วิหารคอมออมโบ
เป็นวิหารสไตล์กรีก – โรมัน สร้างในสมัยฟาโรห์ปโตเลมีที่ 2 – ฟาโรห์ปโตเลมีที่ 11 เป็นวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพโซเบ็ก (เทพแห่งความสมบูรณ์ของแม่น้ำไนล์ มีหัวเป็นจระเข้) และเทพฮอรัส (เทพแห่งการปกป้อง เป็นลูกของเทพโอซิริสและเทพีไอซิส มีหัวเป็นเหยี่ยว) ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ที่ล้ำออกมาถึงแม่น้ำไนล์ สามารถเห็นวิวของแม่น้ำไนล์อันงดงาม ชาวอียิปต์โบราณถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์และเป็นเทพผู้สร้างโลก และอีกฝั่งหนึ่งสำหรับบูชาเทพฮอรัส ซึ่งเป็นเทพที่มีหัวเป็นเหยี่ยว โดยเทพฮอรัสนี้ถือเป็นเทพแห่งสงคราม และการแพทย์นั่นเอง
คำว่า “คอม” เป็นภาษาอาหรับ หมายถึงภูเขาเล็กๆ วิหารนี้เกือบเป็นวิหารดะโครโพลิสของกรีก เพียงแต่หินที่ใช้สร้างแตกต่างกับวิหารอื่นๆ อาจเป็นเพราะถูกปกคลุมด้วยทรายเป็นเวลานาน การวางแบบของพื้นที่แปลกและเป็นเฉพาะตัวอีกด้วย
ภายในประกอบไปด้วยห้องเล็กๆ ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับการเก็บมัมมี่จระเข้อยู่สองตัว และรูปสลักปฏิทิน บอกวัน, เดือน, ปี เทพประจำวันนั้น และของสักการะเทพ ตามฝาผนังของวิหารถูกตกแต่งไปด้วยภาพแกะสลักที่มีการบรรยาย ถึงการแพทย์ในสมัยนั้น โดยรูปแกะดังกล่าว มีเครื่องมือผ่าตัดและเครื่องมือแพทย์อีกหลายอย่าง เช่น กรรไกร มีดผ่าตัด และอื่นๆอีกมาก
เป็นวัดที่มีความซับซ้อนสวยงามมาก และเมืองคอมออมโบยังถือว่าเป็นอีกหนึ่งในหลายๆเมืองโบราณ ที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ของประเทศอียิปต์เป็นอย่างมาก
วิหารเอ็ดฟู
เป็นวิหารสไตล์กรีก – โรมัน สร้างในสมัยฟาโรห์ปโตเลมีที่ 2 – ฟาโรห์ปโตเลมีที่ 11 สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพฮอรัส ด้านหน้ามี กำแพงขนาดใหญ่ เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกเขตวิหาร แยกวิหารออกจากส่วนทางโลก ภายในวิหารประกอบด้วยห้องต่างๆมากมาย ให้เฉพาะฟาโรห์และนักบวช ลำดับที่ 1 – 5 เท่านั้นที่จะเข้าไปได้ ส่วนการเตรียมของไหว้เป็นหน้าที่ของนักบวชรับใช้ มีทางเข้าออกเป็นอุโมงค์ต่างหาก
- hall แรกสุดเป็น open court ต่อมาเป็น hall ที่มีเสา 12 ต้น หัวเสาแต่ละต้นจะไม่เหมือนกัน มีทั้งแบบต้นปาปิรุส, ดอกบัว
- hall ต่อมามีเสา 12 ต้น ด้านขวามีห้องเล็กๆ เป็นห้องสมุด ด้านซ้ายเป็นที่เก็บของสักการะ
