สมถกรรมฐานสู่ เอกกัคคตา (ขอประทานโทษเถอะ ทำสมถะกันเป็นจริงๆหรือเปล่า ?)
จิตต้องอยู่กับลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ๒๐ นาที โดยจิตไม่หลุดเลย สภาวะเอกกัคคตาเมื่อจิตรวมเป็นหนึ่งกับลมหายใจได้ ร่างกายจะร้อนก่อนแล้วกลับมาเย็นจนเข้ากระดูก (นิพพานเท่ากับเย็น) นี่คือสภาวะหยินหยาง จิตอยู่กับกายตลอดเวลาไม่ได้ถอดจิตไปนอกโลก หรือไปนั่งคุยกันในภูเขาหิมาลัยที่หนาวเย็น หรือสวรรค์ชั้นดุสิตดาวดึงส์อะไร? มันไม่มี (ตำรามั่ว)
ถ้าเข้าสภาวะเอกกัคคตาได้ตอนกลางวัน รอบๆกายจะมีแสงสีทอง ออร่าเหมือนแสงพระอาทิตย์ มันคือพลังสุริยัน
ถ้าเข้าสภาวะเอกกัคคตาได้ตอนกลางคืน รอบๆกายจะมีแสงสีขาว ออร่าเหมืนแสงพระจันทร์ มันคือพลังจันทรา
ต้องให้คนรอบตัวมอง ตัวเองจะมองเห็นได้อย่างไร เพราะนั่งหลับตาอยู่ จิตมีสมาธิเป็นเอกอยู่กับกาย ที่เรียกว่าสภาวะเห็นกายในกาย เห็นจิตในจิต
ตอนใกล้จะสำเร็จนิพพาน น่าจะมีเสียงในสมองตัดดังปิ๊ง เหมือนเสียงที่อิคคิวซัง ดังตอนนั่งสมาธิ จึงเรียกเสียง กังสดาล โบราณเปรียบเหมือนเสียงระฆัง เซลล์สมองจะเรียงตัว ลมหายใจเข้าออกเสมอกัน จิตหนึบไม่สับสนอีกแล้ว จิตถูกรวมเป็น ๑ ทวารทั้ง ๕ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ ถูกรวมเป็น ๑ แล้ว ผัสสะหรืออะไรมากระทบ จิตหนึบไม่หวั่นไหว เพราะจิตไม่เสพอารมณ์ใดๆแล้ว (จิตของผู้ใดอันโลกธรรมถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว ไม่เศร้าโศก ไร้ธุลีกิเลศใดๆ)
ไม่ใช่การนั่งคิดพิจารณา เกิดดับ เกิดดับ ดับดับดับดับ ฯ อะไรอย่างที่ตำราเขียนไว้ แล้วมันจะเรียกว่าเสียงกังสดาลได้อย่างไร ? ลองเอาไปคิดพิจารณาดู ว่าตำราเขียนมาผิด มั่ว หรือผมผู้มีประสบการณ์ตรง มั่ว ?
นิพพานมิได้สอนหรือถ่ายทอดให้ใครง่ายๆ ให้ได้เฉพาะศิษย์ที่พลีกายถวายชีวิตต่อพระนิพพานแล้วเท่านั้น ตั๊กม๊อก็หาอยู่หลายปี ก็ได้คนเดียว ตั๊กม๊อถูกซูสีไทเฮาเรียกเข้าวัง แต่ท่านปฏิเสธ เพราะต้องสนองตัณหาอย่างที่เขาต้องการเท่านั้น ให้มันโง่ๆงมงายเข้าไว้ จะได้ไม่ไปขัดต่อผลประโยชน์ของเขา ก็ต้องตายอย่างปริศนาเหลือรองเท้าข้างเดียวในโลง เสิ่นกวง ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นฮุ่ยเข่อ ศิษย์คนเดียวที่ตั๊กม้อค้นพบ และมอบบาตรและจีวรให้ ผู้ไม่ตอบคำถาม แต่เข้าไปกราบโดยไม่มีคำพูดใดๆ เหว่ยหล่างก็ถูกเรียกเข้าวัง ไม่เข้าในที่สุดก็ต้องตาย พระศาสดากินเห็ดพิษตาย พระสารีบุตร มือขวา ถูกตีหัวตาย พระโมคคัลลานะมือซ้าย ถูกฆ่าตาย พวกท่านไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกไปบ้างหรือไง ? หรือจะเชื่อตำรา เชื่อผู้ที่เกิดก่อนบวชนาน พูดทุกอย่างจากตำรา มิได้พูดจากประสบการณ์ ที่แต่ละท่านปฏิบัติได้
พระนิพพานที่หายสาบสูญ เพราะไม่สามารถสอนคนที่มีกิเลสตัณหาได้ สอนได้เฉพาะบัวพ้นน้ำ ที่ไม่เปียกน้ำแล้วเท่านั้น มิฉะนั้น จะถูกพวกมารศาสนา ก๊อปปี้ แล้วเอาไปทำมาหากิน แสวงหาผลประโยชน์ ชื่อเสียงเงินทอง แก่พรรคพวกพี่น้อง ผู้รู้จำมิได้ปฏิบัติได้จริง ก็จะเอาไปสอนกันอย่างผิดๆ เพราะไม่ใช่ปัจจัตตัง ที่เกิดเฉพาะตน จึงไม่เข้าใจแก่นแท้ของมันได้ เกือบ ๓,๐๐๐ ปี จึงไม่มีพระอรหันต์ให้เห็น
(ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้มักไม่จริง) (ผู้รู้ไม่พูด ผู้พูดไม่รู้) ตั๊กม๊อ
