็นเหตุให้แอลกอฮอล์เกิดการระเบิด กัปตันจึงต้องทิ้งเรือ แม้ว่าตอนค้นเรือจะพบถังเปล่า 9 ถัง แต่ถังก็ทำจากไม้โอ๊คแดงไม้ที่มีรูพรุนมากกว่าถังไม้โอ๊คขาวอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มที่จะรั่วไหลได้
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการบางคนยังเชื่อว่าการระเบิดอาจเกิดขึ้นจริง เช่น Dr. Andrea Sella นักวิทยาศาสตร์ของ UCL ได้แสดงให้เห็นว่าอาจเกิดการระเบิดแบบคลื่นความดันบนเรือ แต่ด้วยอากาศที่ค่อนข้างเย็นจึงไม่ทิ้งเขม่าหรือรอยไหม้ไว้ ดังนั้น แม้ไม่เป็นอันตรายแต่กัปตัน Briggs เห็นเปลวไฟเข้า
อาจจะตกใจจึงทิ้งเรือไป
อีกหนึ่งทฤษฎีที่น่าสนใจ โดย Anne MacGregor ได้ทำสารคดีขึ้นเพื่อชี้ให้เห็นว่า กัปตันของ Mary Celeste กำลังรับมือกับทะเลที่ปรวนแปร, chronometer ที่ผิดพลาดและเครื่องสูบน้ำอุดตันก่อนจะสั่งให้ทุกคนทิ้งเรือ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นอาจทำให้ Briggs มีปัญหาในการพิจารณาว่า น้ำทะเลที่อยู่ในเรืออาจเพิ่มขึ้น และก่อนที่มันจะจม จึงทิ้งเรือได้ดีกว่านั่งรอ
แม้ว่าทฤษฎีข้างต้นดูเหมือนจะเป็นไปได้ แต่การมีอยู่ของพวกเขาก็ไม่ได้หยุดการเผยแพร่ข่าวลือและการคาดเดาเกี่ยวกับชะตากรรมสุดท้าย
โดยกว่าทศวรรษที่ผ่านมา มีข้อเสนอแนะต่าง ๆที่ได้รับการวิเคราะห์ รวมทั้งเรื่องลูกเรือกบฏหรือการฆาตกรรมลูกเรือที่เมา โดยลูกเรือคนอื่นบางคนของ Dei Gratia ที่พบ Mary Celeste ยังแนะนำว่า ทั้งหมดอาจตายด้วยปลาหมึกยักษ์ใต้ทะเล, การลักพาตัวมนุษย์ต่างดาว หรือหนีไปกับเรือซึ่งมีสมบัติลำอื่นและทิ้ง Mary Celeste เพื่อใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไปในสเปน
หลังจากเหตุการณ์ในปี 1872 Mary Celeste ยังออกทะเลอีก 13 ปีก่อนจะถูกจมทิ้งเพื่อหวังเงินประกัน และในปี 2001 ซากของเรือถูกกู้ขึ้นมาโดยการสนับสนุนจากนักเขียน Clive Cussler และjohn debis ผู้กำกับชาวแคนาดา
ต่อมา เรื่องราวของเรือในปี 1872 นี้ได้ถูกนำมาเล่าขานอีกครั้ง โดยนำไปสร้างเป็นละคร สารคดี นวนิยาย รวมถึงภาพยนตร์ ในฐานะเรือปริศนาที่ยังไม่มีคำตอบในปัจจุบัน เช่นเรื่อง “The Mystery of the Mary Celeste” ภาพยนตร์ที่เข้าฉายในปี 1935 เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเรือ Mary Celeste ในแบบฉบับภาพยนตร์ที่ช่วยอธิบายถึงการหายตัวไปของลูกเรือและผู้โดยสาร ส่วนเวอร์ชันที่วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาภายใต้ชื่อ Phantom Ship นั้นจะสั้นกว่าต้นฉบับประมาณ 18 นาที
อนุสรณ์แก่ลูกเรือของ Mary Celeste ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ( lost-at-sea-memorials.com )
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
ความลึกลับของเรือผี " Mary Celeste " ในปี 1872
