เปิดแผล 'แรมโบ้' เคยถูก 'ประยุทธ์' แจ้งจับ ม.112 จี้ถาม ตั้งคนแบบนี้ เป็นผู้ช่วยฯ
https://www.khaosod.co.th/politics/news_6067980
“เรืองไกร” จี้ถาม “นายกฯ ประยุทธ์” ตั้ง “แรมโบ้อีสาน” คนเดียวกัน กับที่เคยถูกกองทัพแจ้งความ ในคดีหมิ่น ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 หรือไม่
เมื่อวันที่ 4 มี.ค.2564 นาย
เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตส.ว. เปิดเผยว่า วันนี้ตนได้ส่งหนังสือทางอีเอ็มเอสถาม พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า
นายสุพร อัตถาวงศ์ ที่เคยถูกกองทัพบกแจ้งความคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (มาตรา 112) เมื่อวันที่ 12 เม.ย.2554 กับ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ที่ตั้งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 ส.ค.2562 เป็นคนเดียวกันหรือไม่
ทั้งนี้ หากย้อนไปเมื่อวันที่ 12 เม.ย.2554 พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในขณะนั้น ได้มอบหมายให้ พ.อ.
จีระ หลงประดิษฐ์ นายทหารพระธรรมนูญ เข้าพบ ผกก.สน.สำราญราษฎร์ เพื่อแจ้งความดำเนินคดี นาย
จตุพร พรหมพันธุ์ นาย
สุภรณ์ อัตถาวงษ์ (แรมโบ้อีสาน) และนาย
วิเชียร ขาวขำ แกนนำ นปช. ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (ม.112) จากการปราศรัยครบรอบ 1 ปี เหตุสลายการชุมนุมราชดำเนิน ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2554
“เผ่าภูมิ”แย้ง“อาคม”ปรับ 3 เงื่อนไขซอฟต์โลน แก้ปัญหาแค่เปลือก ไม่ใช่ที่แก่น
https://www.matichon.co.th/politics/news_2606778
“เผ่าภูมิ” แย้ง “อาคม” แก้ไขเงื่อนไขซอฟต์โลน แค่เปลือก แต่แก่นไม่ถูกต้อง
เมื่อวันที่ 4 มีนาคม นาย
เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์นโยบายและวิชาการพรรคพท. กล่าวถึงกรณีนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเกี่ยวกับการแก้ไขรายละเอียด พ.ร.ก.ซอฟต์โลน ในงานสัมมนา “
จับสัญญาณการลงทุนยุค New Normal” ว่า
1.ที่เสนอขยายวงเงินต่อรายเพิ่มเป็น 500 ล้านบาท จากเดิมที่อยู่ราว 20 ล้านบาทต่อราย ต้องอย่าลืมว่ากลุ่มที่มีปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อในวิกฤตรอบนี้ไม่ใช่รายใหญ่ แต่กลับเป็นรายย่อย นอกจากนั้นรายใหญ่ยังมีวิธีการระดมทุนอื่นนอกเหนือจากระบบสินเชื่ออยู่แล้ว ผลลัพธ์จากการแก้เงื่อนไขนี้เราจะเห็นยอดซอฟต์โลนเดินมากขึ้น แต่จะเดินในส่วนของสินเชื่อรายใหญ่ ในขณะที่ยอดรายย่อยยังเหมือนเดิม ในภาวะแบบนี้เราต้องการเกลี่ยให้ธุรกิจรายย่อยให้ได้สินเชื่อในวงกว้างไม่ใช่หรือ
นาย
เผ่าภูมิ กล่าวอีกว่า
