***ขออนุญาตแก้ไข เพิ่มเนื้อหานะคะ หลังจากกลับมาเปิดอ่าน คุณพระ!!! แชร์กันเยอะมาก
เนื้อหาที่เพิ่มเติมอยู่ด้านล่าง ต่อจากเนื้อหาเก่าและใน ความคิดเห็นที่ 35 นะคะ เพราะยาวมาก เกินอักษรที่กำหนดค่ะ แหะ ๆ - -!***
ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ เข้ามา Comment ติ ชม แนะนำ ในทุก ๆ รูปแบบนะคะ ไหว้ย่อ จขกท. ขอน้อมรับไว้นะครับผม>,<
***เริ่มเนื้อหากระทู้ตั้งต้นตรงนี้เป็นต้นไปนะคะ***
อยากจะแชร์เรื่องราว บางส่วนไว้เป็นแรงบันดาลใจให้หลาย ๆ คนที่กำลังน้อยใจกับโชคชะตาชีวิตต่าง ๆ
เรามันจะได้ยินคำนิยามของตัวเราเองจากคนอื่นว่า
"Strong มาก" "เป็นคนเก่ง" "มีความสามารถ" "แข็งแกร่ง" "เข้มแข็ง"
คนใกล้ตัวก็เห็นเราในมุมเหล่านั้นมาตลอด
คิดอยู่นานหลายปีว่าอยากเล่านะ แต่มันเป็นเหรียญ 2 ด้าน กันคนที่อ่านบทความนี้
ก็จะมีคนที่เห็นแก่นของความสำคัญของเนื้อหาที่อยากจะสื่อ กับคนที่มองว่าเป็นมุมลบ ในบทความต่างๆ ที่พิมพ์ลงมาใน social media นี้
ตอนนี้เราในอายุเกือบ 35 ปี กับเงินเดือน 80k
มองตัวเองกลับไปในหลายช่วงชีวิต
เราเป็นเด็กดื้อเงียบคนหนึ่ง
เราเป็นเด็กกล้ากระโจนไปลองทำสิ่งต่างๆ
เราไม่ได้เป็นเด็กเก่ง ไม่ได้เป็นเด็กขยัน ไม่ได้เป็นเด็กหัวดี
แต่เราได้รับโอกาส และเราก็กระโจนใส่ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต คำว่าที่เรายึดมาตลอดคือ
"ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้"
และเราเชื่อใน GIVE &TAKE
เรามีความสุขกับการให้ ให้อย่างไม่สิ้นสุดและไม่คาดหวัง
และการให้ของเรามันก็สะท้อนผลดีมาให้เราหลายอย่างโดยที่เราไม่รู้ตัว
เรารับรู้มาตลอดว่าสิ่งที่สร้างเราเป็นเราในทุกวันนี้คือ
"แม่"
1. เราเป็นเด็ก 7 เดือน คลอดก่อนกำหนด
2. ญาติฝั่งแม่มีพี่น้อง 4 คน
3. แม่เป็นพี่สาวคนโต เป็นคนสวย คนดังประจำจังหวัด
4. พ่อมีบ้านเล็กบ้านน้อย มาตั้งแต่เราจำความได้
5. เราจำภาพความอบอุ่นของครอบครัว 4 คนพ่อแม่ลูก ได้แค่ถึงประถมต้น
6. หลังจากนั้นความทรงจำคือ เสียงทะเลาะกันตลอดเวลาของพ่อและแม่
7. แม่เป็นคนดูแลเรา 2 คนพี่น้องมาเองโดยตลอด
8. พี่ชายคือ ความหวังของพ่อและแม่
9. พี่ชายคือ คนหัวดี เรียนเก่ง
10. เราเดินตามทางพี่ชายมาตลอดจนถึงม.4
11. เราอยู่ในกรอบที่แม่วางไว้ให้
12. แม่เลือกให้เรียนประถมในโรงเรียนคริสเตียน เพราะช่วยเรื่องภาษาอังกฤษ ที่เราต้องเรียนเทอมละ 3 เล่ม
13.แม่เลือกให้เราไปเรียนดนตรีไทยเพราะใช้เป็นความสามารถพิเศษสอบเข้ามัธยม โรงเรียนสตรีล้วนประจำจังหวัด
14. แต่เราก็สอบเข้าได้โดยการสอบวิชาการ
15. เราอยู่มัธยมช่วงวัยรุ่นที่เป็นเด็กคนหนึ่งที่มีจุดเด่นเรื่องความสูง เพราะแม่ให้ดื่มนม 4 ครั้งต่อวัน ตั้งแต่จำความได้
16. แม่เลือกให้เราไปเข้า.Camp กีฬาตอน ม.2 ขึ้น ม.3 ช่วงยืดตัวทำให้เราสูงจนถึงทุกวันนี้
17. แม่เลือกไปฝากเรากับพี่ชายไปแทรกเป็นหน้าม้าเรียนลีลาศตั้งแต่ม.3 เพราะกลัวเราเป็นทอม กลัวพี่ชายติดยา
18. เราก็ไป แต่ก็งอแงตามประสาเด็กวัยรุ่นที่ไม่อยากทำ
