เผื่อคนสมัยนี้ไม่รู้บริบททางสังคมของคนสมัยก่อน...
จึงยกช่วงหนี่งในหนังสือเรื่อง สี่แผ่นดิน ช่วงที่เสด็จพูดกับพลอยเรื่องการออกเหย้าออกเรื่อน มาให้อ่านไปพลางๆเพื่อทำความเข้าใจบริบทของสังคมยุคนั้นฮะ

"นังพลอยพ่อของเจ้า เขาให้คนมาบอกว่าเขาจะขอลาตัวเจ้าออกไปแต่งงานเจ้าจะว่าอย่างไร "
พลอยสะดุ้ง ใจสั่น พลางระล่ำระลักตอบไปว่า
"หม่อมฉันยังไม่สมัครใจมั้งคะ"
"ทำไมมีเหตุอะไรรึ..?"
"หม่อมฉันยังอยากสนองพระเดชพระคุณ ประกอบไม่เคยคิดเรื่องการมีเหย้ามีเรือนเลยมั้งคะ"
"เจ้าก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้วเรื่องมีเหย้ามีเรือนถึงยังไม่เคยคิด ก็ควรต้องคิดได้แล้ว ไอ้เรื่องที่เจ้าคิดจะอยู่กับข้าต่อไปนั้น ข้าก็ขอบใจ แต่เจ้าก็ควรจะคิดให้ดีๆอายุข้าก็มากขึ้นทุกวัน....ถ้าข้าเกิดมาแล้วไม่รู้จักตาย และสามารถเลี้ยงเจ้าไปได้เรื่อยๆ ข้าก็ไม่ว่าอะไร ข้ากลัวว่าข้าจะตายเสียก่อน แล้วเจ้าจะเป็นอย่างไร"
" เจ้าเข้ามาอยู่ในวังก็หลายปีแล้ว ไม่ได้สังเกตดูมั่งหรือว่า สมัยก่อนเจ้านายอยู่กันครึกครื้นกว่าสมัยนี้มาก แต่เดี๋ยวนี้ดูสิตำหนักว่างลงหลายตำหนักแล้ว ตำหนักไหนเจ้าของตายก็ต้องปิดไฟ ปล่อยร้างทรุดโทรมลงไปไม่มีปัญญาซ่อมแซม ตำหนักนี้ ซักวันก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น "
" ถึงเจ้าจะคิดถึงก็กลับมาเยี่ยมข้าได้เสมอ ใช่ว่าตัดขาดไปเสียเมื่อไหร่"
พลอยรู้สึกจุกในลำคอ ก้มหน้าไม่ตอบน้ำตาอาบแก้ม
"ดูสิข้าพูดด้วยดีๆ ก็มาบีบน้ำตาร้องไห้ พวกเจ้าก็เหมือนพวกนางชาววังทั้งหลายเป็นโรคบ่อน้ำตาตื้น ดีใจก็ร้องไห้ เสียใจก็ร้องไห้ จนข้าดูไม่ออกแล้วว่าเจ้าร้องไห้เพราะอะไร เที่ยวไปเอาน้ำหูน้ำตามาจากไหนกันนักหนา"
"แต่ว่าหมอฉันไม่อยากออกไปจากที่นี่กระมังคะ"
"โอ้ย...ดัดจริต!! ลองข้าขวางไม่ให้ออกไปมีลูกมีผัวกัน ก็จะบีบน้ำตาร้องไห้อีกนั่นแหละเที่ยวด่าข้าว่ากดขี่ บังคับ ข้ารู้หรอกนะ พอข้าเห็นด้วยทีงี้ก็กลับมาบีบน้ำตา คิดถึงพระเดชพระคุณ ร่ำๆไม่อยากจะออกไป ข้าล่ะเอาใจพวกเจ้าไม่ถูกจริงๆ!!...
"เจ้าคุณพ่อจะยกให้ใครหม่อมฉันก็ยังไม่ทราบ ตัดสินใจไม่ถูกกระมังคะ"
"ก็เจ้ามัวแต่ดัดจริตร้องไห้บีบน้ำตาเป็นเผาเต่า ข้าจะไปพูดอะไรทันล่ะ ผู้ชายเขาก็ออกจะดีอายุอานามก็พอสมควร ไม่เด็กไป ไม่มากไป เป็นมหาดเล็กรับใช้พระองค์ชื่อ เปรม ลูกเจ้าพระยาโชดึก เงินทองก็มีเยอะแยะเจ้ายังไม่พอใจอีกหรือ รู้จักเขาบ้างหรือยัง..?
