มุมมองผ่านชีวิตของ​ สาววัย​ 35​

***ขออนุญาตแก้ไข เพิ่มเนื้อหานะคะ หลังจากกลับมาเปิดอ่าน คุณพระ!!! แชร์กันเยอะมาก
เนื้อหาที่เพิ่มเติมอยู่ด้านล่าง ต่อจากเนื้อหาเก่าและใน ความคิดเห็นที่ 35 นะคะ เพราะยาวมาก เกินอักษรที่กำหนดค่ะ แหะ ๆ - -!***
ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ เข้ามา Comment ติ ชม แนะนำ ในทุก ๆ รูปแบบนะคะ ไหว้ย่อ จขกท. ขอน้อมรับไว้นะครับผม>,<

***เริ่มเนื้อหากระทู้ตั้งต้นตรงนี้เป็นต้นไปนะคะ***
อยากจะแชร์​เรื่องราว​ บางส่วนไว้เป็นแรงบันดาลใจ​ให้หลาย​ ๆ​ คนที่กำลัง​น้อยใจกับโชคชะตา​ชีวิตต่าง​ ๆ

เรามันจะได้ยินคำนิยามของตัวเราเองจากคนอื่นว่า
"Strong มาก" "เป็นคนเก่ง" "มีความสามารถ" "แข็งแกร่ง" "เข้มแข็ง"
คนใกล้ตัวก็เห็นเราในมุมเหล่านั้นมาตลอด

คิดอยู่นานหลายปีว่าอยากเล่านะ​ แต่มันเป็​นเหรียญ​ 2 ด้าน​ กันคนที่อ่านบทความนี้

ก็​จะมีคนที่เห็นแก่นของความสำคัญของเนื้อหาที่อยากจะสื่อ​ กับคนที่มองว่าเป็น​มุมลบ​ ในบทความต่าง​ๆ​ ที่พิมพ์​ลงมาใน social media นี้

ตอนนี้เราในอายุเกือบ​ 35​ ปี​ กับเงินเดือน​ 80k
มองตัวเองกลับไปในหลายช่วงชีวิต​
เราเป็​นเด็กดื้อเงียบคนหนึ่ง​
เราเป็​นเด็กกล้ากระโจนไปลองทำสิ่งต่าง​ๆ
เราไม่ได้เป็น​เด็กเก่ง​ ไม่ได้เป็น​เด็ก​ขยัน​ ไม่ได้เป็น​เด็ก​หัวดี
แต่เราได้รับโอกาส​ และเราก็กระโจนใส่ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต​ คำว่าที่เรายึดมาตลอดคือ
"ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้"
และเราเชื่อใน​ GIVE &​TAKE
เรามีความสุข​กับการให้ ให้อย่างไม่สิ้นสุดและไม่คาดหวัง​
และการให้ของเรามันก็สะท้อนผลดีมาให้เราหลายอย่างโดยที่เราไม่รู้​ตัว