- hall ด้านในเป็นที่พักของรูปสลักเทพ ด้านซ้าย – ขวามีห้องเก็บของสักการะประเภทเนื้อและเครื่องดื่ม ส่วนด้านในสุดเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดและถูกสร้างเป็นอันดับแรก คือ ที่ตั้งรูปสลักเทพฮอรัส ใน 1 ปีจะมี 1 ครั้งที่จะเคลื่อนย้ายเทพฮอรัสโดย sacred boat ไปที่วิหารที่ Dandara เพื่อไปเยี่ยมพระชายาของพระองค์ บริเวณโดยรอบมีรูปสลักฟาโรห์ถวายเครื่องสักการะเทพต่างๆ และมีรูปเทพกอดฟาโรห์ ซึ่งพบที่นี่ที่เดียว
รูปปั้นเทพเจ้าฮอรัส หน้าทางเข้าสลักจากแกรนิตดำ สังเกตหมวกที่สวมจะเป็นหมวกฟาโรห์ ที่เรียกว่า double crown คือเหมือนหมวกซ้อนกันสองชั้น (Upper Crown Hedjet สีขาวของอียิปต์บน และ Lower Crown Deshret สีแดงของอียิปต์ล่าง) แสดงความเป็นฟาโรห์ของอาณาจักรอียิปต์ที่ควบรวมอำนาจของฟาโรห์ทั้งบน-ล่างตั้งแต่สมัยของเมเนสแล้ว รูปปั้นฟาโรที่เห็นตามวิหารต่างๆ ก็จะสวมหมวกแบบนี้
วิหารแห่งนี้ถูกฝังกลบอยู่ใต้ผืนทรายลึก 12 เมตรมาหลายศตวรรษ มีบ้านเรือนผู้คนปลูกสร้างอยู่เหนือวิหาร จนกระทั่งรัฐบาลฝรั่งเศสมาสำรวจ และบูรณะขุดแต่งวิหารกลับมาอีกครั้ง
วิหารลัคซอร์ (Luxor)
เป็นวิหารที่สร้างโดยฟาโรห์ในสมัยอียิปต์โบราณหลายพระองค์ โดยในส่วนหน้ามีเสาโอเบลิสก์ตั้งอยู่ เดิมเคยมี 2 ต้น แต่ในสมัยพระเจ้ามูฮัมหมัดได้ส่งไปเป็นของขวัญให้ฝรั่งเศส 1 ต้น ปัจจุบันจึงเหลือแค่ต้นเดียว ด้านหลังเสามีรูปสลักฟาโรห์รามเสสที่ 2 เดิมเคยมีอยู่ในท่านั่ง 2 ตัว ท่ายืน 4 ตัว แต่ปัจจุบันเหลือแค่ท่านั่ง 2 ตัว ท่ายืน 1 ตัว ถัดจากนั้นเป็น hall ที่มีเสา
ฝาผนังโดยรอบสลักเรื่องราวเกี่ยวกับงานเฉลิมฉลอง ซึ่งจะทำปีละครั้ง โดยการนำรูปสลักของเทพอามุน – ราใส่เรือ sacred boat แล้วแห่จากวิหารคาร์นัคมายังวิหารลักซอร์ เพื่อประกอบพิธีเป็นกษัตริย์แห่งเทพทั้งหลาย
ใน hall ด้านในทางเดินมีเสาอยู่ 2 ข้าง สร้างโดยฟาโรห์ตุตันคามุน (มีรูปสลักของพระองค์และพระมเหสีอยู่ตรงต้นทางเดิน แต่ถูกลบชื่อออกไปแล้วเขียนชื่อชองฟาโรห์รามเสสที่ 2 ลงไปแทน) จากนั้นด้านในมี hall อีกส่วนที่โดนลบรูปสลักโบราณแล้วเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาคริสต์เข้าไปในช่วงที่โรมันเข้ามายึดครองอียิปต์
ต่อจากใน hall ด้านใน จะมีภาพสลักบนฝาผนังเกี่ยวกับฟาโรห์ถวายเครื่องสักการะให้เทพองค์ต่างๆด้วย (ใน hall ที่ 2 ตรงกลางมีมัสยิดปลูกอยู่หลังหนึ่ง เพราะในตอนแรกที่ปลูก บริเวณวิหารถูกทรายกลบอยู่ ทำให้มองไม่เห็น แต่ภายหลังสร้างมัสยิดไปแล้วถึงเห็นวิหาร แต่ก็ไม่สามารถรื้อถอนได้ เพราะอียิปต์เป็นประเทศอิสลาม ไม่สามารถทำลายมัสยิดได้)
ด้านหน้าสุดของวิหารคือทางเดินสฟิงค์ยาวเหยียด ฟาโรห์อาเมนโฮเทปที่ 3 ได้สร้างถนนสฟิงค์เชื่อมวิหารลัคซอร์และคาร์นัคไว้ด้วยกัน โดยมีสฟิงค์กว่าพันตัวบนถนนความยาว 2.7 กม. ในยุคหลังบ้านเรือนได้ปลูกทับถนนสฟิงค์และรูปปั้นสฟิงค์ก็เสียหายไปเยอะ ได้มีโครงการทวงคืนถนนสฟิงค์ใช้งบประมาณ 11 ล้านเหรียญ ตอนนี้ถนนก็เริ่มกลับมาเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