19. จนยายเข้ามาดูแลเรา หยิบยื่นโอกาส ให้เราได้เดินทางต่างประเทศตั้งแต่ม.6 ด้วยการไปช่วยหิ้วของมาขาย
20. เราใช้ชีวิตดูไฮโซ ได้ไปต่างประเทศ ได้ไปงานสังคมที่ยายไปออกบูทขายรองเท้า เราคือไปขายรองเท้านั้นแหละ แต่ภาพจำของคนรอบตัวมองเราว่า ซีคือ มีเงิน หารู้ไม่เราไปทำงานแลกเงินค่าขนมจากยาย
21.สมัยเรียนมหาวิทยาลัยเราได้รับโอกาสจากเพื่อนๆ ตั้งให้เราเป็นหัวหน้าสันทนาการของรุ่น ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่รู้ว่าเพราะอะไร
22. เราเป็นเด็กที่น่ารักของอาจารย์ในช่วงปี1-ปี2 เราขยัน ตั้งใจเรียน ชอบถามในชั้นเรียน เกรด2.9-3.1
23. ปี3 ปี4 เราหายไม่เรียน ไปทำงานบ้าง เราไม่ชอบเรียน เกรดเหลือ 2.1-2.3
24. แม่สร้าง PROFILE ของเราด้วยการให้ไป Work & Travel ตอนมหาวิทยาลัย
25. จบมหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุ 21 แล้วก็ไม่หางานเพราะอยากเป็นนางแบบ ตระเวนเดินสายประกวกอาชีพมนุษย์ออฟฟิศก็ไม่รู้ว่าอยากทำอะไร
26. เลยมาลองแข่งลีลาศจริงจังอยู่ ปีกว่า จนมาได้รับข่าวว่า แม่เป็นมะเร็งลำไส้ระยะ3 ในวันเกิดเรา
27. เราโชคดี ได้รับโอกาสออกจากงาน แล้วมาช่วยยายขายของ ยายให้เราออกจากงานมาดูแลแม่
28. แม่อยู่ได้ 6 เดือนหลังจากเราออกจากงานมา
29. สิ่งที่แม่เผชิญอยู่ด้วยตัวคนเดียวคือ หาทางทุกอย่างที่จะหาค่ารักษามาดูแลตัวเอง ไม่สร้างความลำบากให้เราเลย
ทำประกัน/เข้าประกันสังคม/ย้ายรพ.
30. สิ่งที่ติดอยู่ในใจเรา คือเราเป็นสั่งรพ. ว่าไม่ต้องเจาะปอด และไม่ใส่ท่อช่วยหายใจให้แม่
31. และเราก็เห็นเฮือกสุดท้ายที่แม่จากไป
เราได้รับรู้เรื่องราวช่วงสิ้นเดือนมีนาคม 2010
นั้นก็คือ หลังจากที่แม่เสียไปได้ไม่กี่วัน
นับตั้งแต่วันนั้น....
กับอายุตอนนั้น 24 ย่าง 25 เรียนจบเรียบร้อย มีถ่ายแบบได้รางวัลชนะเลิศมา 1 การประกวดลงนิตยสาร Lisa ให้แม่ภูมิใจบนเตียงนอนที่รพ.
เราได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากญาติๆ ว่า
1. เราเป็นลูกที่มีตั้งใจให้เกิด แต่พ่อไม่ได้ตั้งใจให้เกิด
2. พ่อให้แม่ไปทำแท้งเอาเราออก
3. แม่ต้องนอนรพ. ตอนท้องเรา 5 เดือน จนยื้อได้นานสุดคือ 7 เดือนที่เราคลอดออกมา
4. บ้านแม่ แม่เป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง
5. พ่อมีลูก เป็นเด็กน้อยอีก 2 คนจากผู้หญิง 2 คน
6. บ้านสมบัติชิ้นเดียวของแม่ พ่อไม่โอนให้เรา 2 พี่น้อง แล้วเอาไปยื่นเพื่อเอาเงินไปใช้หลายต่อหลายรอบ
สิ่งเหล่านี้คือ สิ่งที่หล่อหลอมให้เราออกจากบ้านเริ่มทำงาน ดูแลตัวเอง สร้างตัวเอง จากเด็กวัย 24 ปี
ไม่มีมรดก ไม่มีทุนทรัพย์สิน มีทุนชีวิตคือ การศึกษา ประสบการณ์ บุคลิกภาพ และความสามารถล้วน ๆ
อยู่คนเดียว คิดคนเดียว พึ่งตัวเอง จนมาเป็นเราถึงทุกวันนี้ มันไม่ง่าย
อยากพิสูจน์ให้เห็นว่า การที่มีภูมิหลังหรือครอบครัวที่มีปัญหา เด็กที่เกิดมามันได้ดี
อย่าโทษครอบครัว อย่าโทษสังคม โทษตัวเองที่ทำเต็มที่แล้วมากพอรึยัง
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับทัศนคติ การมองโลกในแง่ดี การพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