2. ที่เสนอปรับเพดานดอกเบี้ยมากกว่า 2% อันนี้เห็นด้วยครึ่งหนึ่ง เพราะปัจจัยหลักที่ทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่ปล่อยกู้คือ ความเสี่ยง และที่ผ่านมาผลตอบแทนเพียง 2% นั้นต่ำและไม่คุ้มเสี่ยง ฉะนั้นการปรับผลตอบแทนให้สอดคล้องกับความเสี่ยงก็เป็นสิ่งที่พึงกระทำ แต่มีวิธีที่ดีกว่า มีประสิทธิภาพ และตรงจุดมากกว่า คือ การเพิ่มการชดเชยความเสียหายผ่านกลไกบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ตามโครงการ PGS
และ 3. ที่เสนอโครงการโกดังพักหนี้นั้น ตรงนี้จะมุ่งช่วยกลุ่มธุรกิจโรงแรมเป็นหลัก เพราะมีสินทรัพย์ที่จับต้องได้ สามารถตีโอนสินทรัพย์ให้กับธนาคารได้ แต่ต้องอย่าลืมว่าภาคบริการและท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่ได้มีสินทรัพย์จับต้องได้แบบนี้ เป็นธุรกิจรายย่อยที่มีความไม่เป็นทางการสูง ซึ่งไม่ได้ประโยชน์เลยจากโครงการนี้ โครงการโกดังพักหนี้จึงเป็นการแก้ปัญหาเพียงจุดเล็กๆจุดเดียวเท่านั้น
ทั้งนี้ ทั้ง 3 ข้อ เป็นการแก้ปัญหาที่เปลือก แต่แก่นคือที่กลไกที่ไปผ่านธนาคารพาณิชย์มันไม่ถูกต้องโดยเฉพาะในภาวะวิกฤติ แนวทางที่จะแก้ปัญหาหลักของซอฟต์โลนนั้น เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ไม่พร้อมทำ ไม่พร้อมเสี่ยง ภาครัฐก็ต้องใช้กลไกของตัวเองในการทำซอฟต์โลนเอง นั่นคือธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ เพราะรัฐสามารถกำหนดทิศทาง รับความเสี่ยง และรับความเสียหายได้เอง
JJNY : เปิดแผล 'แรมโบ้'│“เผ่าภูมิ”แย้ง“อาคม”แก้ปัญหาแค่เปลือก│อ.เจษฎาอึ้งปปช.เพิ่งเชิญหลังแฉ12ปี│ชาวเมียนมาฮือชุมนุมอีก
https://www.khaosod.co.th/politics/news_6067980
“เรืองไกร” จี้ถาม “นายกฯ ประยุทธ์” ตั้ง “แรมโบ้อีสาน” คนเดียวกัน กับที่เคยถูกกองทัพแจ้งความ ในคดีหมิ่น ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 หรือไม่
เมื่อวันที่ 4 มี.ค.2564 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตส.ว. เปิดเผยว่า วันนี้ตนได้ส่งหนังสือทางอีเอ็มเอสถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า
นายสุพร อัตถาวงศ์ ที่เคยถูกกองทัพบกแจ้งความคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (มาตรา 112) เมื่อวันที่ 12 เม.ย.2554 กับ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ที่ตั้งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 ส.ค.2562 เป็นคนเดียวกันหรือไม่
ทั้งนี้ หากย้อนไปเมื่อวันที่ 12 เม.ย.2554 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในขณะนั้น ได้มอบหมายให้ พ.อ.จีระ หลงประดิษฐ์ นายทหารพระธรรมนูญ เข้าพบ ผกก.สน.สำราญราษฎร์ เพื่อแจ้งความดำเนินคดี นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายสุภรณ์ อัตถาวงษ์ (แรมโบ้อีสาน) และนายวิเชียร ขาวขำ แกนนำ นปช. ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (ม.112) จากการปราศรัยครบรอบ 1 ปี เหตุสลายการชุมนุมราชดำเนิน ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2554
