ประสบการณ์การเจาะน้ำคร่ำ และการยุติการตั้งครรภ์

กระทู้สนทนา
เป็นประสบการณ์ที่อาจไม่น่าจดจำนัก แต่ที่ผ่านมาเราก็ได้อาศัยข้อมูลจากพันธ์ทิพย์ ในการเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับเรื่องเหล่านี้มาก่อน เมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไปจึงคิดว่าจะแบ่งปันคืนให้กับคนอื่นๆที่อาจต้องเจอสถานการณ์เดียวกันบ้าง

เราอายุ 36 ปี มีลูกมาแล้ว 1 คน คนโตสุขภาพแข็งแรงดี พัฒนาการดีมาก พอลูกคนโตอายุสามขวบกว่า เราก็ท้องที่ 2 ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะสมพอดี เรากับสามีดีใจมาก เตรียมต่อเติมบ้าน ร่างแบบกับผู้รับเหมาไว้แล้ว  พออายุครรภ์ได้ 11 สัปดาห์ เราก็ตรวจ NIPT ซึ่งครรภ์ที่แล้วเราก็ตรวจผลก็ปกติดี ครั้งนี้ที่ส่งก็ไม่ได้กังวลใดๆเลย  เราส่งตรวจของ BGI เป็นแบบที่สามารถดูได้ถึง micro deletion หรือการขาดเพียงบางส่วนของโครโมโซมเลย ซึ่งพอผลออกมา เรื่อง micro deletion ไม่มี แต่กลับพบการเกินของโครโมโซมคู่ที่ 18 (Trisomy 18) เป็น High risk 1:5 ซึ่งผลการตรวจทำให้เราเครียดมาก เพราะเรารู้ว่าความไว และความจำเพาะของการตรวจ NIPT นั้นสูง และเด็กที่เป็นโรคนี้จะมีความพิการสูงตั้งแต่ในครรภ์และต่อให้คลอดออกมาก็จะอยู่ได้ไม่ถึงปี ความหวังเดียวของเราคือภาวนาให้ความผิดปกตินั้น อาจเป็นโครโมโซมที่เกิดแต่เฉพาะในรก แต่ไม่ได้เกิดกับตัวเด็ก (placental mosaicism) ซึ่งจะทำให้เด็กเป็นปกติ แต่เกิดผลการตรวจ NIPT เป็น false positive ได้  เราปรึกษาเรื่องผลการตรวจที่ผิดปกตินี้กับสูตินรีแพทย์สาขา เวชศาสตร์มารดาและทารก (MFM) ก็ให้เราเลือกว่าจะตรวจยืนยันจากการเจาะชิ้นเนื้อรก (CVS) หรือการตรวจน้ำคร่ำ ข้อดีของการตรวจชิ้นเนื้อรกนั้นคือทำได้ตั้งแต่อายุครรภ์ยังน้อยๆ ระยะเวลาของการรอคอยผลตรวจเราจะได้ลดลง ซึ่งทุกคนรู้ดีว่าการรอคอยนั้นมันทรมานแค่ไหน แต่การตรวจชิ้นเนื้อรกนั้น ไม่สามารถแยกภาวะ Placental mosaicism ที่เราพูดถึงเมื่อกี้ออกไปได้ เราจึงไม่เลือก และอดทนรอจนอายุครรภ์ 16 สัปดาห์ เพื่อจะเจาะน้ำคร่ำยืนยันผลให้แน่ชัด ว่าโครโมโซมที่ผิดปกติมาจากตัวเด็กจริงๆ  พอครบ 16  สัปดาห์ คุณหมอทำ ultrasound แบบละเอียดให้เราก่อน ตอนแรกผลการตรวจภายนอกดีทุกอย่าง หมอดูเพดานปาก นับนิ้วให้หมด ก็ครบดี จนสามีเราใจชื้นคิดว่าจะได้ปกติ แต่พอมา ultrasound ที่หัวใจ คุณหมอเงียบไปนานมาก และแจ้งกับเราในที่สุดว่า ลูกเรามีหัวใจพิการ คือผนังกันห้องล่างรั่ว ร่วมกับเส้นเลือดที่ออกจากหัวใจออกผิดที่ ไปออกจากห้องขวาล่างหมด ซึ่งผลการตรวจเช่นนี้ทำให้คุณหมอคิดว่าโอกาสที่เด็กน่าจะเป็น Trisomy 18 มีมากกว่า 90% แต่ก็ให้เจาะน้ำคร่ำยืนยันไปด้วย  ตอนนั้นเราทำใจไปแล้วว่าความหวังสิ้นสุดลงละ เพราะ ultrasound เห็นกับตาขนาดนี้ และขอนัดวันเพื่อเตรียมยุติการตั้งครรภ์กับคุณหมอไว้เลย เพราะต้องเคลียร์งานต่างๆมากมายรอ  และก็เจาะถุงน้ำคร่ำ
การเจาะถุงน้ำคร่ำนั้นไม่ได้น่ากลัว ไม่ต้องอดอาหาร ไม่ต้องเจาะเลือดเตรียมตัวอะไรก่อนเลย  คุณหมอจะ ultrasound หาตำแหน่งที่เหมาะสม และทำความสะอาดบริเวณที่จะเจาะ แล้วก็เจาะด้วยเข็มที่ยาวกว่าเข็มเจาะเลือดปกตินิดนึง ตอนแทงเข้าไปตรงพุงไม่ค่อยเจ็บแต่ตอนเข็มถึงมดลูกเราก็สะดุ้งเหมือนกัน และพยายามอยู่นิ่งให้มากที่สุด แทบจะกลั้นหายใจ รอจนคุณหมอดูดเอาน้ำคร่ำออกไป 2 หลอด แล้วก็ปิดพลาสเตอร์กันน้ำให้  คุณหมอให้พักรออยู่ที่คลินิกสัก 30 นาทีก่อน แล้วก็กลับบ้านได้  มีข้อควรปฏิบัติที่ให้หลีกเลี่ยงการยกของหนักและเพศสัมพันธ์ในช่วงสัปดาห์หลังเจาะ แต่ให้ทำงานได้ตามปกติ เราใช้เวลานอนเป็นส่วนใหญ่อยู่ 1 วัน อีกวันก็กลับบ้านไปหาลูกคนโต แต่เลี่ยงการยกหนัก การอุ้มลูก  ซึ่งการเจาะผ่านไปด้วยดี ไม่มีผลข้างเคียง

2 สัปดาห์ผ่านไป คุณหมอนัดไปนอนโรงพยาบาล ซึ่งคุณหมอแนะนำให้เป็นโรงเรียนแพทย์ เพราะเราเคยผ่าตัดคลอดมาก่อน การยุติการตั้งครรภ์แบบใช้ยา อาจทำให้มดลูกแตกได้ ซึ่งต้องดูใกล้ชิด และไม่เหมาะจะทำที่โรงพยาบาลเอกชน   วันที่ไป ทราบผลเจาะน้ำคร่ำแล้วว่าเป็น 47 XX,+18 จริงๆ และ ultrasound เพิ่มเติมก็พบว่า รูปแบบศีรษะ สมองก็เข้าได้กับ Trisomy 18 และหัวใจที่ผิดปกติ ก็ยังยืนยันเหมือนเดิม แต่น้องก็ดิ้นดีมาก (ได้ฟังหมอพูดว่าดิ้นดีแบบนี้ เราฟังแล้วใจอ่อนเลย)
แต่ 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ เราทำใจมามากๆแล้ว พยายามทุกข์เท่าที่ความจริงมี ไม่แต่งเติมเพิ่มต่อให้ทุกข์ไปกว่าที่เป็นอยู่ ในวันนั้นเราจึงพร้อมนอนโรงพยาบาลเลย
ในวันนั้นที่ห้องคลอดของโรงพยาบาลมีพิธีสงฆ์ที่เขาจัดประจำปีเพื่ออุทิศให้กับเด็กที่เสียชิวิตจากการยุติการตั้งครรภ์ พยาบาลจึงให้เราเข้าร่วมด้วยก่อน ตอนกรวดน้ำนั้น เราต้องอธิษฐานถึงลูกในท้อง เราน้ำตาไหลพราก เพราะที่ผ่านมา เราเลี่ยงที่จะพูดคุย สื่อสารกับลูกในท้อง พอต้องนึกว่าจะพูดกับเขายังไง ก็นึกไม่ออกมีแต่น้ำตาท่วมจริงๆ แต่ก็พยายามเช็ดๆ ไม่ให้คนอื่นเห็น 
