JJNY : 4in1 ภาคธุรกิจเชื่อมั่นต่ำสุด 29.6│ธุรกิจเล็กเสี่ยงปิดเพิ่ม│ภูมิธรรมถามอนุทิน วิโรจน์เหน็บ│สภาวุ่น ถกกม.ประชามติ

ภาคธุรกิจ ห่วงแพร่ระบาดโควิดครั้งใหม่ ฉุดความเชื่อมั่นต่ำสุดระดับ 29.6
https://www.prachachat.net/economy/news-631890

ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย อยู่ที่ระดับ 29.6 ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ผลจากการแพร่ระบาดครั้งใหม่ กระทบความเชื่อมั่น หวังภาครัฐช่วยคุมสถานการณ์ พร้อมออกมาตรการกระตุ้น โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวที่จะดึงเศรษฐกิจให้ดีขึ้น
 
วันที่ 18 มีนาคม 2564 นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ ที่ปรึกษาประจำของสภามหาวิทยาลัย และประธานที่ปรึกษาโครงการ Harbour Space@UTCC เปิดเผย “ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2564” จำนวน 369 ตัวอย่าง พบว่า

ดัชนีคววามเชื่อมั่น อยู่ระดับที่ 29.6
ขณะที่ ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ระดับ 29.2
การบริโภค อยู่ระดับ 33.0
การลงทุน อยู่ระดับ 28.6 เป็นต้น
 
โดยส่วนใหญ่ต่ำกว่าระดับ 50 โดยมีปัจจัยกระทบจาก ความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัส COVID -19 รอบใหม่ ที่มีการระบาดและมีผู้ติดเชื้อภายในประเทศเป็นจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน การทำธุรกิจ และภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ
 
นอกจากนี้ ภาคธุรกิจยังมีความกังวลเกี่ยวจากเสถียรภาพทางการเมืองและการชุมนุมทางการเมืองในประเทศไทยยังคงมีการขาดดุลการค้า 202.39 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ระดับราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยแก๊สโซฮอล์ ออกเทน 91 (E10 )
 
และแก๊สโซฮอล์ ออกเทน 95 (E10) ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 1.80 บาทต่อลิตร และราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 1.90 บาทต่อลิตร ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าเล็กน้อยจากระดับ 30.006 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก
 
ส่วนปัจจัยบวก ที่มีผลต่อดัชนีตวามเชื่อมั่น เช่น ภาครัฐดำเนินมาตรการเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในโครงการ “คนละครึ่ง” “เราเที่ยวด้วยกัน” “เราชนะ” และ “เรารักกัน” เพื่อช่วยกระตุ้นกำลังซื้อให้ปรับตัวดีขึ้นทั่วประเทศ การเริ่มต้นการฉีดวัคซีนโควิดของรัฐบาลให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมมากขึ้น และจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเริ่มลดลงอย่างชัดเจน รวมถึงการฉีดวัคซีนของทั้งโลกทำให้สถานการณ์โควิดในระดับโลกปรับตัวดีขึ้น
 
กนง. มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 0.50% ต่อปี เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง แต่แรงกระตุ้นจากมาตรการของภาครัฐและการส่งออกที่ฟื้นตัวดีขึ้นส่งผลให้เศรษฐกิจไทยโดยรวมยังขยายตัวได้ การส่งออกของไทยเดือน ม.ค. 64เพิ่มขึ้น 0.35% มูลค่าอยู่ที่ 19,706.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่การนำเข้าลดลง 5.24% มีมูลค่าอยู่ที่ 19,908.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
 
นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ 6 เดือนข้างหน้าสำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจรายจังหวัด พบว่า เศรษฐกิจของจังหวัดโดยรวม 43.4% แย่ลง การบริโภคภายในจังหวัด 44.6% แย่ลง การลงทุนของภาคเอกชนในจังหวัด 50.4% แย่ลง การท่องเที่ยวภายในจังหวัด 53.8% แย่ลง เป็นต้น โดยส่วนใหญ่แล้วภาคธุรกิจยังมองว่า 6 เดือนข้างหน้ายังมองว่าเศรษฐกิจรายจังหวัดยังไม่ดัขึ้น การค้า การบริการ การจ้างงาน เป็นต้น
 
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยเดือน ก.พ. 2564 อยู่ที่ระดับ 29.6 ถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่ปี 2562 หรือประมาณ 26 เดือน
 