วิหารอาบูซิมเบล (Abu Simbel)
สร้างโดยฟาโรห์รามเสสที่ 2 เป็นวิหารที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของอียิปต์ อยู่ใกล้เขตแดนประเทศซูดาน มีขนาดใหญ่มาก สร้างขึ้นเมื่อปี 1270 ปีก่อนคริสต์กาล หรือประมาณ 3260 ปีมาแล้ว โดยสกัดเจาะภูเขาทั้งลูก ด้านหน้าหันไปทางตะวันออก ประกอบด้วย 2 วิหารด้วยกันคือวิหารใหญ่และวิหารเล็ก วิหารใหญ่สร้างขึ้นสำหรับพระองค์เอง มีรูปหินแกะสลักของฟาโรห์รามเสสที่ 2 นั่งบนบัลลังก์ 4 องค์ เรียงกันข้างละ 2 องค์ หันหน้าไปทางแม่น้ำ
เพื่อแสดงถึงพลังและอำนาจของฟาโรห์ที่คอยดูแลปกป้องเหล่าเรือใบที่แล่นในแม่น้ำไนล์ ตรงกลางเจาะเป็นประตูทางเข้า ที่เท้าแกะสลักเป็นรูปพระมารดา พระราชินีและโอรสธิดาอีก 8 องค์ และสร้างรูปพระองค์สูงถึง 20 เมตร สร้างไว้ขู่พวก Nubia (พวกอาฟริกันผิวดำ) ซึ่งเป็นเมืองขึ้นมิให้กระด้างกระเดื่อง ส่วนวิหารเล็กสร้างอุทิศเพื่อมเหสีเนเฟอร์ทารี เพื่อทำการบวงสรวงเทพีฮาธอร์ อันเป็นเทพีแห่งดนตรีและความรักเปรียบเสมือนความรักระหว่างทั้ง 2 พระองค์
ในอดีตวิหารแห่งนี้จมอยู่ใต้ผืนทรายมาเป็นเวลานับพันปี กลายเป็นมหาวิหารที่ถูกหลงลืม จนนักประวัติศาสตร์ชาวสวิสมาพบเข้าเมื่อปี ค.ศ.1813 ตามมาด้วยนักสำรวจชาวอิตาลี ในปี ค.ศ.1817 แต่กว่าที่วิหารแห่งนี้จะเป็นที่รับรู้และดึงดูดความสนใจจากนักเดินทางทั่วโลกก็เมื่อปี ค.ศ.1838 เมื่อนักสำรวจที่มีฝีมือในการวาดภาพชาวอังกฤษได้เดินทางมายังอียิปต์ เสก็ตซ์ภาพวิหารแห่งนี้ไว้และนำออกตีพิมพ์ ภาพวิหารขนาดใหญ่ที่มีบางส่วนของทรายกลบทับถมสร้างความฮือฮาไปทั่วโลก
วิหารนี้ถูกเคลื่อนย้ายจากที่ตั้งเดิม ซึ่งเป็นผลจากน้ำท่วมเพราะการสร้างเขื่อนอัสวาน โดยความช่วยเหลือขององค์การ UNESCO ที่ใช้เวลา 4 ปี ระดมวิศวกรและนักโบราณคดี มาช่วยกันเคลื่อนย้าย ตัดภูเขาและรูปแกะสลักออกเป็นชิ้นๆ รวม 1,086 ชิ้น แล้วนำมาประกอบใหม่บนที่ตั้งปัจจุบันได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นเดิม ไม่ผิดแม้ทิศทางแสงและทิศทางลม กระทั่งรอยต่อระหว่างชิ้นก็มองแทบไม่เห็น ยกเว้นส่วนที่เป็นภูเขาซึ่งสร้างขึ้นมาใหม่ และจัดทำเป็นห้องนิทรรศการแสดงเบื้องหลังการขนย้ายวิหาร ถือเป็นการใช้เทคโนโลยีอันทันสมัยของโลกยุคปัจจุบันมากอบกู้สิ่งมหัศจรรย์ที่สร้างขึ้นในยุคโบราณเมื่อหลายพันปี
มหาวิหารคาร์นัค (Karnak Temple)