ใช่เราเป็นคนโชคดีที่ได้รับโอกาสมากมาย
แต่ก่อนจะได้รับโอกาส คุณต้องมีของ มีค่า มีข้อดี พอที่คนจะยื่นโอกาสให้ และคุณจะทำโอกาสนั้นให้สำเร็จ
มีใครจะรู้มั้ยว่าเราผ่านอะไรมา ทำอะไรมาบ้าง คนรอบตัวเรา ที่เห็นเราทำงาน จะตอบแทนเราเองว่า
อึดวะ
เก่งวะ
ขยันวะ
คนดีวะ
มีความสามารถวะ
ฉลาดวะ
อ่อนน้อมวะ
น่ารักวะ
ไม่เกี่ยงงานวะ
เพราะเราไม่เคยรอที่โอกาสจะวิ่งมาหาเรา เราวิ่งไปหาโอกาส และมั่นใจ ที่จะทำเต็มที่ในงานทุกอย่าง
และเราก็มีความสุขกับการทำงาน เราสร้างคุณค่าของเรา เราภูมิใจในตัวเอง เราดีใจที่เราสามารถสร้างคุณค่าให้คนอื่น ๆ ต่อไปได้
เพราะฉะนั้นใครที่กำลังท้อแท้กับชะตาชีวิต
หยุดแล้วลองย้อนพิจารณาตัวเอง ทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร มันเป็นผลจากสิ่งที่คุณเลือกและลงมือทำให้ถึงที่สุด
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตอนนี้ เราไม่ได้อยากให้ใครมาสงสาร เห็นใจ หรือชม เยินยอ
วัตถุประสงค์ของโพสนี้
เพื่ออยากสร้างแรงบันดาลใจ ให้กับทุกคนที่เจอปัญหาในสถานการณ์แย่ ๆ ในปัจจุบัน
อยากให้กลับมาเห็นคุณค่าของตัวเอง และสร้างตัวเองขึ้นมาได้
หวังว่าพอจะมีประโยชน์ให้กับใครหลาย ๆ คน
***เริ่มเนื้อหาที่แก้ไขเพิ่มเติมตั้งแต่ตรงนี้เป็นต้นไปค่ะ***
มีคำถามมาหลาย ๆ ช่องทาง ขออนุญาตตอบเนื้อหาเพิ่มเติมนะคะ
1. ทำยังไงถึงเงินเดือนขึ้นมา 80K ได้
ตอบ: เอาตรง ๆ ตอนที่ได้งานนี้ ยังตกใจเลยค่ะ ว่าทำไมเค้าให้เยอะขนาดนี้ มันมากกว่าที่เราคิดมาก ๆ ค่ะ
เริ่ม!!! เราจบมาทำงาน ไม่ตรงสายที่เรียนเลยค่ะ เพราะไม่ชอบ ไม่ถนัด ไม่เก่ง
งานแรกหลังจากแม่เสีย: ในบริษัทสัญชาติไทย ขนาดใหญ่ ระดับมหาชน ทำอยู่เกือบ 2 ปีค่ะ
>>> ไปเป็นผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (หัวหน้าเป็น จป.ค่ะ)
เราเลือกสมัครงานนี้เองเพราะคิดว่าเป็นงานที่ได้เป็นวิทยากร ได้จัดงาน ได้จัดสัมมนา ได้ทำกิจกรรมรณรงค์ ไม่อยากไปเป็นนักบำบัดของเสียตามโรงงาน ก็ชอบระดับหนึ่งแต่ทำงานโรงงานต้องทำวันเสาร์เลยออกค่ะ
เงินเดือนเริ่มต้นอยู่ที่ 12,000 บาท แล้วก็ได้โอกาสจากผู้บริหารได้เป็น 1 ในทีมที่ตั้งขึ้นเพื่อผลักดัน Core Value องค์กร จนเจ้านายพยายามส่งไปเรียน ปรับตำแหน่ง เงินเดือนก่อนออก 18,000 บาทค่ะ รายจ่ายมีแค่ค่าน้ำ ไฟ เพราะอยู่หอพักพนักงาน เดินไป-กลับ ทำงานจันทร์ - เสาร์ ทำ OT เพิ่มด้วย
ช่วงวันหยุดก็เริ่มหางานพิเศษ เดินแบบ/ พิธีกรต่าง ๆ
งานที่ 2: ในบริษัทต่างชาติ ทำอยู่ปีกว่า
>>> ต่อยอดจากงานแรก ไปเป็น Internal Auditor: Safety และหัวหน้าเป็นเจ๊ดัน ดูทรงแล้วไม่น่ารอด5555 เลยให้ไปประกวด แล้วดันได้ตำแหน่งเลยย้ายงานต่อค่ะ
งานนี้รู้ตัวเองว่าไม่ชอบเลยค่ะ ไม่ชอบการที่ต้องไปชน ไปปะทะ เรามีความสุขเมื่อเราทำให้คนอื่นมีความสุข แต่ Auditor มีแต่คนกลัวและตั้งกำแพง และงานเอกสารเยอะมากกกกกกกกก เกลียดที่สุดดดค่า