เรารับรู้​มาตลอดว่าสิ่งที่สร้างเราเป็นเราในทุกวันนี้คือ
"แม่"
1. เราเป็​นเด็ก​ 7​ เดือน​ คลอดก่อนกำหนด
2. ญาติฝั่งแม่มีพี่น้อง​ 4 คน​
3. แม่เป็นพี่สาวคนโต​ เป็น​คนสวย​ คนดังประจำจังหวัด
4. พ่อมีบ้านเล็ก​บ้านน้อย​ มาตั้งแต่เราจำความได้
5. เราจำภาพความอบอุ่น​ของครอบครัว​ 4 คนพ่อแม่ลูก ได้แค่ถึงประถมต้น
6. หลังจากนั้นความทรงจำคือ​ เสียงทะเลาะกันตลอดเวลาของพ่อและแม่
7.​ แม่เป็นคนดูแล​เรา​ 2 คนพี่น้องมาเองโดยตลอด
8.​ พี่ชายคือ​ ความหวังของพ่อและแม่
9.​ พี่ชายคือ​ คนหัวดี​ เรียนเก่ง
10. เราเดินตามทางพี่ชายมาตลอดจนถึง​ม.4
11.​ เราอยู่ในกรอบที่แม่วางไว้ให้
12.​ แม่เลือกให้เรียนประถมในโรงเรียน​คริสเตียน​ เพราะช่วยเรื่องภาษาอังกฤษ​ ที่เราต้องเรียนเทอมละ​ 3 เล่ม
13.​แม่เลือกให้เราไปเรียนดนตรีไทยเพราะใช้เป็นความสามารถพิเศษ​สอบเข้ามัธยม​ โรงเรียน​สตรีล้วนประจำจังหวัด
14.​ แต่เราก็สอบเข้าได้โดยการสอบวิชาการ
15.​ เราอยู่มัธยม​ช่วงวัยรุ่นที่เป็นเด็ก​คนหนึ่ง​ที่มีจุดเด่นเรื่องความสูง​ เพราะแม่ให้ดื่มนม 4 ครั้งต่อวัน​ ตั้งแต่จำความได้
16.​ แม่เลือกให้เราไปเข้า.Camp กีฬา​ตอน​ ม.2 ขึ้น​ ม.3 ช่วงยืดตัวทำให้เราสูงจนถึงทุกวันนี้
17.​ แม่เลือกไปฝากเรากับพี่ชายไปแทรกเป็น​หน้าม้าเรียน​ลีลาศ​ตั้งแต่​ม.3 เพราะกลัวเราเป็​นทอม​ กลัวพี่ชายติดยา
18. เราก็ไป​ แต่ก็งอแงตามประสาเด็ก​วัยรุ่น​ที่ไม่อยากทำ​
19.​ จนยายเข้ามาดูแลเรา​ หยิบยื่นโอกาส​ ให้เราได้เดินทางต่างประเทศ​ตั้งแต่ม.6 ด้วยการไปช่วยหิ้วของ​มาขาย
20.​ เราใช้ชีวิตดูไฮโซ​ ได้ไปต่างประเทศ​ ได้ไปงานสังคมที่ยายไปออกบูทขายรองเท้า​ เราคือไปขายรองเท้านั้นแหละ​ แต่ภาพจำของคนรอบตัวมองเราว่า​ ซีคือ​ มีเงิน​ หารู้ไม่เราไปทำงานแลกเงินค่าขนมจากยาย​
21.​สมัยเรียนมหาวิทยาลัย​เราได้รับโอกาสจากเพื่อนๆ ตั้งให้เราเป็นหัวหน้าสันทนาการ​ของรุ่น ซึ่ง​ปัจจุบัน​ก็​ยังไม่รู้​ว่าเพราะอะไร
22.​ เราเป็​นเด็กที่น่ารักของอาจารย์​ในช่วงปี1-ปี​2 เราขยัน​ ตั้งใจเรียน​ ชอบถามในชั้นเรียน​ เกรด​2.9-3.1
23.​ ปี3 ปี4 เราหายไม่เรียน​ ไปทำงานบ้าง​ เราไม่ชอบเรียน​ เกรด​เหลือ​ 2.1-2.3
24.​ แม่สร้าง​ PROFILE ของเราด้วยการให้ไป​ Work & Travel ตอนมหาวิทยาลัย
25.​ จบมหาวิทยาลัย​ตั้งแต่​อายุ​ 21​ แล้วก็ไม่หางานเพราะอยากเป็นนางแบบ​ ตระเวนเดินสายประกวก​อาชีพมนุษย์​ออฟฟิศ​ก็ไม่รู้​ว่าอยากทำอะไร​
26. เลยมาลองแข่งลีลาศ​จริงจังอยู่​ ปีกว่า​ จนมาได้รับข่าวว่า​ แม่เป็นมะเร็ง​ลำไส้ระยะ​3 ในวันเกิดเรา
27. เราโชคดี​ ได้รับโอกาสออกจากงาน​ แล้วมาช่วยยายขายของ​ ยายให้เราออกจากงานมาดูแลแม่​
28.​ แม่อยู่ได้ 6 เดือนหลังจากเราออกจากงานมา
29.​ สิ่งที่แม่เผชิญ​อยู่​ด้วยตัวคนเดียว​คือ​ หาทางทุกอย่างที่จะหาค่ารักษามาดูแลตัวเอง​ ไม่สร้างความลำบากให้เราเลย
ทำประกัน/เข้าประกันสังคม/ย้ายรพ.
30.​ สิ่ง​ที่ติดอยู่ในใจ​เรา​ คือเราเป็​นสั่งรพ. ว่าไม่ต้องเจาะปอด​ และไม่ใส่ท่อช่วยหายใจให้แม่
31.​ และเราก็เห็นเฮือกสุดท้ายที่แม่จากไป

เราได้รับรู้​เรื่องราวช่วงสิ้นเดือนมีนาคม​ 2010
นั้นก็คือ​ หลังจากที่แม่เสียไปได้ไม่กี่วัน
นับตั้งแต่วันนั้น....
กับอายุตอนนั้น​ 24​ ย่าง​ 25​ เรียนจบเรียบร้อย​ มีถ่ายแบบได้รางวัลชนะเลิศ​มา​ 1 การประกวดลงนิตยสาร​ Lisa ให้แม่ภูมิใจ​บนเตียง​นอนที่รพ.