เป็นมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดและสวยงามที่สุดของอียิปต์ เป็นมหาวิหารที่บอกเรื่องราวและร่องรอยแห่งอารยธรรมที่แท้จริงของอียิปต์ทั้งโบราณทางด้านศิลปะ และวัฒธรรมของคนในยุคนั้นได้บ่งบอกไว้ในซากปรักหักพังของมหาวิหารคาร์นัคอันยิ่งใหญ่และกว้างใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวในอียิปต์ที่ได้รับความนิยมอันดับสองรองจากพีระมิดกิซ่าด้วย
มหาวิหารคาร์นัคสร้างโดยฟาโรห์เซซอสตริสที่ 1 กษัตริย์องค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์ที่ 12 อันปรากฏหลักฐานเก่าแก่ที่สุดอยู่ในหมู่วิหารของเทพอะมอนรา คือห้องบูชาเทพอะมอนรา และห้องแท่นบูชาเรือศักดิ์สิทธิ์ของเทพอะมอน อยู่ด้านหลังกำแพงชั้นที่ 6 มีอายุมากที่สุด นับรวมอายุถึงปัจจุบันร่วม 4,000 ปี
ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของวิหารลักซอร์ประมาณ 2.6 กิโลเมตร สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพเจ้าอะมอนรา เช่นเดียวกันกับวิหารลักซอร์ และเพื่อเป็นสถานที่จัดพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อของอียิปต์โบราณ ดังนั้นวิหารทั้งสองจึงมีความเกี่ยวพันกันเกี่ยวกับการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
มีรูปสลักฟาโรห์พินูดเจม (Pinudjem) แห่งราชวงศ์ที่ 21 สูง 15 เมตร เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์การท่องเที่ยวของอียิปต์ มีห้องโถง Hypostyle Hall ที่มีเสาสูง 10 เมตรอยู่ถึง 122 ต้น และมีเสาขนาดยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลาง 3 เมตร สูง 21 เมตรอีก 12 ต้น!! แค่หัวเสาก็หนัก 70 ตันแล้ว ทางเดินสฟิงค์หน้าซุ้มประตูแรกสุดของวิหารจะเป็นสฟิงค์หัวแพะ เดิมจะเชื่อมต่อกับถนนสฟิงค์ที่มาจากวิหารลัคซอร์
วิหารแห่งเดนเดรา (Dendera)
มหาวิหารที่บูชาเทพีแห่งความรักอย่างเทพีฮาเธอร์ ตั้งห่างออกมาทางตอนเหนือของเมืองลักซอร์ ประมาณ 70 กิโลเมตร ตัววิหารเดนเดราโดดเด่นด้วยเสาทรงเทพีฮาเธอร์ ประดับด้านหน้าถึง 6 เสา ด้านในมีห้องโถง ห้องเสาไฮโปสไตล์ ห้องบูชาด้านในอีกหลากหลายห้อง ที่สำคัญที่สุดก็คือห้องบูชาหลัก (Sanctuary) ของเทพีฮาเธอร์ ที่ประดิษฐานรูปปั้นรวมทั้งเรือศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในขบวนแห่ และบริเวณด้านหลังของวิหารเดนเดราแห่งนี้ ที่มีช่องทางเดินลงไปยังคูหาใต้ดิน (Crypt) ซึ่งมีภาพหลอดไฟสุดล้ำของชาวอียิปต์โบราณสลักเอาไว้
Cr. EGYPTIAN MYTHOLOGY
ภาพยนตร์เรื่อง God of Eypt เป็นการเอาช่วงตอนหนึ่งของการแย่งอำนาจกันระหว่างเทพเจ้า Seth กับเทพเจ้า Horus ในการครองดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ของอียิปต์สะท้อนถึงประวัติศาสตร์จริงในช่วงยุค Lower และ Upper Egypt (ในวิหารที่ Abu simbel )
Cr..majorcineplex.com