เงินเดือนปรับขึ้นมาจากเดิมเป็น 20,000 บาทค่ะ ไม่มี OT ย้ายเข้า กทม. ค่าใช้จ่ายคือ ค่าเช่าหอพักและค่าเดินทาง ทำงานจันทร์-ศุกร์ เงินเดือนก่อนออกเท่าเดิมค่ะ เหมือนเดิมช่วงวันหยุดก็เริ่มหางานพิเศษ เดินแบบ/ พิธีกรต่าง ๆ
งานที่ 3: ในรพ.เอกชนชั้นนำแห่งหนึ่ง สัญชาติไทย ขนาดใหญ่ ระดับมหาชน
>>> หัวหน้ายื่นใบสมัครให้ไปสมัครประกวดเป็น Brand Ambassador และได้ตำแหน่ง ทำครบสัญญา 3 ปี งานสบาย รายได้ดี สบายเกินไป แต่เงินดี และทำให้เราได้มีประสบการณ์ Public speaking, Presentation skill ได้เรียนรู้การบริการธุรกิจจากเจ้านาย เพราะเจ้านายให้ช่วยทำข้อมูล Performance report ได้เรียนรู้การนำเสนอที่ตรงจุด ตรงประเด็นกับผู้บริหาร มาจนถึงทุกวันนี้
เงินเดือนตรงนี้นี่แหละค่ะ จุดพลิกผัน ได้เงินเดือน 35,000 บาท อายุงาน 3 ปีเงินเดือนก่อนย้าย 40,000 บาท
และเหมือนเดิมช่วงวันหยุดก็เริ่มหางานพิเศษ พิธีกรต่าง ๆ งาน staff event ก็รับหมดค่ะ
งานที่ 4: ที่เดิมในรพ.เอกชนชั้นนำแห่งหนึ่ง สัญชาติไทย ขนาดใหญ่ ระดับมหาชน
>>> หมดสัญญาย้ายแผนกอยู่ต่อทำงานผู้ประสานงานศูนย์ Occupational Health ต่อยอดจากงานเก่าอยู่ปีกว่า เพื่อนร่วมงานดี งานหนัก เอกสารเยอะ ซึ่งดูแลไปไม่รอด หาทางย้ายดีกว่า เงินเดือนเริ่มเท่าเดิม ปรับตามอายุงานเป็น 42,000 ค่ะ
งานที่ 5: ที่เดิมในรพ.เอกชนชั้นนำแห่งหนึ่ง สัญชาติไทย ขนาดใหญ่ ระดับมหาชน
>>>ย้ายไปทำเลขาฯ เพราะมอง Career part งานที่ 4 ไม่เห็น แต่เลขาที่ไปทำเพราะดูแลฝั่ง International Hospital เราอยากฝึกภาษาอังกฤษ ทำอยู่ 8 เดือน เพราะงานเอกสารอีกแหละค่ะ เงินเริ่มต้นเท่าเดิม เงินเดือนก่อนออกปรับขึ้นมาเป็น 44,000 บาท
งานที่ 6: ในบริษัท สัญชาติไทยขนาดกลาง พนักงานรวม 20 คน
>>>ไปเป็น AE (Marketing supervisor) สายงาน Event organizer ต่อยอดจาก Brand ambassador มาสมัคร สนุกนะคะ แต่เครียดมาก ทำงานไม่เป็นเวลา ได้เดินทาง ได้เปิดโลก ได้เจอลูกค้า ได้รับรู้มุมมองธุรกิจใหม่ ๆ ได้ใกล้ชิด ได้ฟังผู้บริหาร แต่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ร่างกายไม่ไหว และจิตใจเราไม่ไหวมากกกกก เลยออก ทำอยู่เกือบ 2 ปี
เงินเดือนเริ่มต้น 42,000 บาท ปรับลงมานิดหน่อยเพราะไม่มีประสบการณ์ตรง และตั้งใจอยากย้ายสายงานมาทำ Marketing
งานปัจจุบัน : ในบริษัทต่างชาติ ในไทยคือเล็ก แต่มีสำนักงานทั่วโลกเกือบ 20 สาขา อยู่ในอุตสาหกรรม Healthcare ต่อยอดจากงานรพ.และevent organizer และฐานเงินเดือนอิงตามตำแหน่งเดียวกันของทุกสาขาค่ะ
>>>happy มาตอบโจทย์ชีวิต ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัดเป็นวิทยากรและการตลาด ได้สร้างประโยชน์ให้กับคนอื่น ๆ ได้เดินทางตลอด ได้เจอคนใหม่ ๆ
ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็คงอยู่กับงานนี้ไปยาวๆ ค่ะ เงินเดือนเริ่มต้น 75K ตอนนี้ผ่านโปร 6 เดือนปรับเป็น 80K เกาะไว้แน่นก็ว่าได้ครับผม
นอกจากปัจจุบันจะทำงานประจำ เดินสายบรรยาย จันทร์-ศุกร์ ตอนกลางคืนหลังเลิกงานเราเป็น Vj. Live ใน Application ตัวหนึ่ง ส่วนเสาร์อาทิตย์เราก็รับงานรีวิว รับงานพิธีกร และ staff event งานแต่ง งานต่าง ๆ ใด ๆ ที่เค้าจ้าง