แต่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ 13 ปีก่อนหน้านั้น ซึ่งเป็นจุดจบของผู้คนทั้งหมดบนเรือ Mary Celeste ก่อนที่จะได้แล่นออกไปในทะเลอีกครั้ง ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ของความลึกลับที่ยืนยงมากที่สุด
เรือถูกปล่อยลงสู่ทะเลปีเดียวกับปีที่เกิดสงครามกลางเมืองอเมริกาขึ้น โดย Mary Celeste มีความยาว 31 เมตรกว้าง 7.6 เมตร ระวางขับน้ำ 282 ตัน
เจ็ดปีต่อมา เรือได้เปลี่ยนเจ้าของเป็นชาวอเมริกัน และเปลี่ยนชื่อเป็น " Mary Celeste "
เรือยังคงออกแล่นอย่างไม่หยุดนิ่ง จนในปี 1872 ที่ต้องเดินทางจากนิวยอร์กไปยังเจนัว มีกัปตันเรือคือ Benjamin Briggs ที่กล่าวกันว่าเป็นคนที่ไม่ดื่มเหล้าและเป็นคริสเตียนที่เคร่งศาสนา กัปตัน Briggs ยังได้รับการอธิบายว่าเป็นเจ้าหน้าที่ที่กล้าหาญที่จะไม่ทิ้งเรือของเขาเว้นแต่เพื่อเป็นการช่วยชีวิต
โดย Albert Richardson เพื่อนร่วมงานคนแรกได้รับการพิจารณาจากกัปตัน Briggs ว่าเหมาะสมในการเป็นผู้บังคับบัญชา นอกจากนี้ ยังมีภรรยาของกัปตัน Briggs ลูกสาววัยทารกของเขา และลูกเรืออีกหกคนที่อยู่บนเรือ Mary Celeste
ความลึกลับของ Mary Celeste เริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคม 1872 หลังจากการขนถ่ายสินค้าถังแอลกอฮอล์ขึ้นบนเรือ 1701 บาร์เรล และเริ่มออกเดินทางในวันที่ 7 พฤศจิกายนจากท่าเรือนิวยอร์ก ล่องไปในมหาสมุทรแอตแลนติก จนกระทั่ง 4 ธันวาคม Dei Gratia นักเดินเรือชาวอังกฤษได้ค้นพบเรือ Mary Celeste ที่กำลังแล่นอยู่ระหว่าง Azores และโปรตุเกสอย่างไร้จุดหมายโดยไม่พบคน
ตามคำอธิบายของกัปตัน David Morehouse ของ Dei Gratia ได้ตั้งข้อสังเกตว่าลูกเรือของ Mary Celeste ได้ทิ้ง pipes ขณะถูกสูบบุหรี่เอาไว้ ซึ่ง Morehouse บอกว่านี่เป็นสัญญาณว่า ลูกเรือออกจากเรือด้วยความตื่นตระหนก ยิ่งกว่านั้น เรือชูชีพลำเดียวของเรือตลอดจน chronometer และ sextant (นาฬิกาและเครื่องวัดระยะ) ของเรือก็หายไป
นอกจากนี้ ในการไต่สวนของทหารเรือระหว่างการซักถาม Augustus Anderson (ลูกเรือของ Dei Gratia ) บอกว่า พบเชือก halyard ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นเชือกที่แข็งแรงประมาณ 8 ซม. (3 นิ้ว) หักและห้อยอยู่ด้านข้างของเรือด้วย
จากหลักฐานเหล่านี้ อาจนำสถานการณ์ที่เป็นไปได้มาปะติดปะต่อเป็นสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นกับเรือ Mary Celeste ได้เช่น มีบางอย่างเกิดขึ้นบนเรือ Mary Celeste ซึ่งทำให้กัปตันตกใจและสั่งให้ลูกเรือลงเรือชูชีพและทิ้งเรือไป จากนั้น ก็ใช้เชือก halyard ผูกติดกับเรือชูชีพไว้ และลอยตามหลังเรือไปเรื่อยๆเพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น
แต่นี่อาจกลายเป็นความผิดพลาด และโชคไม่ดีสำหรับกัปตัน Briggs และครอบครัวของเขา รวมทั้งพวกลูกเรือที่เชือก halyard อาจขาดลงในระหว่างพายุที่โหมกระหน่ำ พวกเขาทั้งหมดจึงไม่สามารถกลับไปที่เรือ Mary Celeste ได้