"เคยเห็นหน้ากระมังคะ แต่ไม่เคยรู้จักพูดจากัน หม่อมฉันไม่เคยนึกรักเขาเลยมังคะ"
"แน่ะ...ไปเอาความรักขึ้นมาอ้าง ก็เจ้าอยู่แต่ในวังนี้ เจ้าจะไปเที่ยวรักกับผู้ชายได้ยังไง ถึงจะรักไม่รักนั้นไม่สำคัญหรอก อยู่กินกันไปเดี๋ยวก็รักไปกันเอง สำคัญมันอยู่ที่ว่าผู้ใหญ่ของเจ้าเขาสมควรจะปลูกฝังให้เจ้าเป็นหลักเป็นฐาน และเจ้ารู้สึกว่ามีหน้าที่ที่ต้องทำตามหรือเปล่าล่ะ "
พลอยก้มหน้าเงียบ
เสด็จก็ทรงนิ่งไปซักพัก...แล้วทรงกล่าวขึ้นว่า
"ที่ผู้ใหญ่เขาจัดการให้ เพราะเขารักเจ้า จึงอยากให้เจ้าได้ดี คิดดูให้ดีๆเถอะพลอย สมมุติเจ้าได้ผัวที่รักใคร่กันมาก่อน เจ้าอยู่กับเขาก็มีแต่ความรักของเจ้าเองเป็นหลัก วันไหนหมดรักกันขึ้นมา ก็หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ต่อกันไปไม่ได้ แต่ถ้าเจ้าได้คนที่ผู้ใหญ่ปลูกฝังให้ เห็นพร้อมกันทุกฝ่าย เจ้าก็จะมีความรักของพ่อแม่เป็นหลัก เจ้าก็มีหน้าที่ปฏิบัติตามที่ผู้ใหญ่เห็นดีเห็นงาม พวกเจ้าก็จะอยู่กันไปยืด เพราะความรัก ความเจตนาดีของพ่อแม่นั้นไม่มีที่สิ้นสุด...เจ้าจะว่าอย่างไร..?
ทางพลอยนั้น ถูกเลี้ยงเติบโตมาโดยรับการอบรมมาแต่เล็กว่าเป็นคนที่เชื่อฟังกตัญญู ไม่ให้ขัดพระประสงค์ของเจ้านาย และเมื่อเติบโตขึ้นมา ก็ได้เห็นแต่เมตตาขององค์เสด็จ จึงรู้สึกในใจของตนอยู่เสมอ ว่าไม่มีสิ่งใดยาก ที่จะปฏิบัติตามพระประสงค์ แต่เรื่องที่จะต้องแต่งงานกับคุณเปรม พลอยก็ยังลังเลอยู่นั่น ไอ้ครั้นจะทูลตอบตกลง ก็อายจึงไม่สามารถจะเอ่ยปากตอบได้ จึงนิ่งกุกกักอยู่อย่างนั้น แล้วก็เอ่ยขึ้นว่า
"นิสัยใจคอเขาเป็นยังไงหม่อมฉันก็ยังไม่ทราบ ยังนึกกลัวอยู่ อยากจะขอผลัดเวลาออกไปอีกหน่อยกระมังคะ
"กลัว...กลัวอะไรกัน ถ้าเจ้ากลัวว่าจะเป็นแม่เรือให้เขาไม่ได้ เจ้าก็ไม่ต้องวิตกในข้อนั้น เพราะข้าไม่ได้เลี้ยงเจ้ามาเปล่าๆ แต่คอยดูแลอบรมสั่งสอนเจ้าอยู่เสมอ ถ้าจะพูดถึงวิชาความรู้ทางการบ้านการเรือน เจ้าก็ไม่น้อยหน้าใคร พูดถึงสกุลรุนชาติของเจ้า ก็นับว่าดีกว่าคนอื่นอีกมาก ถ้าจะพูดถึงสังคมที่เจ้าได้ผ่านมาแล้วเจ้าก็เคยอยู่ในที่สูง ได้รู้ได้เห็นอะไรมามาก เจ้าจะไปกลัวอะไรนักหนา "
