(วิหาร Konark Sun Temple มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเจดีย์ดำ ภาพ© Yameza / Flickr)
วิหาร Konark Sun สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับ Sun God “ Surya ” เทพเจ้าดวงอาทิตย์ในศาสนาฮินดูในศตวรรษที่ 13 ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ 35 กิโลเมตรจากเมือง Puri บนชายฝั่งของรัฐ Odisha (ก่อนหน้านี้คือรัฐโอริสสา)ในอินเดีย โดยชื่อ Konark มาจากคำภาษาสันสกฤตสองคำ Kona และ Arka ซึ่งหมายถึงมุมและดวงอาทิตย์
ก่อนการบูรณะวิหารอยู่ในซากปรักหักพัง แต่ในบริเวณที่ยังเหลืออยู่เป็นลักษณะคล้ายวิหารที่สูงประมาณ 127 ฟุต ซึ่งมีล้อขนาดมหึมาและรูปปั้นม้าที่แกะสลักจากหิน โดยวิหารที่สมบูรณ์นั้นจะมีความสูงกว่า 227 ฟุต และหากดูตามต้นแบบที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 ประมาณ 800 ปีที่แล้ว โดยกษัตริย์ Ganga ที่ชื่อ Narsimbhadeva ที่1 วิหารนี้คือหนึ่งในวัดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน Odisha ของอินเดีย
วิหารแห่งนี้ถือเป็นรถม้าของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ โดยโครงสร้างที่ได้รับการตกแต่งอย่างงดงามทั้งหมดของวิหารหลัก เป็นเหมือนรถม้าขนาดใหญ่
มีล้อสิบสองคู่ถูกดึงด้วยม้าเจ็ดตัว ล้อแต่ละล้อเหล่านี้ได้รับการแกะสลักอย่างประณีต และได้รับการออกแบบทางวิทยาศาสตร์ด้วย
โดยซี่ล้อที่ฐานของวิหาร ทำหน้าที่เป็นหน้าปัดของนาฬิกาแดดที่สามารถบอกเวลาของวันได้เพียงแค่ดูเงาที่มาถูกซี่ล้อ ส่วนผนังวิหารประดับด้วยรูปแกะสลักของเทพเจ้า สัตว์ และรูปแบบทางเรขาคณิต รวมทั้งเหตุการณ์ต่างๆและรูปสลัก erotic ซึ่งว่ากันว่า เทวรูป Sun God ถูกวางไว้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หลักของพระวิหาร เพื่อให้แสงแดดยามเช้าได้สัมผัสกับเท้าของเทวรูป
(รถม้าตั้งอยู่บนล้อ 24 ล้อ แต่ละล้อมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10 ฟุต และถูกลากด้วยม้าทรงพลัง 7 ตัว - ม้า 7 ตัวแสดงถึงวันในสัปดาห์ และล้อ 12 คู่แสดงถึง 12 เดือนของปี)
วงล้อหินสลักที่ผนังของวิหาร ที่ได้รับการออกแบบให้เป็นรถม้า
ที่ประกอบด้วยล้อ 24 ล้อ แต่ละล้อมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 9 ฟุต 9 นิ้ว มีทั้งหมด 8 ซี่
วิหารดวงอาทิตย์ Konark มีรูปแบบศิลปะที่สวยงามที่แกะสลักจากหินสีดำ จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ เจดีย์ดำ” (BLACK PAGODA) ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการเดินเรือโดยนักเดินเรือชาวยุโรป และเชื่อกันว่ามีพลังแม่เหล็กที่สามารถทำให้เรืออับปางได้ และ UNESCO ได้ประกาศให้ที่นี่เป็น แหล่งมรดกโลกในปี 1984 และเป็นสถานที่แสวงบุญที่สำคัญของชาวฮินดู Chandrabhaga Mela จัดทุกปีในเดือนกุมภาพันธ์
ปัจจุบัน วิหารและบริเวณรอบๆ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชม ที่หนึ่งที่น่าสนใจคือ Nata Mandira (ห้องโถงเต้นรำ) ซึ่งตรงทางเข้าของห้องโถงจะมีสิงโตแกะสลักขนาดใหญ่สองตัว และการตกแต่งภายในมีเสาสมมาตรพร้อมรูปแกะสลักที่น่าสนใจ รวมทั้งมีวิหาร Mayadevi ที่อุทิศให้กับภรรยาคนหนึ่งของ God Surya นอกจากนี้ ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่แสดงสิ่งต่างๆอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับ Sun Temple แห่งนี้
แต่ในอดีตยังมีเรื่องราวหนึ่งคือ วิหารนี้ไม่เคยมีการสักการะบูชาภายในวิหารเลย ทั้งที่วิหาร Konarak นี้มีอายุมาเกือบ 800 ปี และถูกสร้างขึ้นสำหรับเทพแห่งดวงอาทิตย์ โดยเรื่องราวเก่าแก่นี้ต้องย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 13
เมื่อคนงาน 1200 คน(คนงานแกะสลักหิน) ได้ทำงานมาเป็นเวลา 12 ปี เพื่อสร้างวิหารพระอาทิตย์ Konarak โดยมีหัวหน้าสถาปนิก Bishu Maharana
วัดซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด12 เอเคอร์ ซึ่งตามคำสั่งของกษัตริย์ narsimbhadeva ที่ 1แห่งราชวงศ์ Western Ganga ให้สร้างวิหาร Konarak ที่ดูเหมือนตั้งอยู่รถม้า จากหินที่ถูกนำมาจากภูเขา kadamgiri และ Uday Giri ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 100 กม.จากเมือง kinaro
