นารีอุปถัมภ์ ตอน2 (Furryjit)

ชายหนุ่มขนลุกชูชัน อาการเมาเท่าที่มีมาหายเป็นปลิดทิ้ง เหลียวแลหน้าแลหลังแล้วอยากจะเข้าใจว่าเป็นอย่างอื่น แต่มันคงไม่ผิด จึงสูดลมหายใจ  ตั้งสติมั่น แข็งใจพูดไป

“เอาเงินไปเลยจ้ะแม่คุณ ขนมฉันไม่เอาหรอก กินมาอิ่มแปล้แล้ว ขอบใจนะ ฉันไปล่ะ”

พูดพลางยื่นเงินให้เท่าที่มีในกระเป๋า คงไม่ต่ำกว่าสามร้อยบาท ชายหนุ่มไม่มองหน้าแม่ค้าคนขาย รีบจ้ำอ้าวไปทันทีไม่เหลียวหลัง

“พ่อหนุ่มรูปหล่อจะรีบไปไหน ขอฉันไปนอนเป็นเพื่อนด้วยคนสิ”

แล้วก็มีเสียงหัวเราะยะเยือกไล่หลังมา สุนัขเจ้ากรรมที่มีในบริเวณนั้นสามสี่ตัว หอนรับกันเป็นทอดๆ ปวงเทพเปลี่ยนเป็นกึ่งเดินกึ่งวิ่งมายังเต็นท์ที่พัก

ชายหนุ่มรีบมุดเข้าในเต็นท์  รู้สึกปลอดภัยขึ้นมานิดหน่อยแม้ไม่ทั้งหมด ใจหนึ่งอยากจะกลับไปขอนอนรวมที่เต็นท์คนงาน แต่นั่นหมายความว่าเขาต้องเดินย้อนกลับทางเดิม ผ่านต้นตะเคียนแห่งนั้นอีก

ชายหนุ่มสวดอิติปิโสสามรอบแล้วู้สึกจิตผ่องแผ้วขึ้น แม้ว่าจะไม่มีพระห้อยคอไว้ก็ตาม  เขาล้มตัวลงนอน พยายามสงบใจข่มตาหลับ ด้วยความที่ชายหนุ่มเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ถึงแม้จะไม่ตรากตรำเช่นคนงาน แต่ก็ตะลอนไปทั่วรีสอร์ต ไม่นานนักก็เคลิ้มๆใกล้หลับ

เขาพลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้ประตูเต็นท์ จู่ๆสุนัขตัวแสบก๊วนเดิมก็หอนประสานเสียงขึ้นมาอีก ลมเย็นภายนอกพัดวูบเข้ามาข้างใน เหมือนประตูเต้นท์เปิดออก มีร่างๆหนึ่งมานอนประกบสวมกอดจากข้างหลัง จากสรีระคู่หนึ่งบนร่างกายที่สัมผัสแผ่นหลังบ่งบอกได้ว่าเป็นสตรี

แต่ผู้หญิงที่ไหนล่ะ เข้ามาในเต็นท์ยามวิกาลกอดกับผู้ชายที่ไม่รู้จักมักจี่ด้วย ผู้หญิงคนงานมีอยู่หลายคนก็จริง แต่ปวงเทพไม่เห็นว่าใครจะแสดงอาการอ่อยหรือถูกตาต้องใจกับเขาเลย นอกจาก

เมื่อคำตอบนั้นชัดเจนในใจ ชายหนุ่มก็เย็นวาบไปทั่วใขสันหลัง มีเสียงหัวร่อระริกดังขึ้นอย่างถูกใจ

“อย่ามองว่าฉันเป็นอย่างนั้นสิ แล้วเธอจะไม่กลัว ให้คิดว่าฉันเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่พร้อมจะเป็นของเธอในคืนนี้ พ่อรูปหล่อ ฉันตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น แต่ต้องรอให้ตกกลางคืนเสียก่อน”

ปวงเทพขนลุกเกรียว แข็งใจท่องบทสวดมนตร์อย่างกระท่อนกระแท่น ร่างนั้นขยับกอดรัดเบียดเสียดเข้ามาอีก สุ้มเสียงหยาดเยิ้มขยับมาพูดที่ข้างหู

“ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก พ่อรูปงาม หยุดสวดเสียเถอะ หันมามองหน้าฉันดีกว่า ฉันสวยนะจะบอกให้ คืนชักช้าฉันจะกลับร่างเดิม แล้วเธอจะดีฝ่อตาย”

ชายหนุ่มตัวสั่นงันงก แต่ปลอบกำลังขวัญตอบกลับ

“เธออย่ามายุ่งกับฉันเลย เราต่างคนต่างอยู่เถอะ ฉันสัญญาว่าจะทำบุญกรวดน้ำไปให้เธอ”

“ฉันไม่รับ” คราวนี้น้ำเสียงเสนาะหูเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดทันที เหมือนเจ้าของเสียงหมดความอดทน

“ฉันต้องการให้เเกสมสู่กับฉัน แกจะหันมาดีๆหรือจะให้บิดคอแกหมุนมา แต่ลำตัวแกอยู่ท่าเดิมนะ เลือกเอา”

คำขู่นั้นมีอำนาจเหนือกว่าความกลัว ทำให้ชายหนุ่มต้องจำเป็นต้องฝืนใจพลิกตัวไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ใบหน้าที่ปรากฎขึ้น งดงามแบบที่กล่าวไว้ไม่เกินเลย คิ้วตาจมูกปาก รูปหน้ารับกันเหมาะเจาะ ปวงเทพแทบลืมหายใจ ถ้าไม่รู้ว่าหล่อนเป็นอะไรบางทีเขาอาจอดใจไม่ได้

ดวงตาคู่นั้นเป็นระกายอย่างเย้ายวน น้ำเสียงเธอแผ่วลงคลายความขึ้ง ยกมือที่ค่อนข้างเย็นเฉียบลูบไล้ไปตามร่างกายชายหนุ่มเพื่อกระตุ้นกำหนัด

“ทำรักกับฉันสิเธอ เห็นไหมฉันไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ประเดี๋ยวสักคู่เธอจะรู้สึกเองว่าฉัน
เหมือนมนุษย์ผู้หญิงธรรมดาทุกอย่าง

ปวงเทพอาจจะต้องตบะแตกจริงๆ ถ้าหากในความมืดอนธการเบื้องนอกไม่ได้มีเสียงสวบสาบของสิ่งหนึ่ง เคลื่อนไหวเสียดสีกับพงหญ้าตรงมาอย่างรวดเร็ว 

เสียงนั้นมาหยุดลงที่หน้าเต็นท์ ปวงเทพได้ยินเสียงฟ่อๆเหมือนพ่นลมออกจากจมูก ในความวิเวกของราตรีกาล  จึงสดับได้อย่างชัดเจน

สตรีที่อยู่ในเต็นท์กับเขา หยุดชะงักการกระทำทั้งมวลลง สายตาวาวเป็นประกายแม้ในความมืด เพ่งมองราวกับทะลุผืนผ้าใบออกไปข้างนอกได้ ท่าทีขเกลียวขึ้น

สิ่งที่อยู่ข้างนอกไม่ได้มีสัญญาณว่าจะบุกรุกเข้ามา แต่มีการขยับเขยื้อนร่างอย่างงุ่นง่าน สตรีที่อยู่ในเต็นท์ก็แสดงอาการตื่นตัว แต่ยังสงวนท่าทีคุมเชิงกันอยู่

เหมือนว่าผ่านไปสักครู่ นางที่อยู่ในเต็นท์สำเหนียกแล้วว่าสิ่งที่อยู่นอกเป็นอะไรแล้ว เพราะนางมีอาการผ่อนคลายความระวังลง

“โถนึกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน ที่แท้ก็นางครึ่งคนครึ่ง……” ผู้หญิงในเต็นท์แค่นเสียงในลำคอ ทำให้ได้ยินคำสุดท้ายไม่ถนัด

“มาทำไมย่ะแม่ ปกติเราทั้งคู่ไม่ไปมาหาสู่กันอยู่แล้ว เธออยู่ในน้ำของเธอ ฉันอยู่ที่ต้นไม้”

ปวงเทพสมองอึงอล หมุนติ้วไปหมด แต่ทันใดก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น

“ปวงเทพเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” สุ่มเสียงนั้นเจือไปด้วยความห่วงใย

นางผู้ลึกลับที่อยู่ในเต็นท์พอได้ยินก็หัวร่อออกมาอย่างเย้ยหยัน

“ที่แท้ก็พิศมัยในตัวพ่อคนนี้เหมือนกัน ไม่ได้หรอกนะ เขากำลังจะตกเป็นผัวของฉันอยู่
ร่อมร่อแล้ว”

มีเสียงถอนหายใจดังขึ้น ก่อนที่จะกล่าวถ้อยคำวิงวอนออกมา

“ถือว่าครั้งนี้เราขอเถอะ แม่ตะเคียน ปล่อยเขาไป เจ้าสมสู่กับมนุษย์ไม่ได้ อายุขัยเขาจะสั้นลง”

“เฮอะ เราไม่ได้ เจ้าก็ทำไม่ได้เช่นกัน เพราะเจ้าเป็น____” นางตะเคียนตะคอกกลับ

คราวนี้นางที่อยู่ข้างนอกเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงโศกศัลย์

“เราไม่อาจคิดมุ่งหวังสูงขนาดได้ร่วมหอลงโรง แค่มีวาสนาได้พบกันชาตินี้เราก็พอใจแล้ว”

เหมือนกับนางตะเคียนจะใจอ่อน เพราะดวงตานางฉายแววเวทนาขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่ก็ไม่วายพูดกระแทกกระทั้น

“เอาเถอะ เห็นแก่เธอเราจะปล่อยเขาไป ถึงเธอกับฉันจะไม่สุงสิงกัน แต่เราทั้งสองก็อยู่ร่วมกันได้ แต่ที่ถูกขังอยู่ในหีบบนเรือนนั่น”

นางตะเคียนเหลียวหน้าไปทางเรือนไทย ก่อนพูดด้วยเสียงหวั่นๆ

“หลุดออกมาเมื่อไหร่ อาละวาดหนักแน่ หลังจากนั้น จะหามีนนุษย์ตนใดอาศัยในอาณาเขตนี้ต่อไปอีกได้ไม่“

“เราหากลัวเกรงมันไม่ แค่แม่ตะเคียนปกปักรักษาอยู่แถวนี้ เราเชื่อว่ามันไม่กล้าเหิมเกริมแสดงอิทธิฤทธิ์ แต่ถึงเวลาเราจะช่วยอีกแรง” สตรีเบื้องนอกเยินยออย่างเอาใจ

รอยยิ้มอิ่มเอมผุดขึ้นบนใบหน้าแม่ตะเคียน ก่อนสะบัดมาค้อนปวงเทพ

“ฉันไปแล้วย่ะ พ่อคุณ แล้วอย่ามาวนเวียนล่อตาฉันบ่อยๆล่ะ ฉันอาจตบะแตกก็ได้ คราวนี้จะมาโทษฉันไม่ได้”

แล้วร่างเธอก็หายวับไปกับตา เล่นเอาปวงเทพสะดุ้งโหยง มีเสียงปลอบมาจากข้างนอก

“อย่าได้กลัวเลย ปวงเทพ แม่ตะเคียนมายอกเย้าด้วยเอ็นดูเจ้านะ นางไม่เคยทำมนุษย์ผู้ใดอาสัณถึงชีวิตแม้แต่น้อย ยกเว้นพวกปากคะนองลองดี กระทำการลบหลู่ นางก็แค่สั่นสอนให้หลาบจำ”