" ถ้าเจ้ากังวลในฝั่งผู้ชาย เจ้าก็ควรคิดให้ดี ว่าผู้ใหญ่ของเจ้าเขาพร้อมใจและเห็นว่าดี และเจ้าก็คงนึกเหมือนเด็กสมัยนี้ ว่าผู้ใหญ่ไม่รู้เรื่อง เป็นคนโบราณคร่ำครึ หรือไม่...นั้นก็เห็นแก่ได้ เห็นเขาร่ำรวยก็คิดจะยกให้ลูกให้เขาไป หากเจ้าคิดเช่นนั้นเจ้าก็เข้าใจผิด.....เจ้าควรจะนึกว่าผู้ใหญ่นั้น รักเจ้าเจตนาดีต่อเจ้าเสมอ ก่อนที่ผู้ใหญ่จะปลงใจเห็นดี เขาก็คงจะคิดแล้วคิดอีกว่าผู้ชายเป็นคนดีจะพอเลี้ยงเจ้าให้มีความสุขได้หรือไม่ เขาคงไม่ดูแต่รูปร่างฐานะหรอก หากผู้ชายไม่ดีจริงใครเขาจะไปยกลูกสาวให้"
"พ่อของเจ้าเองก็ไม่ใช่คนยากคนจนที่จะแต่งเจ้าเพื่อหวังสมบัติ และเท่าที่ข้ารู้จักเขามาเขาเป็นคนละเอียดทำอะไรไม่ผิดพลาด จะมียุ่งๆก็แต่เรื่องนางแม่ของเจ้าเท่านั้นแหละ แต่ข้ารู้จักนางแช่มดีมันเป็นคนเลี้ยงยาก จะไปโทษเขาฝ่ายเดียวก็คงไม่ได้ "
เสด็จทรงนิ่ง นึกถึงเรื่องเก่าๆแล้วก็ถอนใจ และรับสั่งต่อไปอีกว่า
"นี่ข้าก็เพ้อไปคนเดียวมาตั้งนานแล้ว อันที่จริงมันก็ไม่ใช่กงการอะไรของข้า ก็แค่สั่งคนไปบอกเขาว่าข้าไม่ขัดข้อง แค่นั้นก็จบ ส่วนพวกเจ้าจะยังไม่ตกลงปลงใจหรือจะไปอาละวาดกันอย่างไรอีกก็ไปพูดกันเอาเองตามประสาพ่อลูกเถิด...
ยุคสมัยนี้ต่างเลือกคู่ครองกันเอง ไม่มีการคลุมถุงชนแบบคนสมัยก่อน แล้วปัญหาการหย่าร้างมันน้อยลงกว่าแต่เก่าไหมฮะ...?
จึงยกช่วงหนี่งในหนังสือเรื่อง สี่แผ่นดิน ช่วงที่เสด็จพูดกับพลอยเรื่องการออกเหย้าออกเรื่อน มาให้อ่านไปพลางๆเพื่อทำความเข้าใจบริบทของสังคมยุคนั้นฮะ
"นังพลอยพ่อของเจ้า เขาให้คนมาบอกว่าเขาจะขอลาตัวเจ้าออกไปแต่งงานเจ้าจะว่าอย่างไร "
พลอยสะดุ้ง ใจสั่น พลางระล่ำระลักตอบไปว่า
"หม่อมฉันยังไม่สมัครใจมั้งคะ"
"ทำไมมีเหตุอะไรรึ..?"