มหาวิหารแห่งอียิปต์โบราณ
วิหารคอมออมโบ
เป็นวิหารสไตล์กรีก – โรมัน สร้างในสมัยฟาโรห์ปโตเลมีที่ 2 – ฟาโรห์ปโตเลมีที่ 11 เป็นวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพโซเบ็ก (เทพแห่งความสมบูรณ์ของแม่น้ำไนล์ มีหัวเป็นจระเข้) และเทพฮอรัส (เทพแห่งการปกป้อง เป็นลูกของเทพโอซิริสและเทพีไอซิส มีหัวเป็นเหยี่ยว) ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ที่ล้ำออกมาถึงแม่น้ำไนล์ สามารถเห็นวิวของแม่น้ำไนล์อันงดงาม ชาวอียิปต์โบราณถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์และเป็นเทพผู้สร้างโลก และอีกฝั่งหนึ่งสำหรับบูชาเทพฮอรัส ซึ่งเป็นเทพที่มีหัวเป็นเหยี่ยว โดยเทพฮอรัสนี้ถือเป็นเทพแห่งสงคราม และการแพทย์นั่นเอง
คำว่า “คอม” เป็นภาษาอาหรับ หมายถึงภูเขาเล็กๆ วิหารนี้เกือบเป็นวิหารดะโครโพลิสของกรีก เพียงแต่หินที่ใช้สร้างแตกต่างกับวิหารอื่นๆ อาจเป็นเพราะถูกปกคลุมด้วยทรายเป็นเวลานาน การวางแบบของพื้นที่แปลกและเป็นเฉพาะตัวอีกด้วย
ภายในประกอบไปด้วยห้องเล็กๆ ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับการเก็บมัมมี่จระเข้อยู่สองตัว และรูปสลักปฏิทิน บอกวัน, เดือน, ปี เทพประจำวันนั้น และของสักการะเทพ ตามฝาผนังของวิหารถูกตกแต่งไปด้วยภาพแกะสลักที่มีการบรรยาย ถึงการแพทย์ในสมัยนั้น โดยรูปแกะดังกล่าว มีเครื่องมือผ่าตัดและเครื่องมือแพทย์อีกหลายอย่าง เช่น กรรไกร มีดผ่าตัด และอื่นๆอีกมาก
เป็นวัดที่มีความซับซ้อนสวยงามมาก และเมืองคอมออมโบยังถือว่าเป็นอีกหนึ่งในหลายๆเมืองโบราณ ที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ของประเทศอียิปต์เป็นอย่างมาก
วิหารเอ็ดฟู
เป็นวิหารสไตล์กรีก – โรมัน สร้างในสมัยฟาโรห์ปโตเลมีที่ 2 – ฟาโรห์ปโตเลมีที่ 11 สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพฮอรัส ด้านหน้ามี กำแพงขนาดใหญ่ เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกเขตวิหาร แยกวิหารออกจากส่วนทางโลก ภายในวิหารประกอบด้วยห้องต่างๆมากมาย ให้เฉพาะฟาโรห์และนักบวช ลำดับที่ 1 – 5 เท่านั้นที่จะเข้าไปได้ ส่วนการเตรียมของไหว้เป็นหน้าที่ของนักบวชรับใช้ มีทางเข้าออกเป็นอุโมงค์ต่างหาก
- hall แรกสุดเป็น open court ต่อมาเป็น hall ที่มีเสา 12 ต้น หัวเสาแต่ละต้นจะไม่เหมือนกัน มีทั้งแบบต้นปาปิรุส, ดอกบัว
- hall ต่อมามีเสา 12 ต้น ด้านขวามีห้องเล็กๆ เป็นห้องสมุด ด้านซ้ายเป็นที่เก็บของสักการะ
