ออกเดินทางเพื่อตามหาความหมายของการใช้ชีวิต
Facebook:
https://www.facebook.com/1mustbethere/
Instagram: mustbethere
อียิปต์คือ ประเทศในฝันของผม
เพราะสําหรับผม อดีตกาลคือความยิ่งใหญ่
วันวานที่ไม่มีสิ่งอํานวยความสะดวกใดๆ ยื่นมือเข้ามาช่วย มีแต่หัวคิดและแรงกาย
เป็นอาวุธ
และอียิปต์คือสถานที่ที่มีการบันทึกที่เก่าแก่มากที่สุดของโลกแห่งหนึ่ง มีสิ่งมหัศจรรย์
พันลึกอย่างพีระมิดที่คงอยู่มาแล้วกว่า 7,000 ปี
การเดินทางมาถ่ายทํา สารคดีครั้งนี้ ผมจะได้ผจญภัยแบบย้อนกลับไปดูต้นกํา เนิด
ของประวัติศาสตร์มนุษย์ตามลุ่มแม่น้ํา ที่ยาวที่สุดในโลกอย่างแม่น้ํา ไนล์ แถมยังได้ไปทะเล
ทรายด้วย
สองเป้าหมายที่ทีมเราต้องการถ่าย ก็คือสิ่งก่อสร้างที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
มหานครสีชมพูเปตรา และ Dead Sea ทะเลสาบน้ํา เค็มชื่อดัง
มาถึงประเทศอียิปต์ปุ๊บ พวกเราก็บินสายการบินภายในประเทศอียิปต์ ระหว่าง
ทางที่นั่งเครืองบินไปนั้น ผมมองออกไปจากริมหน้าต่าง มองเห็นเพียงทะเลทรายสุดลูกหู
ลูกตา ต้นไม้สักต้น ยังแทบหาไม่เจอ
แล้วดินแดนแห่งนี้มันอยู่ได้อย่างไร แล้วทํา ไมคนเหล่านี้ถึงอยู่กันมาได้เป็นหมื่นปี
อียิปต์โบราณ คือคํา ที่ผมได้ยินมาบ่อย แต่พอมาถึงที่นี่ คํา ว่าอียิปต์โบราณถูก
เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ไอยคุปต์ ซึ่งถือว่าเป็นอารยธรรมของมนุษย์ที่เก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่ง
ของโลกที่มีการค้นพบ
ที่นี่ทุกอย่างดูใหม่สําหรับผมมาก เพราะสิ่งที่เคยรู้เคยได้ยินมา พีระมิด ทะเลทราย
คือคีย์เวิร์ดที่หากพูดถึงอียิปต์ใครก็คงนึกถึง
เราวางแผนกันว่าจะเริ่มทริปที่ตอนใต้ และตอนกลางของประเทศอียิปต์ วันนั้น
ทั้งวันเราจึงออกไปซื้อของเตรียมตัว เพื่อบินไปยังทางตอนกลางของประเทศ
แดดจ้า อุณหภูมิตอนกลางวันขึ้นไปกว่า 40 องศาเซลเซียสที่ไคโร (Cairo) แต่ผม
ไม่เห็นมีใครใช้ร่มอย่างบ้านเรา เด็กเสิร์ฟที่พวกเราไปทานข้าวบอกว่า “ที่นี่ปีหนึ่งฝน
แทบไม่ตก แถมตกทีก็ไม่ทั่วฟ้า ไม่รู้จะมีร่มไปทํา ไม ถ้าอยากบังแดดก็ใช้หมวกกัน”
ระหว่างที่ทีมงานกํา ลังเลือกซื้อสิ่งของต่างๆ ผมถือโอกาสศึกษาบ้านเมืองไคโร
ในยุคปัจจุบัน
บ้านและสิ่งก่อสร้างมากมายของที่นี่ ล้วนเป็นสถาปัตยกรรมแบบสร้างไม่เสร็จ
เพราะกฎหมายจะเก็บภาษีสํา หรับบ้านที่สร้างเสร็จแล้ว คนที่นี่เลยไม่สร้างบ้านให้เสร็จ
สร้างไม่เสร็จก็ไม่ต้องจ่าย
บ้านที่สร้างไม่เสร็จจํานวนหลายล้านหลังในกรุงไคโรช่างห่างไกลกับคํา ว่าสวย แต่มัน
คือสิ่งแปลกตาที่ผมนั่งมองได้เป็นชั่วโมงๆ
พวกเราเดินทางกันต่อ ผมมองรถตามท้องถนนแล้วก็สงสัยว่ารถที่นี่ทํา ไมบุบเบี้ยว
มีร่องรอยกันหมด ไม่มีคันไหนสวยเนี้ยบเลย
สักพักก็มีรถชนเกิดขึ้น สภาพที่มองแม้ระยะจะไม่ใกล้มาก แต่บอกได้เลยว่ารอประกัน
เคลียร์กันยาวแน่ๆ
แต่เปล่าเลย ต่างคนต่างไปต่อ
ขับไปอีกราวครึ่งชั่วโมง ก็มีชนกัน ถอยแล้วขับต่อไปอีกเหมือนเคย บอกเลยว่าใน
เมืองไคโรนั้นขับกันเหมือนรถบั๊มอย่างไรอย่างนั้น ชนกันเป็นเรื่องปกติ ชนเสร็จก็ต่างคน
ต่างไป ดํา เนินชีวิตกันต่อเหมือนเป็นเรื่องปกติ
ถ้ามีบริษัทประกันภัยรถยนต์มาเปิด มีเจ๊งตั้งแต่เดือนแรกแน่นอน
ณ สนามบินไคโร เราขึ้นเครืองบินเพื่อบินไปยังตอนกลางของอียิปต์ ก่อนเครื่อง
จะขึ้นทุกครั้งจะมีการเปิดเพลงละมาด สมกับที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งศูนย์ศึกษาศาสนา