"หม่อมฉันยังอยากสนองพระเดชพระคุณ ประกอบไม่เคยคิดเรื่องการมีเหย้ามีเรือนเลยมั้งคะ"
"เจ้าก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้วเรื่องมีเหย้ามีเรือนถึงยังไม่เคยคิด ก็ควรต้องคิดได้แล้ว ไอ้เรื่องที่เจ้าคิดจะอยู่กับข้าต่อไปนั้น ข้าก็ขอบใจ แต่เจ้าก็ควรจะคิดให้ดีๆอายุข้าก็มากขึ้นทุกวัน....ถ้าข้าเกิดมาแล้วไม่รู้จักตาย และสามารถเลี้ยงเจ้าไปได้เรื่อยๆ ข้าก็ไม่ว่าอะไร ข้ากลัวว่าข้าจะตายเสียก่อน แล้วเจ้าจะเป็นอย่างไร"
" เจ้าเข้ามาอยู่ในวังก็หลายปีแล้ว ไม่ได้สังเกตดูมั่งหรือว่า สมัยก่อนเจ้านายอยู่กันครึกครื้นกว่าสมัยนี้มาก แต่เดี๋ยวนี้ดูสิตำหนักว่างลงหลายตำหนักแล้ว ตำหนักไหนเจ้าของตายก็ต้องปิดไฟ ปล่อยร้างทรุดโทรมลงไปไม่มีปัญญาซ่อมแซม ตำหนักนี้ ซักวันก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น "
" ถึงเจ้าจะคิดถึงก็กลับมาเยี่ยมข้าได้เสมอ ใช่ว่าตัดขาดไปเสียเมื่อไหร่"
พลอยรู้สึกจุกในลำคอ ก้มหน้าไม่ตอบน้ำตาอาบแก้ม
"ดูสิข้าพูดด้วยดีๆ ก็มาบีบน้ำตาร้องไห้ พวกเจ้าก็เหมือนพวกนางชาววังทั้งหลายเป็นโรคบ่อน้ำตาตื้น ดีใจก็ร้องไห้ เสียใจก็ร้องไห้ จนข้าดูไม่ออกแล้วว่าเจ้าร้องไห้เพราะอะไร เที่ยวไปเอาน้ำหูน้ำตามาจากไหนกันนักหนา"
"แต่ว่าหมอฉันไม่อยากออกไปจากที่นี่กระมังคะ"
"โอ้ย...ดัดจริต!! ลองข้าขวางไม่ให้ออกไปมีลูกมีผัวกัน ก็จะบีบน้ำตาร้องไห้อีกนั่นแหละเที่ยวด่าข้าว่ากดขี่ บังคับ ข้ารู้หรอกนะ พอข้าเห็นด้วยทีงี้ก็กลับมาบีบน้ำตา คิดถึงพระเดชพระคุณ ร่ำๆไม่อยากจะออกไป ข้าล่ะเอาใจพวกเจ้าไม่ถูกจริงๆ!!...
"เจ้าคุณพ่อจะยกให้ใครหม่อมฉันก็ยังไม่ทราบ ตัดสินใจไม่ถูกกระมังคะ"
"ก็เจ้ามัวแต่ดัดจริตร้องไห้บีบน้ำตาเป็นเผาเต่า ข้าจะไปพูดอะไรทันล่ะ ผู้ชายเขาก็ออกจะดีอายุอานามก็พอสมควร ไม่เด็กไป ไม่มากไป เป็นมหาดเล็กรับใช้พระองค์ชื่อ เปรม ลูกเจ้าพระยาโชดึก เงินทองก็มีเยอะแยะเจ้ายังไม่พอใจอีกหรือ รู้จักเขาบ้างหรือยัง..?
"เคยเห็นหน้ากระมังคะ แต่ไม่เคยรู้จักพูดจากัน หม่อมฉันไม่เคยนึกรักเขาเลยมังคะ"
"แน่ะ...ไปเอาความรักขึ้นมาอ้าง ก็เจ้าอยู่แต่ในวังนี้ เจ้าจะไปเที่ยวรักกับผู้ชายได้ยังไง ถึงจะรักไม่รักนั้นไม่สำคัญหรอก อยู่กินกันไปเดี๋ยวก็รักไปกันเอง สำคัญมันอยู่ที่ว่าผู้ใหญ่ของเจ้าเขาสมควรจะปลูกฝังให้เจ้าเป็นหลักเป็นฐาน และเจ้ารู้สึกว่ามีหน้าที่ที่ต้องทำตามหรือเปล่าล่ะ "
พลอยก้มหน้าเงียบ
เสด็จก็ทรงนิ่งไปซักพัก...แล้วทรงกล่าวขึ้นว่า
"ที่ผู้ใหญ่เขาจัดการให้ เพราะเขารักเจ้า จึงอยากให้เจ้าได้ดี คิดดูให้ดีๆเถอะพลอย สมมุติเจ้าได้ผัวที่รักใคร่กันมาก่อน เจ้าอยู่กับเขาก็มีแต่ความรักของเจ้าเองเป็นหลัก วันไหนหมดรักกันขึ้นมา ก็หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ต่อกันไปไม่ได้ แต่ถ้าเจ้าได้คนที่ผู้ใหญ่ปลูกฝังให้ เห็นพร้อมกันทุกฝ่าย เจ้าก็จะมีความรักของพ่อแม่เป็นหลัก เจ้าก็มีหน้าที่ปฏิบัติตามที่ผู้ใหญ่เห็นดีเห็นงาม พวกเจ้าก็จะอยู่กันไปยืด เพราะความรัก ความเจตนาดีของพ่อแม่นั้นไม่มีที่สิ้นสุด...เจ้าจะว่าอย่างไร..?