- hall ด้านในเป็นที่พักของรูปสลักเทพ ด้านซ้าย – ขวามีห้องเก็บของสักการะประเภทเนื้อและเครื่องดื่ม ส่วนด้านในสุดเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดและถูกสร้างเป็นอันดับแรก คือ ที่ตั้งรูปสลักเทพฮอรัส ใน 1 ปีจะมี 1 ครั้งที่จะเคลื่อนย้ายเทพฮอรัสโดย sacred boat ไปที่วิหารที่ Dandara เพื่อไปเยี่ยมพระชายาของพระองค์ บริเวณโดยรอบมีรูปสลักฟาโรห์ถวายเครื่องสักการะเทพต่างๆ และมีรูปเทพกอดฟาโรห์ ซึ่งพบที่นี่ที่เดียว
รูปปั้นเทพเจ้าฮอรัส หน้าทางเข้าสลักจากแกรนิตดำ สังเกตหมวกที่สวมจะเป็นหมวกฟาโรห์ ที่เรียกว่า double crown คือเหมือนหมวกซ้อนกันสองชั้น (Upper Crown Hedjet สีขาวของอียิปต์บน และ Lower Crown Deshret สีแดงของอียิปต์ล่าง) แสดงความเป็นฟาโรห์ของอาณาจักรอียิปต์ที่ควบรวมอำนาจของฟาโรห์ทั้งบน-ล่างตั้งแต่สมัยของเมเนสแล้ว รูปปั้นฟาโรที่เห็นตามวิหารต่างๆ ก็จะสวมหมวกแบบนี้
วิหารแห่งนี้ถูกฝังกลบอยู่ใต้ผืนทรายลึก 12 เมตรมาหลายศตวรรษ มีบ้านเรือนผู้คนปลูกสร้างอยู่เหนือวิหาร จนกระทั่งรัฐบาลฝรั่งเศสมาสำรวจ และบูรณะขุดแต่งวิหารกลับมาอีกครั้ง
วิหารลัคซอร์ (Luxor)
เป็นวิหารที่สร้างโดยฟาโรห์ในสมัยอียิปต์โบราณหลายพระองค์ โดยในส่วนหน้ามีเสาโอเบลิสก์ตั้งอยู่ เดิมเคยมี 2 ต้น แต่ในสมัยพระเจ้ามูฮัมหมัดได้ส่งไปเป็นของขวัญให้ฝรั่งเศส 1 ต้น ปัจจุบันจึงเหลือแค่ต้นเดียว ด้านหลังเสามีรูปสลักฟาโรห์รามเสสที่ 2 เดิมเคยมีอยู่ในท่านั่ง 2 ตัว ท่ายืน 4 ตัว แต่ปัจจุบันเหลือแค่ท่านั่ง 2 ตัว ท่ายืน 1 ตัว ถัดจากนั้นเป็น hall ที่มีเสา
ฝาผนังโดยรอบสลักเรื่องราวเกี่ยวกับงานเฉลิมฉลอง ซึ่งจะทำปีละครั้ง โดยการนำรูปสลักของเทพอามุน – ราใส่เรือ sacred boat แล้วแห่จากวิหารคาร์นัคมายังวิหารลักซอร์ เพื่อประกอบพิธีเป็นกษัตริย์แห่งเทพทั้งหลาย
ใน hall ด้านในทางเดินมีเสาอยู่ 2 ข้าง สร้างโดยฟาโรห์ตุตันคามุน (มีรูปสลักของพระองค์และพระมเหสีอยู่ตรงต้นทางเดิน แต่ถูกลบชื่อออกไปแล้วเขียนชื่อชองฟาโรห์รามเสสที่ 2 ลงไปแทน) จากนั้นด้านในมี hall อีกส่วนที่โดนลบรูปสลักโบราณแล้วเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาคริสต์เข้าไปในช่วงที่โรมันเข้ามายึดครองอียิปต์
ต่อจากใน hall ด้านใน จะมีภาพสลักบนฝาผนังเกี่ยวกับฟาโรห์ถวายเครื่องสักการะให้เทพองค์ต่างๆด้วย (ใน hall ที่ 2 ตรงกลางมีมัสยิดปลูกอยู่หลังหนึ่ง เพราะในตอนแรกที่ปลูก บริเวณวิหารถูกทรายกลบอยู่ ทำให้มองไม่เห็น แต่ภายหลังสร้างมัสยิดไปแล้วถึงเห็นวิหาร แต่ก็ไม่สามารถรื้อถอนได้ เพราะอียิปต์เป็นประเทศอิสลาม ไม่สามารถทำลายมัสยิดได้)
ด้านหน้าสุดของวิหารคือทางเดินสฟิงค์ยาวเหยียด ฟาโรห์อาเมนโฮเทปที่ 3 ได้สร้างถนนสฟิงค์เชื่อมวิหารลัคซอร์และคาร์นัคไว้ด้วยกัน โดยมีสฟิงค์กว่าพันตัวบนถนนความยาว 2.7 กม. ในยุคหลังบ้านเรือนได้ปลูกทับถนนสฟิงค์และรูปปั้นสฟิงค์ก็เสียหายไปเยอะ ได้มีโครงการทวงคืนถนนสฟิงค์ใช้งบประมาณ 11 ล้านเหรียญ ตอนนี้ถนนก็เริ่มกลับมาเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