พอเข้าไปในห้องคลอด จะเป็นห้องที่ญาติเฝ้าไม่ได้ แต่สามีเข้าเยี่ยมได้ตามเวลาที่กำหนดเท่านั้น พยาบาลให้เราและสามีทำพิธีกล่าวขอขมาต่อลูกก่อน แล้วก็ค่อยเริ่มกระบวนการ พยาบาลแจ้งว่าแต่ละคนจะใช้เวลาไม่เท่ากัน บางคนเร็ว 1 วัน ส่วนใหญ่ 2-3 วัน แต่บางคนถึง 5 วันก็มีแต่น้อยมาก (พยาบาลมาแจ้งวันก่อนกลับว่า สถิติสูงสุดถึง 10 วัน แต่วันนั้นไม่กล้าบอกกลัวใจเสีย)  โดยเราได้รับยา Misoprostol มา 2 เม็ด ให้อมใต้ลิ้น ยาไม่มีรสชาติอะไร ละลายแล้วเหมือนแป้ง แต่หลังละลายหมด เราจะเคืองๆลิ้นและเพดานหน่อยๆ ตอนแรกเราเตรียมใจเรื่องผลข้างเคียงจากยาที่มีคนบอกว่าจะหนาวสั่น และท้องเสียมาแล้ว พยาบาลเตรียมผ้าห่มมาไว้ให้ 3 ผืนเลย แต่ปรากฏว่าเราไม่หนาวเลย ห่ม 1 ผืนปกติ และมีถ่ายเหลวเพียง 1 ครั้ง ไข้มีต่ำๆ 37.7 เพียง 1 ครั้ง ไม่มากจนต้องทานยา หลังอมยาใต้ลิ้นไป 20 นาที ยาก็ออกฤทธิ์เลย ส่งผลให้มดลูกค่อยๆบีบตัว เราเริ่มยาตอนบ่ายสามโมง ก็เจ็บค่อยๆมาก และถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนถึง 3 ทุ่มที่จะต้องเป็นยาครั้งถัดไป แต่เนื่องจากว่าเราท้องแข็งบ่อยทุก 1-2 นาที เขาเลย skip dose ยานั้นไป  เราเจ็บไปเรื่อยๆ แต่ปากมดลูกยังไม่เปิด  จนกระทั้งหลังตีสาม ยาคงหมดฤทธิ์ ความเจ็บเราห่างไป และเราก็ได้หลับ พยาบาลเห็นแบบนั้นจึงให้เราได้พักหลับ  ไม่ได้ให้ยาต่อ รอรอบใหม่ตอนเช้า   พอเช้าวันถัดมาหลังจากอาบน้ำ ทานข้าวเสร็จ ก็ได้รับยามาอีก 2 เม็ด ใต้ลิ้นเหมือนเดิม ยาออกฤทธิ์เร็วเช่นเคย และก็โชคดีที่ไม่มีผลข้างเคียงอื่น เราก็พยายามเอาหูฟังที่น้องชายให้มาฟังเพลง เลือกเพลงที่ทำให้ใจเพลิดเพลิน ไม่เศร้า มันช่วยเรื่องคลายความเหงาและบรรเทาความเจ็บได้ดีทีเดียว  ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจเราจากความเจ็บปวด  พอประมาณบ่ายสอง ซึ่งต้องเป็นยาครั้งถัดไป เรายังเจ็บถี่ทุก 2 นาที แต่ปากมดลูกไม่เปิดเพิ่ม ครั้งนี้คุณหมอให้ยาต่อไปเลย ไม่ skip แล้ว และก็ได้ผล หลังจากนั้นความเจ็บปวดค่อยๆทวีเพิ่มขึ้นมาก ความเจ็บมากมายจนไม่อาจฟังเพลงต่อได้แล้ว แล้วปวดร้าวไปหลังอย่างมาก ความรู้สึกเหมือนตอนจะคลอดลูกคนแรกเลย เราเลยขอถุงน้ำอุ่นมาประคบที่หลัง ใช้วิธีนอนทับไปเลย