สถานการณ์ข้างต้นอาจเป็นหนึ่งในคำอธิบายที่สมเหตุสมผลและเป็นไปได้มากกว่า สำหรับการหายตัวไปของลูกเรือของ Mary Celeste อย่างไรก็ตาม
ยังไม่มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ที่แท้จริงเกี่ยวกับสาเหตุของการหายไปของกัปตัน Briggs และมีการเสนอทฤษฎีอีกมากมาย รวมถึงกัปตันเรือคนหนึ่งที่ชื่อ David Williams ที่บอกว่าเรือ Mary Celeste ถูกทิ้งร้างอาจเนื่องจาก seaquake ปรากฏการณ์ที่ค่อนข้างพบได้บ่อยในหมู่เกาะ Azores
ซึ่ง Williams ระบุว่า แผ่นดินไหวในทะเลนี้อาจทำให้แอลกอฮอล์ในถัง 6 ถังล้มและหก ทำให้กลัวว่าที่สูบบุหรี่จะเป็นเหตุให้แอลกอฮอล์เกิดการระเบิด กัปตันจึงต้องทิ้งเรือ แม้ว่าตอนค้นเรือจะพบถังเปล่า 9 ถัง แต่ถังก็ทำจากไม้โอ๊คแดงไม้ที่มีรูพรุนมากกว่าถังไม้โอ๊คขาวอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มที่จะรั่วไหลได้
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการบางคนยังเชื่อว่าการระเบิดอาจเกิดขึ้นจริง เช่น Dr. Andrea Sella นักวิทยาศาสตร์ของ UCL ได้แสดงให้เห็นว่าอาจเกิดการระเบิดแบบคลื่นความดันบนเรือ แต่ด้วยอากาศที่ค่อนข้างเย็นจึงไม่ทิ้งเขม่าหรือรอยไหม้ไว้ ดังนั้น แม้ไม่เป็นอันตรายแต่กัปตัน Briggs เห็นเปลวไฟเข้า
อาจจะตกใจจึงทิ้งเรือไป
แม้ว่าทฤษฎีข้างต้นดูเหมือนจะเป็นไปได้ แต่การมีอยู่ของพวกเขาก็ไม่ได้หยุดการเผยแพร่ข่าวลือและการคาดเดาเกี่ยวกับชะตากรรมสุดท้าย
โดยกว่าทศวรรษที่ผ่านมา มีข้อเสนอแนะต่าง ๆที่ได้รับการวิเคราะห์ รวมทั้งเรื่องลูกเรือกบฏหรือการฆาตกรรมลูกเรือที่เมา โดยลูกเรือคนอื่นบางคนของ Dei Gratia ที่พบ Mary Celeste ยังแนะนำว่า ทั้งหมดอาจตายด้วยปลาหมึกยักษ์ใต้ทะเล, การลักพาตัวมนุษย์ต่างดาว หรือหนีไปกับเรือซึ่งมีสมบัติลำอื่นและทิ้ง Mary Celeste เพื่อใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไปในสเปน
หลังจากเหตุการณ์ในปี 1872 Mary Celeste ยังออกทะเลอีก 13 ปีก่อนจะถูกจมทิ้งเพื่อหวังเงินประกัน และในปี 2001 ซากของเรือถูกกู้ขึ้นมาโดยการสนับสนุนจากนักเขียน Clive Cussler และjohn debis ผู้กำกับชาวแคนาดา
ต่อมา เรื่องราวของเรือในปี 1872 นี้ได้ถูกนำมาเล่าขานอีกครั้ง โดยนำไปสร้างเป็นละคร สารคดี นวนิยาย รวมถึงภาพยนตร์ ในฐานะเรือปริศนาที่ยังไม่มีคำตอบในปัจจุบัน เช่นเรื่อง “The Mystery of the Mary Celeste” ภาพยนตร์ที่เข้าฉายในปี 1935 เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเรือ Mary Celeste ในแบบฉบับภาพยนตร์ที่ช่วยอธิบายถึงการหายตัวไปของลูกเรือและผู้โดยสาร ส่วนเวอร์ชันที่วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาภายใต้ชื่อ Phantom Ship นั้นจะสั้นกว่าต้นฉบับประมาณ 18 นาที