มุมมองผ่านชีวิตของ สาววัย 35
เนื้อหาที่เพิ่มเติมอยู่ด้านล่าง ต่อจากเนื้อหาเก่าและใน ความคิดเห็นที่ 35 นะคะ เพราะยาวมาก เกินอักษรที่กำหนดค่ะ แหะ ๆ - -!***
ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ เข้ามา Comment ติ ชม แนะนำ ในทุก ๆ รูปแบบนะคะ ไหว้ย่อ จขกท. ขอน้อมรับไว้นะครับผม>,<
***เริ่มเนื้อหากระทู้ตั้งต้นตรงนี้เป็นต้นไปนะคะ***
อยากจะแชร์เรื่องราว บางส่วนไว้เป็นแรงบันดาลใจให้หลาย ๆ คนที่กำลังน้อยใจกับโชคชะตาชีวิตต่าง ๆ
เรามันจะได้ยินคำนิยามของตัวเราเองจากคนอื่นว่า
"Strong มาก" "เป็นคนเก่ง" "มีความสามารถ" "แข็งแกร่ง" "เข้มแข็ง"
คนใกล้ตัวก็เห็นเราในมุมเหล่านั้นมาตลอด
คิดอยู่นานหลายปีว่าอยากเล่านะ แต่มันเป็นเหรียญ 2 ด้าน กันคนที่อ่านบทความนี้
ก็จะมีคนที่เห็นแก่นของความสำคัญของเนื้อหาที่อยากจะสื่อ กับคนที่มองว่าเป็นมุมลบ ในบทความต่างๆ ที่พิมพ์ลงมาใน social media นี้
ตอนนี้เราในอายุเกือบ 35 ปี กับเงินเดือน 80k
มองตัวเองกลับไปในหลายช่วงชีวิต
เราเป็นเด็กดื้อเงียบคนหนึ่ง
เราเป็นเด็กกล้ากระโจนไปลองทำสิ่งต่างๆ
เราไม่ได้เป็นเด็กเก่ง ไม่ได้เป็นเด็กขยัน ไม่ได้เป็นเด็กหัวดี
แต่เราได้รับโอกาส และเราก็กระโจนใส่ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต คำว่าที่เรายึดมาตลอดคือ
"ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้"
และเราเชื่อใน GIVE &TAKE
เรามีความสุขกับการให้ ให้อย่างไม่สิ้นสุดและไม่คาดหวัง
และการให้ของเรามันก็สะท้อนผลดีมาให้เราหลายอย่างโดยที่เราไม่รู้ตัว
เรารับรู้มาตลอดว่าสิ่งที่สร้างเราเป็นเราในทุกวันนี้คือ
"แม่"
1. เราเป็นเด็ก 7 เดือน คลอดก่อนกำหนด
2. ญาติฝั่งแม่มีพี่น้อง 4 คน
3. แม่เป็นพี่สาวคนโต เป็นคนสวย คนดังประจำจังหวัด
4. พ่อมีบ้านเล็กบ้านน้อย มาตั้งแต่เราจำความได้
5. เราจำภาพความอบอุ่นของครอบครัว 4 คนพ่อแม่ลูก ได้แค่ถึงประถมต้น
6. หลังจากนั้นความทรงจำคือ เสียงทะเลาะกันตลอดเวลาของพ่อและแม่
7. แม่เป็นคนดูแลเรา 2 คนพี่น้องมาเองโดยตลอด
8. พี่ชายคือ ความหวังของพ่อและแม่
9. พี่ชายคือ คนหัวดี เรียนเก่ง
10. เราเดินตามทางพี่ชายมาตลอดจนถึงม.4
11. เราอยู่ในกรอบที่แม่วางไว้ให้
12. แม่เลือกให้เรียนประถมในโรงเรียนคริสเตียน เพราะช่วยเรื่องภาษาอังกฤษ ที่เราต้องเรียนเทอมละ 3 เล่ม
13.แม่เลือกให้เราไปเรียนดนตรีไทยเพราะใช้เป็นความสามารถพิเศษสอบเข้ามัธยม โรงเรียนสตรีล้วนประจำจังหวัด
14. แต่เราก็สอบเข้าได้โดยการสอบวิชาการ
15. เราอยู่มัธยมช่วงวัยรุ่นที่เป็นเด็กคนหนึ่งที่มีจุดเด่นเรื่องความสูง เพราะแม่ให้ดื่มนม 4 ครั้งต่อวัน ตั้งแต่จำความได้
16. แม่เลือกให้เราไปเข้า.Camp กีฬาตอน ม.2 ขึ้น ม.3 ช่วงยืดตัวทำให้เราสูงจนถึงทุกวันนี้
17. แม่เลือกไปฝากเรากับพี่ชายไปแทรกเป็นหน้าม้าเรียนลีลาศตั้งแต่ม.3 เพราะกลัวเราเป็นทอม กลัวพี่ชายติดยา
18. เราก็ไป แต่ก็งอแงตามประสาเด็กวัยรุ่นที่ไม่อยากทำ