ซึ่งส่วนใหญ่ภาคธุรกิจให้ความกังวลเรื่องของโควิด การแพร่ระบาดครั้งใหม่ที่เกิดขึ้น แผนกระตุ้นการท่องเที่ยวโดยเฉพาะการเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งคาดว่าจะเข้ามาเดือนละ 2 ล้านคน และแผนการฉีดวัคซีน ที่ยังไม่ชัดเจน เป็นต้น
 
หากภาครัฐมีความชัดเจนในแผนกระตุ้นเชื่อว่าจะทำให้การท่องเที่ยวกลับมา และทำให้ภาคธุรกิจมีความเชื่อมั่นมากขึ้น พร้อมกันนี้ ความชัดเจนในการฉีดวัคซีน รวมไปถึงเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนช่วยเหลือในการฉีดวัคซีน ซึ่งจะเป็นการประหยัดงบรัฐบาลด้วย หากดำเนินการได้ หอการค้าไทยคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปีนี้ โอกาสจุขยายตัวในกรอบ 2.5-3.5% และหากรัฐมองว่าเศรษฐกิจไทยโต 4% ครึ่งปีหลังภาพรวมเศรษฐกิจต้องโต 8% ซึ่งยากหากไม่ได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยว
 
อย่างไรก็ดี ภาคธุรกิจยังคงกังวลการกระตุ้นการท่องเที่ยว เนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาด หากควบคุมได้ในเดือนมีนาคมนี้ สถานการณ์สงกรานต์น่าจะดีขึ้นประชาชนเชื่อมั่นมากขึ้น การเลือกตั้งท้องถิ่น กระตุ้นการใช้จ่าย ก็จะทำให้เศรษฐไทยดีขึ้นได้ ส่วนมาตรการภาครัฐก็ยังมองว่าเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะเพิ่มการใช้จ่าย กระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้ดี หากแผนกระตุ้นท่องเที่ยวกับมาเชื่อว่าเศรษฐกิจโดยรวมกลับมาดีขึ้นแน่นอน
 
และสิ่งที่ต้องการให้ภาครัฐดำเนินการ เช่น เร่งการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนเพื่อให้สถานการณ์การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับเข้าสู่สภาวะปกติทั้งภาคการค้า การส่งออก และการท่องเที่ยว ส่งเสริมและขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศให้มีความมั่นคงและยั่งยืน
 
โดยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศให้มากขึ้น สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุน และความเชื่อมั่นกับนักลงทุนพร้อมสนับสนุนการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน เร่งฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อลดการตกงาน
 

 
ผลสำรวจพบธุรกิจเล็กเสี่ยงปิดกิจการเพิ่ม
https://tna.mcot.net/business-657701
 
กรุงเทพฯ​18 มี.ค.-PwC ประเทศไทย เผยแนวโน้มผลการดำเนินงานธุรกิจครอบครัวฟื้นตัวจากโควิด-19 ในปี 65 ปีนี้ธุรกิจครอบครัวขนาดเล็กและบริษัทอื่น ๆ เสี่ยงผิดนัดชำระหนี้และอาจมีปิดกิจการเพิ่มขึ้น
 
นายนิพันธ์ ศรีสุขุมบวรชัย หัวหน้าสายงาน Clients and Markets หัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจครอบครัว และ หุ้นส่วนสายงานภาษีและกฎหมาย บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึง รายงานผลสำรวจธุรกิจครอบครัวทั่วโลกประจำปี 2564 (ฉบับประเทศไทย) ของ PwC ซึ่งทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้มีอำนาจตัดสินใจในธุรกิจครอบครัวใน 87 ประเทศและอาณาเขตทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของธุรกิจครอบครัวไทยในปี 2564 จะชะลอตัว เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจและกำลังซื้อของประชาชน ขณะที่มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดในระยะที่สอง ได้ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจบางส่วนหยุดชะงักไปชั่วระยะหนึ่ง อย่างไรก็ดีเชื่อว่า ตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีนี้แนวโน้มเศรษฐกิจและกำลังซื้อจะเริ่มฟื้นตัว และจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานในปีหน้าปรับตัวดีขึ้น หลังจากที่ไทยเริ่มมีการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับประชาชนในวงกว้าง
  