เราได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากญาติๆ​ ว่า​

1. เราเป็นลูกที่มีตั้งใจให้เกิด​ แต่พ่อไม่ได้ตั้งใจให้เกิด
2. พ่อให้แม่ไปทำแท้งเอาเราออก
3. แม่ต้องนอนรพ.​ ตอนท้องเรา​ 5 เดือน​ จนยื้อได้นานสุดคือ​ 7​ เดือนที่เราคลอดออกมา
4. บ้านแม่​ แม่เป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง
5. พ่อมีลูก​ เป็น​เด็กน้อยอีก​ 2 คนจาก​ผู้​หญิง​ 2 คน
6. บ้านสมบัติ​ชิ้นเดียวของแม่​ พ่อไม่โอนให้เรา​ 2 พี่น้อง​ แล้วเอาไปยื่นเพื่อเอาเงินไปใช้หลายต่อหลายรอบ

สิ่งเหล่านี้คือ​ สิ่งที่หล่อหลอมให้เราออกจากบ้านเริ่มทำงาน​ ดูแลตัวเอง​ สร้างตัวเอง​ จากเด็กวัย 24​ ปี
ไม่มีมรดก​ ไม่มีทุนทรัพย์​สิน​ มีทุนชีวิตคือ​ การศึกษา​ ประสบการณ์​ บุคลิกภาพ​ และความ​สามารถล้วน​ ๆ

อยู่​คนเดียว​ คิดคนเดียว​ พึ่ง​ตัวเอง​ จนมาเป็นเราถึงทุกวันนี้​ มันไม่ง่าย​

อยากพิสูจน์​ให้เห็นว่า​ การที่มีภูมิหลังหรือครอบครัวที่มีปัญหา​ เด็กที่เกิดมามันได้ดี​

อย่าโทษ​ครอบครัว​ อย่าโทษ​สังคม​ โทษตัวเองที่ทำเต็มที่แล้วมากพอรึยัง
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ​ทัศนคติ​ การมองโลกในแง่ดี​ การพัฒนา​ตนเองอยู่เสมอ

ใช่​เราเป็นคนโชคดีที่ได้รับโอกาสมากมาย
แต่ก่อนจะได้รับโอกาส​ คุณต้องมีของ​ มีค่า​ มีข้อดี​ พอที่คนจะยื่นโอกาสให้ และคุณจะทำโอกาสนั้นให้สำเร็จ

มีใครจะรู้มั้ยว่าเราผ่านอะไรมา ทำอะไรมาบ้าง​ คนรอบตัวเรา​ ที่เห็นเราทำงาน​ จะตอบแทนเราเองว่า

ยิ้มอึดวะ​ ยิ้มเก่งวะ​ ยิ้มขยันวะ​ ยิ้มคนดีวะ​ ยิ้มมีความสามารถ​วะ​ ยิ้มฉลาดวะ​ ยิ้มอ่อนน้อมวะ​ ยิ้มน่ารักวะ​ ยิ้มไม่เกี่ยงงานวะ

เพราะเราไม่เคยรอที่โอกาสจะวิ่งมาหาเรา​ เราวิ่งไปหาโอกาส​ และมั่นใจ​ ที่จะทำเต็มที่ในงานทุกอย่าง

และเราก็มีความสุข​กับการทำงาน​ เราสร้างคุณค่า​ของเรา​ เราภูมิใจในตัวเอง​ เราดีใจที่เราสามารถสร้างคุณค่า​ให้คนอื่น​ ๆ​ ต่อไปได้

เพราะฉะนั้นใครที่กำลังท้อแท้กับชะตาชีวิต
หยุดแล้วลองย้อนพิจารณา​ตัวเอง​ ทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร​ มันเป็​นผลจากสิ่งที่คุณเลือกและลงมือทำให้ถึงที่สุด