19. จนยายเข้ามาดูแลเรา หยิบยื่นโอกาส ให้เราได้เดินทางต่างประเทศตั้งแต่ม.6 ด้วยการไปช่วยหิ้วของมาขาย
20. เราใช้ชีวิตดูไฮโซ ได้ไปต่างประเทศ ได้ไปงานสังคมที่ยายไปออกบูทขายรองเท้า เราคือไปขายรองเท้านั้นแหละ แต่ภาพจำของคนรอบตัวมองเราว่า ซีคือ มีเงิน หารู้ไม่เราไปทำงานแลกเงินค่าขนมจากยาย
21.สมัยเรียนมหาวิทยาลัยเราได้รับโอกาสจากเพื่อนๆ ตั้งให้เราเป็นหัวหน้าสันทนาการของรุ่น ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่รู้ว่าเพราะอะไร
22. เราเป็นเด็กที่น่ารักของอาจารย์ในช่วงปี1-ปี2 เราขยัน ตั้งใจเรียน ชอบถามในชั้นเรียน เกรด2.9-3.1
23. ปี3 ปี4 เราหายไม่เรียน ไปทำงานบ้าง เราไม่ชอบเรียน เกรดเหลือ 2.1-2.3
24. แม่สร้าง PROFILE ของเราด้วยการให้ไป Work & Travel ตอนมหาวิทยาลัย
25. จบมหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุ 21 แล้วก็ไม่หางานเพราะอยากเป็นนางแบบ ตระเวนเดินสายประกวกอาชีพมนุษย์ออฟฟิศก็ไม่รู้ว่าอยากทำอะไร
26. เลยมาลองแข่งลีลาศจริงจังอยู่ ปีกว่า จนมาได้รับข่าวว่า แม่เป็นมะเร็งลำไส้ระยะ3 ในวันเกิดเรา
27. เราโชคดี ได้รับโอกาสออกจากงาน แล้วมาช่วยยายขายของ ยายให้เราออกจากงานมาดูแลแม่
28. แม่อยู่ได้ 6 เดือนหลังจากเราออกจากงานมา
29. สิ่งที่แม่เผชิญอยู่ด้วยตัวคนเดียวคือ หาทางทุกอย่างที่จะหาค่ารักษามาดูแลตัวเอง ไม่สร้างความลำบากให้เราเลย
ทำประกัน/เข้าประกันสังคม/ย้ายรพ.
30. สิ่งที่ติดอยู่ในใจเรา คือเราเป็นสั่งรพ. ว่าไม่ต้องเจาะปอด และไม่ใส่ท่อช่วยหายใจให้แม่
31. และเราก็เห็นเฮือกสุดท้ายที่แม่จากไป
เราได้รับรู้เรื่องราวช่วงสิ้นเดือนมีนาคม 2010
นั้นก็คือ หลังจากที่แม่เสียไปได้ไม่กี่วัน
นับตั้งแต่วันนั้น....
กับอายุตอนนั้น 24 ย่าง 25 เรียนจบเรียบร้อย มีถ่ายแบบได้รางวัลชนะเลิศมา 1 การประกวดลงนิตยสาร Lisa ให้แม่ภูมิใจบนเตียงนอนที่รพ.
เราได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากญาติๆ ว่า
1. เราเป็นลูกที่มีตั้งใจให้เกิด แต่พ่อไม่ได้ตั้งใจให้เกิด
2. พ่อให้แม่ไปทำแท้งเอาเราออก
3. แม่ต้องนอนรพ. ตอนท้องเรา 5 เดือน จนยื้อได้นานสุดคือ 7 เดือนที่เราคลอดออกมา
4. บ้านแม่ แม่เป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง
5. พ่อมีลูก เป็นเด็กน้อยอีก 2 คนจากผู้หญิง 2 คน
6. บ้านสมบัติชิ้นเดียวของแม่ พ่อไม่โอนให้เรา 2 พี่น้อง แล้วเอาไปยื่นเพื่อเอาเงินไปใช้หลายต่อหลายรอบ
สิ่งเหล่านี้คือ สิ่งที่หล่อหลอมให้เราออกจากบ้านเริ่มทำงาน ดูแลตัวเอง สร้างตัวเอง จากเด็กวัย 24 ปี
ไม่มีมรดก ไม่มีทุนทรัพย์สิน มีทุนชีวิตคือ การศึกษา ประสบการณ์ บุคลิกภาพ และความสามารถล้วน ๆ
อยู่คนเดียว คิดคนเดียว พึ่งตัวเอง จนมาเป็นเราถึงทุกวันนี้ มันไม่ง่าย
อยากพิสูจน์ให้เห็นว่า การที่มีภูมิหลังหรือครอบครัวที่มีปัญหา เด็กที่เกิดมามันได้ดี
อย่าโทษครอบครัว อย่าโทษสังคม โทษตัวเองที่ทำเต็มที่แล้วมากพอรึยัง
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับทัศนคติ การมองโลกในแง่ดี การพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