วิหารอาบูซิมเบล (Abu Simbel)
สร้างโดยฟาโรห์รามเสสที่ 2 เป็นวิหารที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของอียิปต์ อยู่ใกล้เขตแดนประเทศซูดาน มีขนาดใหญ่มาก สร้างขึ้นเมื่อปี 1270 ปีก่อนคริสต์กาล หรือประมาณ 3260 ปีมาแล้ว โดยสกัดเจาะภูเขาทั้งลูก ด้านหน้าหันไปทางตะวันออก ประกอบด้วย 2 วิหารด้วยกันคือวิหารใหญ่และวิหารเล็ก วิหารใหญ่สร้างขึ้นสำหรับพระองค์เอง มีรูปหินแกะสลักของฟาโรห์รามเสสที่ 2 นั่งบนบัลลังก์ 4 องค์ เรียงกันข้างละ 2 องค์ หันหน้าไปทางแม่น้ำ
เพื่อแสดงถึงพลังและอำนาจของฟาโรห์ที่คอยดูแลปกป้องเหล่าเรือใบที่แล่นในแม่น้ำไนล์ ตรงกลางเจาะเป็นประตูทางเข้า ที่เท้าแกะสลักเป็นรูปพระมารดา พระราชินีและโอรสธิดาอีก 8 องค์ และสร้างรูปพระองค์สูงถึง 20 เมตร สร้างไว้ขู่พวก Nubia (พวกอาฟริกันผิวดำ) ซึ่งเป็นเมืองขึ้นมิให้กระด้างกระเดื่อง ส่วนวิหารเล็กสร้างอุทิศเพื่อมเหสีเนเฟอร์ทารี เพื่อทำการบวงสรวงเทพีฮาธอร์ อันเป็นเทพีแห่งดนตรีและความรักเปรียบเสมือนความรักระหว่างทั้ง 2 พระองค์
ในอดีตวิหารแห่งนี้จมอยู่ใต้ผืนทรายมาเป็นเวลานับพันปี กลายเป็นมหาวิหารที่ถูกหลงลืม จนนักประวัติศาสตร์ชาวสวิสมาพบเข้าเมื่อปี ค.ศ.1813 ตามมาด้วยนักสำรวจชาวอิตาลี ในปี ค.ศ.1817 แต่กว่าที่วิหารแห่งนี้จะเป็นที่รับรู้และดึงดูดความสนใจจากนักเดินทางทั่วโลกก็เมื่อปี ค.ศ.1838 เมื่อนักสำรวจที่มีฝีมือในการวาดภาพชาวอังกฤษได้เดินทางมายังอียิปต์ เสก็ตซ์ภาพวิหารแห่งนี้ไว้และนำออกตีพิมพ์ ภาพวิหารขนาดใหญ่ที่มีบางส่วนของทรายกลบทับถมสร้างความฮือฮาไปทั่วโลก
วิหารนี้ถูกเคลื่อนย้ายจากที่ตั้งเดิม ซึ่งเป็นผลจากน้ำท่วมเพราะการสร้างเขื่อนอัสวาน โดยความช่วยเหลือขององค์การ UNESCO ที่ใช้เวลา 4 ปี ระดมวิศวกรและนักโบราณคดี มาช่วยกันเคลื่อนย้าย ตัดภูเขาและรูปแกะสลักออกเป็นชิ้นๆ รวม 1,086 ชิ้น แล้วนำมาประกอบใหม่บนที่ตั้งปัจจุบันได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นเดิม ไม่ผิดแม้ทิศทางแสงและทิศทางลม กระทั่งรอยต่อระหว่างชิ้นก็มองแทบไม่เห็น ยกเว้นส่วนที่เป็นภูเขาซึ่งสร้างขึ้นมาใหม่ และจัดทำเป็นห้องนิทรรศการแสดงเบื้องหลังการขนย้ายวิหาร ถือเป็นการใช้เทคโนโลยีอันทันสมัยของโลกยุคปัจจุบันมากอบกู้สิ่งมหัศจรรย์ที่สร้างขึ้นในยุคโบราณเมื่อหลายพันปี
มหาวิหารคาร์นัค (Karnak Temple)