ผู้บริหารธุรกิจครอบครัวไทยส่วนใหญ่คาดว่า ในปีนี้ยอดขายและรายได้ของบริษัทจะยังคงไม่ฟื้นตัว. การจัดการสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจจะยังคงเป็นปัญหาอย่างมากสำหรับบริษัทขนาดเล็กที่มีเงินทุนหมุนเวียนจำกัด เพราะวิกฤตโควิด-19 มีความยืดเยื้อและกินระยะเวลานานเกินกว่า 1 ปี ซึ่งต่อจากนี้ไป เราน่าจะเห็นธุรกิจครอบครัวขนาดเล็กและบริษัทอื่น ๆ ที่มีสภาพคล่องไม่พอ มีการผิดนัดชำระหนี้และอาจมีปิดกิจการเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา” นาย นิพันธ์ กล่าว
 
ทั้งนี้ 61% ของธุรกิจครอบครัวไทยที่ถูกสำรวจ กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 จะส่งผลให้ยอดขายในปีนี้ลดลง เปรียบเทียบกับ 46% ของธุรกิจครอบครัวทั่วโลก อย่างไรก็ดี มากกว่า 1 ใน 3 ของผู้บริหารธุรกิจครอบครัวมีความเชื่อมั่นว่า ผลการดำเนินงานจะกลับมาดีขึ้นในปีหน้า โดย 83% ของธุรกิจครอบครัวไทย และ 86% ของธุรกิจครอบครัวทั่วโลกคาดว่า ธุรกิจจะกลับมาเติบโตได้ในปี 2565
 
รายงานของ PwC ยังระบุด้วยว่า วิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้ธุรกิจครอบครัวไทยหันมาให้ความสำคัญต่อความอยู่รอดของธุรกิจในระยะยาว รวมถึงการขยายตลาด และฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ โดยธุรกิจครอบครัวไทยมากกว่าครึ่ง หรือ 56% มุ่งเน้นในการบริหารกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอดและปกป้องธุรกิจที่เป็นธุรกิจหลัก (Core business) ขององค์กร นอกจากนี้ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และการเปลี่ยนองค์กรสู่ดิจิทัล (Digitalisation) ยังเป็นกลยุทธ์ที่ธุรกิจครอบครัวจะนำมาใช้ในอีกสองปีข้างหน้า
 
ในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมากกว่าในอดีต เช่นเดียวกับเทรนด์และพฤติกรรมผู้บริโภค ฉะนั้น ธุรกิจครอบครัวที่ไม่ได้เตรียมรับมือ หรือปรับธุรกิจให้เหมาะสมกับกระแสการเปลี่ยนแปลงนี้ จะมีขีดความสามารถในการแข่งขันน้อยและจะยิ่งดำเนินธุรกิจได้ยากลำบากขึ้น”  นาย นิพันธ์ กล่าว
 
เมื่อพิจารณาถึงความชัดเจนของบทบาท หน้าที่ และจุดแข็งของผู้นำธุรกิจครอบครัวไทย เปรียบเทียบกับธุรกิจครอบครัวทั่วโลก พบว่า ธุรกิจครอบครัวไทยมีแนวโน้มที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้น้อยกว่า โดยมีเพียง 28% ของผู้นำธุรกิจครอบครัวไทยเท่านั้นที่ระบุว่า ธุรกิจมีความสามารถทางด้านดิจิทัลสูง เปรียบเทียบกับ 38% ของธุรกิจครอบครัวทั่วโลก
 
จากผลสำรวจพบว่า ธุรกิจครอบครัวทั่วโลกส่วนใหญ่ยังคงใช้แหล่งเงินทุนแบบดั้งเดิมในการขับเคลื่อนธุรกิจ เช่น กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และสินเชื่อจากธนาคาร ขณะที่ 25% ของธุรกิจครอบครัวไทยต้องการแหล่งเงินทุนเพิ่มในช่วงปีที่ผ่านมา (เปรียบเทียบกับทั่วโลกอยู่ที่ 21%)
  
นาย นิพันธ์ กล่าวต่อว่า ธุรกิจครอบครัวขนาดเล็กที่มีความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน หรือที่ปรึกษาทางธุรกิจน้อยกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ อาจร่วมมือกับแพลตฟอร์มขนาดใหญ่อย่าง ซูเปอร์แอปพลิเคชัน (Super Application) ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่ครอบคลุมทุกบริการและกลุ่มผู้บริโภค หรือมีลูกค้าที่การเข้าใช้บริการเป็นประจำทุกวันอยู่แล้วเพื่อต่อยอดกิจการ ซึ่งแม้จะมีต้นทุนในการเข้าร่วม แต่จะเป็นการเพิ่มกระแสเงินสดให้เข้าสู่ธุรกิจได้อีกทางหนึ่ง .-สำนักข่าวไทย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่