ต้นแบบที่สมบูรณ์ของวิหารเปรียบเทียบกับซากปรักหักพังที่เหลืออยู่
ผลงานชิ้นเอกของวิศวกรรมที่ดีนี้ มีโครงสร้างทั้งหมดถูกเชื่อมต่อกันโดยโครงโลหะ ซึ่งโครงโลหะจะถูกยึดเข้าด้วยกันด้วยแม่เหล็กขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักมากกว่า 5 ตัน และที่ด้านบนสุดของวิหารจะมีแม่เหล็กหนัก 52 ตันถูกวางไว้ เพื่อให้เทวรูปหลักของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ที่ทำจาก astadhatu(โลหะผสม 8 ชนิด) ถูกแขวนไว้ในสมดุลกลางอากาศ
จากนั้น กษัตริย์ narsimbhadeva ที่ 1 ได้กำหนดเส้นตายในการสร้างวิหารให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และถ้าคนงานไม่สามารถทำได้เขาจะให้คนงานทั้งหมดถูกตัดหัว ต่อมา วิหารได้เสร็จสมบูรณ์ในเวลาที่กำหนดยกเว้น Dadhi Nathi หินมงกุฏที่ยอดของวิหาร ซึ่งมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นในขณะที่คนงานกำลังพยายามติดตั้ง และมันจะพังทลายลงทุกครั้งจึงไม่สามารถทำงานให้เสร็จได้
โดยในสองวันก่อนเส้นตาย หัวหน้าสถาปนิก Bishu maharana รู้สึกวิตกกังวลเพราะคนงานทั้งหมด 1200 คนจะต้องถูกตัดหัว หากทำงานไม่แล้วเสร็จ
เขาและคนงาน 1200 คนจึงเร่งทำงานทั้งกลางวันและกลางคืนโดยไม่ได้พบกับครอบครัวของพวกเขาเลย
ประติมากรรมม้า
ต่อมา maharana ก็เห็นเด็กอายุประมาณ 12 ปีมาตามหาเขา เด็กชายคนนั้นชื่อ dharma pada โดยเด็กบอกว่าเป็นลูกชายของเขา maharana ตกใจมากเพราะเขาไม่เคยเห็นลูกชายของเขาเลยตั้งแต่ลูกชายเกิด เพราะยุ่งอยู่กับงานตลอดมา
เขาจึงให้ลูกชายซ่อนตัวและอยู่กับเขา พ่อและลูกจึงมีช่วงเวลาแห่งความสุขด้วยกัน แต่หลังจากนั้นไม่นาน maharana ก็บอกกับ pada ว่าหากพวกเขา
ไม่สามารถสร้างวิหารได้ทันเวลา กษัตริย์จะฆ่าคนงานทั้งหมด ทันใดนั้นเด็กชายก็ได้สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน โดยขึ้นไปติดตั้ง Dadhi Nathi ได้สำเร็จ
แต่ทุกคนเริ่มคุยกันว่า ถ้ากษัตริย์ narsimbhadeva ที่ 1 ได้รับรู้ว่าเด็กชายอายุ 12 ปีคือผู้ที่รับผิดชอบต่อความสำเร็จของงานนี้ แทนที่จะเป็นคนงานที่มีประสบการณ์กว่า 1200 คนก็อาจจะฆ่าพวกเขาทั้งหมด ดังนั้น pada จึงตัดสินใจสละชีวิตตัวเอง โดยการกระโดดจากด้านบนของวิหารลงในแม่น้ำ chandrabhava และช่วยคนงาน 1200 คนจากการถูกตัดหัว
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ด้วยการตายของ Dharmapada วัดจึงไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป และ Sun god ก็ไม่เคยได้รับการบูชาที่นั่นอีกเลย ซึ่งตามตำนานมีการกล่าวไว้ว่า Dharmapada เป็นอวตารของ sun god ที่มาเพื่อทำลายอัตตาของกษัตริย์
ทางเข้าของ Nata Mandira
สำหรับเรื่องราวที่เกี่ยวกับการล่มสลายของวิหาร Konark นั้น นักโบราณคดีสันนิษฐานไว้หลายเรื่องเช่น
- เนื่องจากแม่เหล็กที่ด้านบนสุดของวิหารได้ส่งผลต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยได้รับการกล่าวขานว่ารบกวนเข็มทิศสำหรับนักเดินทางตามชายฝั่ง ต่อมา อังกฤษได้นำออกไป กำแพงวิหารจึงเสียการทรงตัวและพังลงมาในที่สุด แต่ไม่ได้มีการบันทึกเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ในบันทึกทางประวัติศาสตร์ใด ๆ
- ตามประวัติศาสตร์ของรัฐโอริสสา Kalapahada ได้โจมตี Orissa ในปี 1568 รวมทั้งวัด Konark รวมทั้งวัดฮินดูหลายแห่ง และเคลื่อนย้าย Dadhinauti ทำให้วิหารพังทลายลง
- เนื่องจากแผ่นดินไหวที่รุนแรงทำให้วิหารพังลงมา แต่ยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนว่าจะเกิดแผ่นดินไหวในบริเวณนี้แต่อย่างใด
ซากปรักหักพังของวัดนี้ถูกขุดขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 หอคอยเหนือได้หายไป แต่ Jagmohan ยังคงอยู่
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
" Konarak " รถม้าที่งดงามของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์
เมื่อคนงาน 1200 คน(คนงานแกะสลักหิน) ได้ทำงานมาเป็นเวลา 12 ปี เพื่อสร้างวิหารพระอาทิตย์ Konarak โดยมีหัวหน้าสถาปนิก Bishu Maharana