ทางพลอยนั้น ถูกเลี้ยงเติบโตมาโดยรับการอบรมมาแต่เล็กว่าเป็นคนที่เชื่อฟังกตัญญู ไม่ให้ขัดพระประสงค์ของเจ้านาย และเมื่อเติบโตขึ้นมา ก็ได้เห็นแต่เมตตาขององค์เสด็จ จึงรู้สึกในใจของตนอยู่เสมอ ว่าไม่มีสิ่งใดยาก ที่จะปฏิบัติตามพระประสงค์ แต่เรื่องที่จะต้องแต่งงานกับคุณเปรม พลอยก็ยังลังเลอยู่นั่น ไอ้ครั้นจะทูลตอบตกลง ก็อายจึงไม่สามารถจะเอ่ยปากตอบได้ จึงนิ่งกุกกักอยู่อย่างนั้น แล้วก็เอ่ยขึ้นว่า
"นิสัยใจคอเขาเป็นยังไงหม่อมฉันก็ยังไม่ทราบ ยังนึกกลัวอยู่ อยากจะขอผลัดเวลาออกไปอีกหน่อยกระมังคะ
"กลัว...กลัวอะไรกัน ถ้าเจ้ากลัวว่าจะเป็นแม่เรือให้เขาไม่ได้ เจ้าก็ไม่ต้องวิตกในข้อนั้น เพราะข้าไม่ได้เลี้ยงเจ้ามาเปล่าๆ แต่คอยดูแลอบรมสั่งสอนเจ้าอยู่เสมอ ถ้าจะพูดถึงวิชาความรู้ทางการบ้านการเรือน เจ้าก็ไม่น้อยหน้าใคร พูดถึงสกุลรุนชาติของเจ้า ก็นับว่าดีกว่าคนอื่นอีกมาก ถ้าจะพูดถึงสังคมที่เจ้าได้ผ่านมาแล้วเจ้าก็เคยอยู่ในที่สูง ได้รู้ได้เห็นอะไรมามาก เจ้าจะไปกลัวอะไรนักหนา "
" ถ้าเจ้ากังวลในฝั่งผู้ชาย เจ้าก็ควรคิดให้ดี ว่าผู้ใหญ่ของเจ้าเขาพร้อมใจและเห็นว่าดี และเจ้าก็คงนึกเหมือนเด็กสมัยนี้ ว่าผู้ใหญ่ไม่รู้เรื่อง เป็นคนโบราณคร่ำครึ หรือไม่...นั้นก็เห็นแก่ได้ เห็นเขาร่ำรวยก็คิดจะยกให้ลูกให้เขาไป หากเจ้าคิดเช่นนั้นเจ้าก็เข้าใจผิด.....เจ้าควรจะนึกว่าผู้ใหญ่นั้น รักเจ้าเจตนาดีต่อเจ้าเสมอ ก่อนที่ผู้ใหญ่จะปลงใจเห็นดี เขาก็คงจะคิดแล้วคิดอีกว่าผู้ชายเป็นคนดีจะพอเลี้ยงเจ้าให้มีความสุขได้หรือไม่ เขาคงไม่ดูแต่รูปร่างฐานะหรอก หากผู้ชายไม่ดีจริงใครเขาจะไปยกลูกสาวให้"
"พ่อของเจ้าเองก็ไม่ใช่คนยากคนจนที่จะแต่งเจ้าเพื่อหวังสมบัติ และเท่าที่ข้ารู้จักเขามาเขาเป็นคนละเอียดทำอะไรไม่ผิดพลาด จะมียุ่งๆก็แต่เรื่องนางแม่ของเจ้าเท่านั้นแหละ แต่ข้ารู้จักนางแช่มดีมันเป็นคนเลี้ยงยาก จะไปโทษเขาฝ่ายเดียวก็คงไม่ได้ "
เสด็จทรงนิ่ง นึกถึงเรื่องเก่าๆแล้วก็ถอนใจ และรับสั่งต่อไปอีกว่า
"นี่ข้าก็เพ้อไปคนเดียวมาตั้งนานแล้ว อันที่จริงมันก็ไม่ใช่กงการอะไรของข้า ก็แค่สั่งคนไปบอกเขาว่าข้าไม่ขัดข้อง แค่นั้นก็จบ ส่วนพวกเจ้าจะยังไม่ตกลงปลงใจหรือจะไปอาละวาดกันอย่างไรอีกก็ไปพูดกันเอาเองตามประสาพ่อลูกเถิด...