“เธอ เธอเองก็ไม่ใช่คนใช่ไหม ลองเธอไม่กลัวผี และสื่อสารกันรู้เรื่อง” ปวงเทพตัดสินใจถามตรงๆ จากการประมวลเหตุการณ์ทั้งหมดแล้วไม่อาจเข้าใจเป็นอื่นได้เลย

สตรีนางนั้นถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย

“เจ้าจะเข้าใจเช่นนั่นก็ได้ เพราะเราอยู่ต่างเผ่าพันธุ์กับเจ้า”

“ผมออกไปหาคุณได้หรือไม่” มาถึงขั้นนี้แล้วปวงเทพตัดสินใจเป็นไงเป็นกัน

สตรีนางนั้นรีบร้องห้าม เหมือนมีการเคลื่อนไหวห่างออกไปให้กลืนเข้ากับความมืด

“อย่าได้ออกมา ปวงเทพ เรายังไม่พร้อมที่จะให้เจ้าเห็นเราไนร่างนี้ เนื่องจากเราเป็นห่วงเจ้า เดินด้วยขามนุษย์อาจไม่ทันการ จำต้องเคลื่อน....ไหวตามธรรมชาติของเรา ถึงได้มาได้ในเฉียบพลัน”

“ผมจะมีโอกาสเจอคุณได้อีกหรือไม่” ปวงเทพกล่าวขึ้นด้วยความหวังริบหรี่

“เราจะได้เจอกันอีก ปวงเทพ เมื่อถึงเวลา บัดนี้เจ้าจงเข้าสู่นิทราเสียเถิด ราตรีนี้จะไม่มีสิ่งใดมารบกวนเจ้าอีก “เสียงนุ่มนวลนั่นค่อยๆจางหายไป จนสรรพเสียงทุกอย่างหวลคืนสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง

ปวงเทพนั่งนิ่งเงี่ยหูฟังอยู่สักพัก ก็เห็นว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าล้มตัวลงนอนพักผ่อน แต่เรื่องที่ประสบมาหมาดๆ ก็ยากยิ่งจะข่มตาให้หลับได้ลง แต่อย่างไรก็ดีด้วยความอ่อนเพลียชายหนุ่มก็ผล้อยหลับไปก่อนฟ้าสาง

แปดนาฟิกา ชายหนุ่มงัวเงียตื่นขึ้น เพราะถูกปลุกด้วยเสียงเอะอะมะเทิ่งข้างนอกเต็นท์ ชายหนุ่มลุกขึ้นเปิดซิบประตูแล้วเยี่ยมหน้าออกไปดู

คนงานชายหลายคน ซึ่งบัดนี้เริ่มจะคุ้นเคยรู้นิสัยกันแล้วสามสี่คนเดินวนรอบๆบริเวณที่พักของเขา ก้มมองอะไรที่พื้นดิน แล้วชี้ให้กันดูด้วยสีหน้าแตกตื่นตกใจ

คนงานคนหนึ่งหันมาทางปวงเทพพอดี  เขาเลยร้องถามออกไป

“มีอะไรกันหรือครับพี่ชาย”

“รอยงูครับนาย ดูจากลำตัวที่มันลากไถลกับพื้นแล้ว ผมว่าใหญ่ประมาณท่อนซุงได้” คนชื่อเด่นตอบด้วยสีหน้าหวั่นวิตก มองสำรวจเต็นท์ของชายหนุ่ม เมื่อไม่เห็นอะไรผิดปกติเขาก็ระบายลมออกจากปาก

“โชคดีของนายเหลือเกิน นี้รอยมันห่างเต็นท์นายแค่เมตรกว่าๆเองนะครับ เชื่อผมเถอะ ผมว่านายนอนตรงนี้อีกไม่ได้แล้วครับ”

ปวงเทพกลืนน้ำลายเอื้อก ความง่วงนอนมลายหมดสิ้น เขารีบลุกขึ้นไปรวมกลุ่มกับคนงานทันที
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่