ขอบคุณ​ที่อ่านมาถึงตอนนี้​ เราไม่ได้อยากให้ใครมาสงสาร​ เห็น​ใจ​ หรือชม​ เยินยอ​

วัตถุ​ประสงค์​ของ​โพสนี้
เพื่ออยากสร้างแรงบันดาลใจ​ ให้กับทุกคนที่เจอปัญหา​ในสถานการณ์​แย่​ ๆ​ ในปัจจุบัน
อยากให้กลับมาเห็นคุณค่า​ของตัวเอง​ และสร้างตัวเองขึ้นมาได้

หวังว่าพอจะมีประโยชน์​ให้กับใครหลาย ๆ​ คน

***เริ่มเนื้อหาที่แก้ไขเพิ่มเติมตั้งแต่ตรงนี้เป็นต้นไปค่ะ***
มีคำถามมาหลาย ๆ ช่องทาง ขออนุญาตตอบเนื้อหาเพิ่มเติมนะคะ
1. ทำยังไงถึงเงินเดือนขึ้นมา 80K ได้

ตอบ: เอาตรง ๆ ตอนที่ได้งานนี้ ยังตกใจเลยค่ะ ว่าทำไมเค้าให้เยอะขนาดนี้ มันมากกว่าที่เราคิดมาก ๆ ค่ะ 
เริ่ม!!! เราจบมาทำงาน ไม่ตรงสายที่เรียนเลยค่ะ เพราะไม่ชอบ ไม่ถนัด ไม่เก่ง 

งานแรกหลังจากแม่เสีย: ในบริษัทสัญชาติไทย ขนาดใหญ่ ระดับมหาชน ทำอยู่เกือบ 2 ปีค่ะ
>>> ไปเป็นผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (หัวหน้าเป็น จป.ค่ะ) 
เราเลือกสมัครงานนี้เองเพราะคิดว่าเป็นงานที่ได้เป็นวิทยากร ได้จัดงาน ได้จัดสัมมนา ได้ทำกิจกรรมรณรงค์ ไม่อยากไปเป็นนักบำบัดของเสียตามโรงงาน ก็ชอบระดับหนึ่งแต่ทำงานโรงงานต้องทำวันเสาร์เลยออกค่ะ
เงินเดือนเริ่มต้นอยู่ที่ 12,000 บาท แล้วก็ได้โอกาสจากผู้บริหารได้เป็น 1 ในทีมที่ตั้งขึ้นเพื่อผลักดัน Core Value องค์กร จนเจ้านายพยายามส่งไปเรียน ปรับตำแหน่ง เงินเดือนก่อนออก 18,000 บาทค่ะ รายจ่ายมีแค่ค่าน้ำ ไฟ เพราะอยู่หอพักพนักงาน เดินไป-กลับ ทำงานจันทร์ - เสาร์ ทำ OT เพิ่มด้วย 
ช่วงวันหยุดก็เริ่มหางานพิเศษ เดินแบบ/ พิธีกรต่าง ๆ 

งานที่ 2: ในบริษัทต่างชาติ ทำอยู่ปีกว่า
>>> ต่อยอดจากงานแรก ไปเป็น Internal Auditor: Safety  และหัวหน้าเป็นเจ๊ดัน ดูทรงแล้วไม่น่ารอด5555 เลยให้ไปประกวด แล้วดันได้ตำแหน่งเลยย้ายงานต่อค่ะ
งานนี้รู้ตัวเองว่าไม่ชอบเลยค่ะ ไม่ชอบการที่ต้องไปชน ไปปะทะ เรามีความสุขเมื่อเราทำให้คนอื่นมีความสุข แต่ Auditor มีแต่คนกลัวและตั้งกำแพง และงานเอกสารเยอะมากกกกกกกกก เกลียดที่สุดดดค่า
เงินเดือนปรับขึ้นมาจากเดิมเป็น 20,000 บาทค่ะ ไม่มี OT ย้ายเข้า กทม. ค่าใช้จ่ายคือ ค่าเช่าหอพักและค่าเดินทาง ทำงานจันทร์-ศุกร์ เงินเดือนก่อนออกเท่าเดิมค่ะ เหมือนเดิมช่วงวันหยุดก็เริ่มหางานพิเศษ เดินแบบ/ พิธีกรต่าง ๆ 