ใช่เราเป็นคนโชคดีที่ได้รับโอกาสมากมาย
แต่ก่อนจะได้รับโอกาส คุณต้องมีของ มีค่า มีข้อดี พอที่คนจะยื่นโอกาสให้ และคุณจะทำโอกาสนั้นให้สำเร็จ
มีใครจะรู้มั้ยว่าเราผ่านอะไรมา ทำอะไรมาบ้าง คนรอบตัวเรา ที่เห็นเราทำงาน จะตอบแทนเราเองว่า
อึดวะ เก่งวะ ขยันวะ คนดีวะ มีความสามารถวะ ฉลาดวะ อ่อนน้อมวะ น่ารักวะ ไม่เกี่ยงงานวะ
เพราะเราไม่เคยรอที่โอกาสจะวิ่งมาหาเรา เราวิ่งไปหาโอกาส และมั่นใจ ที่จะทำเต็มที่ในงานทุกอย่าง
และเราก็มีความสุขกับการทำงาน เราสร้างคุณค่าของเรา เราภูมิใจในตัวเอง เราดีใจที่เราสามารถสร้างคุณค่าให้คนอื่น ๆ ต่อไปได้
เพราะฉะนั้นใครที่กำลังท้อแท้กับชะตาชีวิต
หยุดแล้วลองย้อนพิจารณาตัวเอง ทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร มันเป็นผลจากสิ่งที่คุณเลือกและลงมือทำให้ถึงที่สุด
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตอนนี้ เราไม่ได้อยากให้ใครมาสงสาร เห็นใจ หรือชม เยินยอ
วัตถุประสงค์ของโพสนี้
เพื่ออยากสร้างแรงบันดาลใจ ให้กับทุกคนที่เจอปัญหาในสถานการณ์แย่ ๆ ในปัจจุบัน
อยากให้กลับมาเห็นคุณค่าของตัวเอง และสร้างตัวเองขึ้นมาได้
หวังว่าพอจะมีประโยชน์ให้กับใครหลาย ๆ คน
***เริ่มเนื้อหาที่แก้ไขเพิ่มเติมตั้งแต่ตรงนี้เป็นต้นไปค่ะ***
มีคำถามมาหลาย ๆ ช่องทาง ขออนุญาตตอบเนื้อหาเพิ่มเติมนะคะ
1. ทำยังไงถึงเงินเดือนขึ้นมา 80K ได้
ตอบ: เอาตรง ๆ ตอนที่ได้งานนี้ ยังตกใจเลยค่ะ ว่าทำไมเค้าให้เยอะขนาดนี้ มันมากกว่าที่เราคิดมาก ๆ ค่ะ
เริ่ม!!! เราจบมาทำงาน ไม่ตรงสายที่เรียนเลยค่ะ เพราะไม่ชอบ ไม่ถนัด ไม่เก่ง
งานแรกหลังจากแม่เสีย: ในบริษัทสัญชาติไทย ขนาดใหญ่ ระดับมหาชน ทำอยู่เกือบ 2 ปีค่ะ
>>> ไปเป็นผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (หัวหน้าเป็น จป.ค่ะ)
เราเลือกสมัครงานนี้เองเพราะคิดว่าเป็นงานที่ได้เป็นวิทยากร ได้จัดงาน ได้จัดสัมมนา ได้ทำกิจกรรมรณรงค์ ไม่อยากไปเป็นนักบำบัดของเสียตามโรงงาน ก็ชอบระดับหนึ่งแต่ทำงานโรงงานต้องทำวันเสาร์เลยออกค่ะ
เงินเดือนเริ่มต้นอยู่ที่ 12,000 บาท แล้วก็ได้โอกาสจากผู้บริหารได้เป็น 1 ในทีมที่ตั้งขึ้นเพื่อผลักดัน Core Value องค์กร จนเจ้านายพยายามส่งไปเรียน ปรับตำแหน่ง เงินเดือนก่อนออก 18,000 บาทค่ะ รายจ่ายมีแค่ค่าน้ำ ไฟ เพราะอยู่หอพักพนักงาน เดินไป-กลับ ทำงานจันทร์ - เสาร์ ทำ OT เพิ่มด้วย
ช่วงวันหยุดก็เริ่มหางานพิเศษ เดินแบบ/ พิธีกรต่าง ๆ
งานที่ 2: ในบริษัทต่างชาติ ทำอยู่ปีกว่า
>>> ต่อยอดจากงานแรก ไปเป็น Internal Auditor: Safety และหัวหน้าเป็นเจ๊ดัน ดูทรงแล้วไม่น่ารอด5555 เลยให้ไปประกวด แล้วดันได้ตำแหน่งเลยย้ายงานต่อค่ะ
งานนี้รู้ตัวเองว่าไม่ชอบเลยค่ะ ไม่ชอบการที่ต้องไปชน ไปปะทะ เรามีความสุขเมื่อเราทำให้คนอื่นมีความสุข แต่ Auditor มีแต่คนกลัวและตั้งกำแพง และงานเอกสารเยอะมากกกกกกกกก เกลียดที่สุดดดค่า
เงินเดือนปรับขึ้นมาจากเดิมเป็น 20,000 บาทค่ะ ไม่มี OT ย้ายเข้า กทม. ค่าใช้จ่ายคือ ค่าเช่าหอพักและค่าเดินทาง ทำงานจันทร์-ศุกร์ เงินเดือนก่อนออกเท่าเดิมค่ะ เหมือนเดิมช่วงวันหยุดก็เริ่มหางานพิเศษ เดินแบบ/ พิธีกรต่าง ๆ