“เผ่าภูมิ”แย้ง“อาคม”ปรับ 3 เงื่อนไขซอฟต์โลน แก้ปัญหาแค่เปลือก ไม่ใช่ที่แก่น
https://www.matichon.co.th/politics/news_2606778
“เผ่าภูมิ” แย้ง “อาคม” แก้ไขเงื่อนไขซอฟต์โลน แค่เปลือก แต่แก่นไม่ถูกต้อง
เมื่อวันที่ 4 มีนาคม นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์นโยบายและวิชาการพรรคพท. กล่าวถึงกรณีนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเกี่ยวกับการแก้ไขรายละเอียด พ.ร.ก.ซอฟต์โลน ในงานสัมมนา “จับสัญญาณการลงทุนยุค New Normal” ว่า
1.ที่เสนอขยายวงเงินต่อรายเพิ่มเป็น 500 ล้านบาท จากเดิมที่อยู่ราว 20 ล้านบาทต่อราย ต้องอย่าลืมว่ากลุ่มที่มีปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อในวิกฤตรอบนี้ไม่ใช่รายใหญ่ แต่กลับเป็นรายย่อย นอกจากนั้นรายใหญ่ยังมีวิธีการระดมทุนอื่นนอกเหนือจากระบบสินเชื่ออยู่แล้ว ผลลัพธ์จากการแก้เงื่อนไขนี้เราจะเห็นยอดซอฟต์โลนเดินมากขึ้น แต่จะเดินในส่วนของสินเชื่อรายใหญ่ ในขณะที่ยอดรายย่อยยังเหมือนเดิม ในภาวะแบบนี้เราต้องการเกลี่ยให้ธุรกิจรายย่อยให้ได้สินเชื่อในวงกว้างไม่ใช่หรือ
นายเผ่าภูมิ กล่าวอีกว่า
2. ที่เสนอปรับเพดานดอกเบี้ยมากกว่า 2% อันนี้เห็นด้วยครึ่งหนึ่ง เพราะปัจจัยหลักที่ทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่ปล่อยกู้คือ ความเสี่ยง และที่ผ่านมาผลตอบแทนเพียง 2% นั้นต่ำและไม่คุ้มเสี่ยง ฉะนั้นการปรับผลตอบแทนให้สอดคล้องกับความเสี่ยงก็เป็นสิ่งที่พึงกระทำ แต่มีวิธีที่ดีกว่า มีประสิทธิภาพ และตรงจุดมากกว่า คือ การเพิ่มการชดเชยความเสียหายผ่านกลไกบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ตามโครงการ PGS
และ 3. ที่เสนอโครงการโกดังพักหนี้นั้น ตรงนี้จะมุ่งช่วยกลุ่มธุรกิจโรงแรมเป็นหลัก เพราะมีสินทรัพย์ที่จับต้องได้ สามารถตีโอนสินทรัพย์ให้กับธนาคารได้ แต่ต้องอย่าลืมว่าภาคบริการและท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่ได้มีสินทรัพย์จับต้องได้แบบนี้ เป็นธุรกิจรายย่อยที่มีความไม่เป็นทางการสูง ซึ่งไม่ได้ประโยชน์เลยจากโครงการนี้ โครงการโกดังพักหนี้จึงเป็นการแก้ปัญหาเพียงจุดเล็กๆจุดเดียวเท่านั้น
ทั้งนี้ ทั้ง 3 ข้อ เป็นการแก้ปัญหาที่เปลือก แต่แก่นคือที่กลไกที่ไปผ่านธนาคารพาณิชย์มันไม่ถูกต้องโดยเฉพาะในภาวะวิกฤติ แนวทางที่จะแก้ปัญหาหลักของซอฟต์โลนนั้น เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ไม่พร้อมทำ ไม่พร้อมเสี่ยง ภาครัฐก็ต้องใช้กลไกของตัวเองในการทำซอฟต์โลนเอง นั่นคือธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ เพราะรัฐสามารถกำหนดทิศทาง รับความเสี่ยง และรับความเสียหายได้เอง