ซึ่งช่วยได้มากๆ ถ้าใครปวดที่หลังให้ใช้วิธีนี้ดู  จนกระทั่งทุ่มกว่า ความเจ็บก็มากจนเริ่มรับไม่ไหว น้องชายมาเห็นเลยบอกว่าขอยาฉีดไปเถอะ เพราะมันไม่ได้มีผลต่อการบีบตัว แต่จะลดความทรมานลง และแจ้งหมอให้  เราได้รับ pethidine ไป หลังฉีดรู้สึกตัวลอย เบลอๆ อยากนอน อยากอยู่นิ่งๆ แต่ความเจ็บปวดทรมานหายไปมาก  เรานอนแบบกึ่งหลับกึ่งตื่นต่อไป สักประมาณสองทุ่มจู่ๆ มีความปวดที่พุ่งทะลุ pethidine ขึ้นมา เป็นความปวดที่ไม่ร้าวหลังอีกแล้ว แต่ร้าวลงล่าง ร้าวไปถึงต้นขา  พยาบาลที่เข้ามาจับท้องก็ถามว่าปวดเบ่งรึยัง เราก็บอกไม่ถูกว่าปวดเบ่งไหม รู้แต่ว่าไม่เหมือนเดิมแล้ว พอพยาบาลเดินลับไป น้ำคร่ำก็ระเบิดออกมาเต็มเตียง เรารีบกดเรียกพยาบาล พยาบาลตามคุณหมอมาตรวจภายใน หมอบอกจ่ออยู่ตรงนี้แล้วครับ ให้เราเบ่ง เบ่งสักพักไม่นานน้องก็ออกมา  ความเจ็บปวดทั้งหมดหายไป เราหลับตาแน่น เราไม่อาจจะมองลูกได้ ซึ่งได้แจ้งพยาบาลไว้ก่อนแล้ว ว่าขอไม่เห็นลูก  เรารอจนได้ยินว่าตัดสายสะดือแล้วพาน้องออกไปแล้ว จึงลืมตา  รกยังไม่คลอด หมอบอกว่าด้วยความที่อายุครรภ์น้อย รกจะลอกตัวช้า ให้รอไปก่อน ให้มันลอกตามธรรมชาติ ค่อยเอาออกมา  พยาบาลทำความสะอาดแล้วคลุมผ้าไว้ ให้เรานอนต่อ รอรกคลอด แต่รอไปสองชั่วโมงก็ไม่คลอด คุณหมอเรสสิเดนท์พยายามช่วยกดหน้าท้องแต่ก็ไม่ออก เราใจเสีย กลัวโดนล้วงรกมาก สักพักอาจารย์หมอมาตรวจแล้วบอกว่า รกน่าจะลอกมาแล้ว ส่วนใหญ่อยู่ในช่องคลอด แต่บางส่วนติดที่ปากมดลูก น่าจะเพราะปากมดลูกมันบีบตัวเลยทำให้ไม่ออกมา เลยจะให้ยา pethidine อีกครั้ง แล้วจะใช้อุปกรณ์ค่อยๆคีบออกมาช่วย ซึ่งผ่านไปด้วยดี อาจารย์แจ้งว่ารกออกครบ ไม่ต้องขูดมดลูก  น้องคลอดสองทุ่มกว่า รกคลอดปาไปห้าทุ่มกว่าเลย เราหลับไปเพราะฤทธิ์ยา และตื่นมาตอนตี 1 พี่พยาบาลให้กล่าวขอขมาต่อวิญญาณลูกอีกครั้ง แล้วพาเราไปห้องพิเศษ ซึ่งสามีมารอรับหน้าห้องคลอด 
 
เหตุการณ์ผ่านพ้นไป เราไปทำบุญให้ลูก และตั้งใจจะงดเนื้อสัตว์ทุกวันอังคาร ซึ่งเป็นวันที่น้องเขาจากไป ตลอด 1 ปีนี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงลูก และเสริมบุญให้เขาได้เกิดในภพภูมิที่ดี ที่เหมาะสมกับเขา หลายครั้งที่นึกถึงก็อดน้ำตารื้นไม่ได้ 
เข้าใจต่อความสูญเสียของแม่ทุกคนที่ต้องเจอสถานการณ์เหล่านี้ และขอเป็นกำลังใจให้แม่ๆทุกคนนะคะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่