งานที่ 3: ในรพ.เอกชนชั้นนำแห่งหนึ่ง สัญชาติไทย ขนาดใหญ่ ระดับมหาชน
>>> หัวหน้ายื่นใบสมัครให้ไปสมัครประกวดเป็น Brand Ambassador และได้ตำแหน่ง ทำครบสัญญา 3 ปี งานสบาย รายได้ดี สบายเกินไป แต่เงินดี และทำให้เราได้มีประสบการณ์ Public speaking, Presentation skill ได้เรียนรู้การบริการธุรกิจจากเจ้านาย เพราะเจ้านายให้ช่วยทำข้อมูล Performance report ได้เรียนรู้การนำเสนอที่ตรงจุด ตรงประเด็นกับผู้บริหาร มาจนถึงทุกวันนี้
เงินเดือนตรงนี้นี่แหละค่ะ จุดพลิกผัน ได้เงินเดือน 35,000 บาท อายุงาน 3 ปีเงินเดือนก่อนย้าย 40,000 บาท
และเหมือนเดิมช่วงวันหยุดก็เริ่มหางานพิเศษ พิธีกรต่าง ๆ งาน staff event ก็รับหมดค่ะ
งานที่ 4: ที่เดิมในรพ.เอกชนชั้นนำแห่งหนึ่ง สัญชาติไทย ขนาดใหญ่ ระดับมหาชน
>>> หมดสัญญาย้ายแผนกอยู่ต่อทำงานผู้ประสานงานศูนย์ Occupational Health ต่อยอดจากงานเก่าอยู่ปีกว่า เพื่อนร่วมงานดี งานหนัก เอกสารเยอะ ซึ่งดูแลไปไม่รอด หาทางย้ายดีกว่า เงินเดือนเริ่มเท่าเดิม ปรับตามอายุงานเป็น 42,000 ค่ะ
งานที่ 5: ที่เดิมในรพ.เอกชนชั้นนำแห่งหนึ่ง สัญชาติไทย ขนาดใหญ่ ระดับมหาชน
>>>ย้ายไปทำเลขาฯ เพราะมอง Career part งานที่ 4 ไม่เห็น แต่เลขาที่ไปทำเพราะดูแลฝั่ง International Hospital เราอยากฝึกภาษาอังกฤษ ทำอยู่ 8 เดือน เพราะงานเอกสารอีกแหละค่ะ เงินเริ่มต้นเท่าเดิม เงินเดือนก่อนออกปรับขึ้นมาเป็น 44,000 บาท
งานที่ 6: ในบริษัท สัญชาติไทยขนาดกลาง พนักงานรวม 20 คน
>>>ไปเป็น AE (Marketing supervisor) สายงาน Event organizer ต่อยอดจาก Brand ambassador มาสมัคร สนุกนะคะ แต่เครียดมาก ทำงานไม่เป็นเวลา ได้เดินทาง ได้เปิดโลก ได้เจอลูกค้า ได้รับรู้มุมมองธุรกิจใหม่ ๆ ได้ใกล้ชิด ได้ฟังผู้บริหาร แต่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ร่างกายไม่ไหว และจิตใจเราไม่ไหวมากกกกก เลยออก ทำอยู่เกือบ 2 ปี
เงินเดือนเริ่มต้น 42,000 บาท ปรับลงมานิดหน่อยเพราะไม่มีประสบการณ์ตรง และตั้งใจอยากย้ายสายงานมาทำ Marketing
งานปัจจุบัน : ในบริษัทต่างชาติ ในไทยคือเล็ก แต่มีสำนักงานทั่วโลกเกือบ 20 สาขา อยู่ในอุตสาหกรรม Healthcare ต่อยอดจากงานรพ.และevent organizer และฐานเงินเดือนอิงตามตำแหน่งเดียวกันของทุกสาขาค่ะ
>>>happy มาตอบโจทย์ชีวิต ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัดเป็นวิทยากรและการตลาด ได้สร้างประโยชน์ให้กับคนอื่น ๆ ได้เดินทางตลอด ได้เจอคนใหม่ ๆ
ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็คงอยู่กับงานนี้ไปยาวๆ ค่ะ เงินเดือนเริ่มต้น 75K ตอนนี้ผ่านโปร 6 เดือนปรับเป็น 80K เกาะไว้แน่นก็ว่าได้ครับผม
นอกจากปัจจุบันจะทำงานประจำ เดินสายบรรยาย จันทร์-ศุกร์ ตอนกลางคืนหลังเลิกงานเราเป็น Vj. Live ใน Application ตัวหนึ่ง ส่วนเสาร์อาทิตย์เราก็รับงานรีวิว รับงานพิธีกร และ staff event งานแต่ง งานต่าง ๆ ใด ๆ ที่เค้าจ้าง