แชร์ประสบการณ์
จิตต้องอยู่กับลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ๒๐ นาที โดยจิตไม่หลุดเลย สภาวะเอกกัคคตาเมื่อจิตรวมเป็นหนึ่งกับลมหายใจได้ ร่างกายจะร้อนก่อนแล้วกลับมาเย็นจนเข้ากระดูก (นิพพานเท่ากับเย็น) นี่คือสภาวะหยินหยาง จิตอยู่กับกายตลอดเวลาไม่ได้ถอดจิตไปนอกโลก หรือไปนั่งคุยกันในภูเขาหิมาลัยที่หนาวเย็น หรือสวรรค์ชั้นดุสิตดาวดึงส์อะไร? มันไม่มี (ตำรามั่ว)
ถ้าเข้าสภาวะเอกกัคคตาได้ตอนกลางวัน รอบๆกายจะมีแสงสีทอง ออร่าเหมือนแสงพระอาทิตย์ มันคือพลังสุริยัน
ถ้าเข้าสภาวะเอกกัคคตาได้ตอนกลางคืน รอบๆกายจะมีแสงสีขาว ออร่าเหมืนแสงพระจันทร์ มันคือพลังจันทรา
ต้องให้คนรอบตัวมอง ตัวเองจะมองเห็นได้อย่างไร เพราะนั่งหลับตาอยู่ จิตมีสมาธิเป็นเอกอยู่กับกาย ที่เรียกว่าสภาวะเห็นกายในกาย เห็นจิตในจิต
ตอนใกล้จะสำเร็จนิพพาน น่าจะมีเสียงในสมองตัดดังปิ๊ง เหมือนเสียงที่อิคคิวซัง ดังตอนนั่งสมาธิ จึงเรียกเสียง กังสดาล โบราณเปรียบเหมือนเสียงระฆัง เซลล์สมองจะเรียงตัว ลมหายใจเข้าออกเสมอกัน จิตหนึบไม่สับสนอีกแล้ว จิตถูกรวมเป็น ๑ ทวารทั้ง ๕ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ ถูกรวมเป็น ๑ แล้ว ผัสสะหรืออะไรมากระทบ จิตหนึบไม่หวั่นไหว เพราะจิตไม่เสพอารมณ์ใดๆแล้ว (จิตของผู้ใดอันโลกธรรมถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว ไม่เศร้าโศก ไร้ธุลีกิเลศใดๆ)
ไม่ใช่การนั่งคิดพิจารณา เกิดดับ เกิดดับ ดับดับดับดับ ฯ อะไรอย่างที่ตำราเขียนไว้ แล้วมันจะเรียกว่าเสียงกังสดาลได้อย่างไร ? ลองเอาไปคิดพิจารณาดู ว่าตำราเขียนมาผิด มั่ว หรือผมผู้มีประสบการณ์ตรง มั่ว ?
นิพพานมิได้สอนหรือถ่ายทอดให้ใครง่ายๆ ให้ได้เฉพาะศิษย์ที่พลีกายถวายชีวิตต่อพระนิพพานแล้วเท่านั้น ตั๊กม๊อก็หาอยู่หลายปี ก็ได้คนเดียว ตั๊กม๊อถูกซูสีไทเฮาเรียกเข้าวัง แต่ท่านปฏิเสธ เพราะต้องสนองตัณหาอย่างที่เขาต้องการเท่านั้น ให้มันโง่ๆงมงายเข้าไว้ จะได้ไม่ไปขัดต่อผลประโยชน์ของเขา ก็ต้องตายอย่างปริศนาเหลือรองเท้าข้างเดียวในโลง เสิ่นกวง ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นฮุ่ยเข่อ ศิษย์คนเดียวที่ตั๊กม้อค้นพบ และมอบบาตรและจีวรให้ ผู้ไม่ตอบคำถาม แต่เข้าไปกราบโดยไม่มีคำพูดใดๆ เหว่ยหล่างก็ถูกเรียกเข้าวัง ไม่เข้าในที่สุดก็ต้องตาย พระศาสดากินเห็ดพิษตาย พระสารีบุตร มือขวา ถูกตีหัวตาย พระโมคคัลลานะมือซ้าย ถูกฆ่าตาย พวกท่านไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกไปบ้างหรือไง ? หรือจะเชื่อตำรา เชื่อผู้ที่เกิดก่อนบวชนาน พูดทุกอย่างจากตำรา มิได้พูดจากประสบการณ์ ที่แต่ละท่านปฏิบัติได้
พระนิพพานที่หายสาบสูญ เพราะไม่สามารถสอนคนที่มีกิเลสตัณหาได้ สอนได้เฉพาะบัวพ้นน้ำ ที่ไม่เปียกน้ำแล้วเท่านั้น มิฉะนั้น จะถูกพวกมารศาสนา ก๊อปปี้ แล้วเอาไปทำมาหากิน แสวงหาผลประโยชน์ ชื่อเสียงเงินทอง แก่พรรคพวกพี่น้อง ผู้รู้จำมิได้ปฏิบัติได้จริง ก็จะเอาไปสอนกันอย่างผิดๆ เพราะไม่ใช่ปัจจัตตัง ที่เกิดเฉพาะตน จึงไม่เข้าใจแก่นแท้ของมันได้ เกือบ ๓,๐๐๐ ปี จึงไม่มีพระอรหันต์ให้เห็น
(ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้มักไม่จริง) (ผู้รู้ไม่พูด ผู้พูดไม่รู้) ตั๊กม๊อ