เป็นมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดและสวยงามที่สุดของอียิปต์ เป็นมหาวิหารที่บอกเรื่องราวและร่องรอยแห่งอารยธรรมที่แท้จริงของอียิปต์ทั้งโบราณทางด้านศิลปะ และวัฒธรรมของคนในยุคนั้นได้บ่งบอกไว้ในซากปรักหักพังของมหาวิหารคาร์นัคอันยิ่งใหญ่และกว้างใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวในอียิปต์ที่ได้รับความนิยมอันดับสองรองจากพีระมิดกิซ่าด้วย
มหาวิหารคาร์นัคสร้างโดยฟาโรห์เซซอสตริสที่ 1 กษัตริย์องค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์ที่ 12 อันปรากฏหลักฐานเก่าแก่ที่สุดอยู่ในหมู่วิหารของเทพอะมอนรา คือห้องบูชาเทพอะมอนรา และห้องแท่นบูชาเรือศักดิ์สิทธิ์ของเทพอะมอน อยู่ด้านหลังกำแพงชั้นที่ 6 มีอายุมากที่สุด นับรวมอายุถึงปัจจุบันร่วม 4,000 ปี
ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของวิหารลักซอร์ประมาณ 2.6 กิโลเมตร สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพเจ้าอะมอนรา เช่นเดียวกันกับวิหารลักซอร์ และเพื่อเป็นสถานที่จัดพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อของอียิปต์โบราณ ดังนั้นวิหารทั้งสองจึงมีความเกี่ยวพันกันเกี่ยวกับการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
มีรูปสลักฟาโรห์พินูดเจม (Pinudjem) แห่งราชวงศ์ที่ 21 สูง 15 เมตร เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์การท่องเที่ยวของอียิปต์ มีห้องโถง Hypostyle Hall ที่มีเสาสูง 10 เมตรอยู่ถึง 122 ต้น และมีเสาขนาดยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลาง 3 เมตร สูง 21 เมตรอีก 12 ต้น!! แค่หัวเสาก็หนัก 70 ตันแล้ว ทางเดินสฟิงค์หน้าซุ้มประตูแรกสุดของวิหารจะเป็นสฟิงค์หัวแพะ เดิมจะเชื่อมต่อกับถนนสฟิงค์ที่มาจากวิหารลัคซอร์
วิหารแห่งเดนเดรา (Dendera)
มหาวิหารที่บูชาเทพีแห่งความรักอย่างเทพีฮาเธอร์ ตั้งห่างออกมาทางตอนเหนือของเมืองลักซอร์ ประมาณ 70 กิโลเมตร ตัววิหารเดนเดราโดดเด่นด้วยเสาทรงเทพีฮาเธอร์ ประดับด้านหน้าถึง 6 เสา ด้านในมีห้องโถง ห้องเสาไฮโปสไตล์ ห้องบูชาด้านในอีกหลากหลายห้อง ที่สำคัญที่สุดก็คือห้องบูชาหลัก (Sanctuary) ของเทพีฮาเธอร์ ที่ประดิษฐานรูปปั้นรวมทั้งเรือศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในขบวนแห่ และบริเวณด้านหลังของวิหารเดนเดราแห่งนี้ ที่มีช่องทางเดินลงไปยังคูหาใต้ดิน (Crypt) ซึ่งมีภาพหลอดไฟสุดล้ำของชาวอียิปต์โบราณสลักเอาไว้
Cr. EGYPTIAN MYTHOLOGY
ภาพยนตร์เรื่อง God of Eypt เป็นการเอาช่วงตอนหนึ่งของการแย่งอำนาจกันระหว่างเทพเจ้า Seth กับเทพเจ้า Horus ในการครองดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ของอียิปต์สะท้อนถึงประวัติศาสตร์จริงในช่วงยุค Lower และ Upper Egypt (ในวิหารที่ Abu simbel )
Cr..majorcineplex.com