งานที่ 3: ในรพ.เอกชนชั้นนำแห่งหนึ่ง สัญชาติไทย ขนาดใหญ่ ระดับมหาชน
>>> หัวหน้ายื่นใบสมัครให้ไปสมัครประกวดเป็น Brand Ambassador  และได้ตำแหน่ง ทำครบสัญญา 3 ปี งานสบาย รายได้ดี สบายเกินไป แต่เงินดี และทำให้เราได้มีประสบการณ์ Public speaking, Presentation skill ได้เรียนรู้การบริการธุรกิจจากเจ้านาย เพราะเจ้านายให้ช่วยทำข้อมูล Performance report ได้เรียนรู้การนำเสนอที่ตรงจุด ตรงประเด็นกับผู้บริหาร มาจนถึงทุกวันนี้
เงินเดือนตรงนี้นี่แหละค่ะ จุดพลิกผัน ได้เงินเดือน 35,000 บาท อายุงาน 3 ปีเงินเดือนก่อนย้าย 40,000 บาท  
และเหมือนเดิมช่วงวันหยุดก็เริ่มหางานพิเศษ พิธีกรต่าง ๆ  งาน staff event ก็รับหมดค่ะ

งานที่ 4: ที่เดิมในรพ.เอกชนชั้นนำแห่งหนึ่ง สัญชาติไทย ขนาดใหญ่ ระดับมหาชน
>>> หมดสัญญาย้ายแผนกอยู่ต่อทำงานผู้ประสานงานศูนย์ Occupational Health ต่อยอดจากงานเก่าอยู่ปีกว่า เพื่อนร่วมงานดี งานหนัก เอกสารเยอะ ซึ่งดูแลไปไม่รอด หาทางย้ายดีกว่า เงินเดือนเริ่มเท่าเดิม ปรับตามอายุงานเป็น 42,000 ค่ะ

งานที่ 5: ที่เดิมในรพ.เอกชนชั้นนำแห่งหนึ่ง สัญชาติไทย ขนาดใหญ่ ระดับมหาชน
>>>ย้ายไปทำเลขาฯ เพราะมอง Career part งานที่ 4 ไม่เห็น แต่เลขาที่ไปทำเพราะดูแลฝั่ง International Hospital เราอยากฝึกภาษาอังกฤษ ทำอยู่ 8 เดือน เพราะงานเอกสารอีกแหละค่ะ เงินเริ่มต้นเท่าเดิม เงินเดือนก่อนออกปรับขึ้นมาเป็น 44,000 บาท

งานที่ 6: ในบริษัท สัญชาติไทยขนาดกลาง พนักงานรวม 20 คน
>>>ไปเป็น AE (Marketing supervisor) สายงาน Event organizer ต่อยอดจาก Brand ambassador มาสมัคร สนุกนะคะ แต่เครียดมาก ทำงานไม่เป็นเวลา ได้เดินทาง ได้เปิดโลก ได้เจอลูกค้า ได้รับรู้มุมมองธุรกิจใหม่ ๆ ได้ใกล้ชิด ได้ฟังผู้บริหาร แต่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ร่างกายไม่ไหว และจิตใจเราไม่ไหวมากกกกก เลยออก ทำอยู่เกือบ 2 ปี
เงินเดือนเริ่มต้น 42,000 บาท ปรับลงมานิดหน่อยเพราะไม่มีประสบการณ์ตรง และตั้งใจอยากย้ายสายงานมาทำ Marketing 

งานปัจจุบัน : ในบริษัทต่างชาติ ในไทยคือเล็ก แต่มีสำนักงานทั่วโลกเกือบ 20 สาขา อยู่ในอุตสาหกรรม Healthcare ต่อยอดจากงานรพ.และevent organizer และฐานเงินเดือนอิงตามตำแหน่งเดียวกันของทุกสาขาค่ะ
>>>happy มาตอบโจทย์ชีวิต ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัดเป็นวิทยากรและการตลาด ได้สร้างประโยชน์ให้กับคนอื่น ๆ ได้เดินทางตลอด ได้เจอคนใหม่ ๆ 
ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็คงอยู่กับงานนี้ไปยาวๆ ค่ะ  เงินเดือนเริ่มต้น 75K ตอนนี้ผ่านโปร 6 เดือนปรับเป็น 80K เกาะไว้แน่นก็ว่าได้ครับผม

นอกจากปัจจุบันจะทำงานประจำ เดินสายบรรยาย จันทร์-ศุกร์ ตอนกลางคืนหลังเลิกงานเราเป็น Vj. Live ใน Application ตัวหนึ่ง ส่วนเสาร์อาทิตย์เราก็รับงานรีวิว รับงานพิธีกร และ staff event งานแต่ง งานต่าง ๆ ใด ๆ ที่เค้าจ้าง
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่