หรือสายการบินบ้านเราน่าจะเอาบ้าง ก่อนเครื่องขึ้น มีการนํา สวดมนต์ทุกครั้ง
ก็ถือว่าเป็นการบํา รุงพระพุทธศาสนาไปในตัว
สํา หรับผมแล้วการฟังข้อมูลที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยผ่านตามาก่อนเลย ทํา ให้ผมแทบ
จะไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น เพราะชื่อฟาโรห์นั้นมีมากมายเหลือเกิน ชื่อเทพเจ้าก็มีมหาศาล
ทั้งอักษรอียิปต์โบราณก็ไม่ช่วยอะไร
แต่ผมก็พยายามทํา ความเข้าใจในแบบของผม พยายามแยกทุกอย่างออกจาก
กันเป็นกลุ่ม และชื่อไหนที่ได้ยินบ่อย ค่อยจํา ชื่อนั้นและศึกษาชื่อนั้น ส่วนชื่อไหนที่ฟัง
ไม่กี่ครั้ง ผมก็ลืมไปก่อน เพราะสมองอันน้อยนิดต้องแตกตายแน่ ถ้าจะต้องจํา ทุกอย่าง
ให้ได้ภายในหนึ่งเดือนแห่งการย้อนอดีตครั้งนี้
ผมเคยคิดว่า ความเจริญของอียิปต์มีอยู่ที่เดียวคือเมืองไคโร แต่เปล่าเลย เมือง
ไคโรเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของอารยธรรม อารยธรรมของอียิปต์นั้นมีมานานกว่า 10,000 ปี
บางช่วงเวลาอาจเกิดโรคระบาด บางช่วงเวลาอาจเกิดแผ่นดินไหว บางช่วงเวลาอาจเกิด
สงคราม เมืองต่างๆ จึงโยกย้ายไปหาที่ใหม่ๆ ตามลุ่มแม่น้ํา ไนล์
ลักซอร์ (Luxor) ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 416 ตร.กม. ในอดีตนั้นเป็นที่ตั้งของเมือง
วาเซต (Waset) เมืองหลวงของอียิปต์ตอนบน เพราะสมัยก่อนอียิปต์ถูกแบ่งออกเป็นอียิปต์
บนและอียิปต์ล่าง สิ่งก่อสร้างโบราณที่สํา คัญที่สุดในโลก 2 วิหารตั้งอยู่ที่นี่ นั่นคือวิหาร
ลักซอร์ และมหาวิหารคาร์นัค
วิหารลักซอร์สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าอมุน-รา (Amun-Ra) เทพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ในความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณ ด้านหน้าของวิหารมีถนนสฟิงซ์ที่มีศีรษะเป็นมนุษย์
ตั้งเรียงรายอยู่ สิ้นสุดถนนคือวิหารที่ใหญ่โตมากจนผมคิดว่าผมมาเยือนเมืองคนยักษ์
แค่ลอบมองซุ้มประตู (Pylon) ที่สูงถึง 24 เมตร ผมก็ตะลึงงันในความยิ่งใหญ่
และทรงพลังของซุ้มประตูแห่งนี้ นอกจากซุ้มประตูแล้วยังมีรูปสลักของฟาโรห์รามเสสที่ 2
(Ramses II) ประทับนั่งบนบัลลังก์ตระหง่านขนาบด้านหน้าซุ้มประตูทั้ง 2 ด้าน พร้อมกับ
รูปสลักของพระองค์ในแบบยืนอีกข้างละ 2 รูป รวมทั้งเสาโอเบลิสก์ที่ถึงแม้จะเป็นเพียง
ต้นเดียวที่เหลืออยู่ของวิหารด้วย
พวกเราใช้เวลาเดินชมวิหารลักซอร์อยู่ราว 3 ชั่วโมง ทุกอย่างไม่ว่าภาพวาด หรือ
ภาพแกะสลักทํา ให้ผมทึ่งถึงความสามารถ และความอดทนของคนยุคโบราณ จนเผลอ
ลืมอาการเพลียแดดไปชั่วคราว
ด้านบนข้างๆ ของวิหารแห่งนี้ มีสุเหร่าตั้งอยู่ คนแถวนั้นบอกผมว่า เมื่อก่อน
พายุทรายจากทะเลทรายสะฮารา (Sahara) พัดเม็ดทรายมหาศาลกลบกลืนทุกสิ่งอย่าง
จนไม่มีใครรู้ว่าใต้ผืนทรายเหล่านี้มีสิ่งก่อสร้างหลับใหลอยู่ จนมีสุเหร่ามาก่อสร้างและได้
ขุดหลุมลึกลงไป แล้วบังเอิญเจอหินแกะสลักอยู่ด้านล่าง ช่างก็ช่วยกันขุดขึ้นมา ก่อนจะ
ค้นพบวิหารที่สาบสูญไปหลายพันปีอยู่เบื้องล่าง
พวกเรากลับมาพักผ่อนที่โรงแรมเอาแรง เพื่อเตรียมตัวไปชมมหาวิหารที่ว่ากันว่า
เป็นมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดในโลกในวันพรุ่งนี้
มหาวิหารคาร์นัค (Great Temple of Karnak) ถือว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใช้เวลา
ก่อสร้างยาวนาน โดยมีฟาโรห์ถึง 30 พระองค์ร่วมกันก่อสร้างเพื่อบูชาเทพเจ้า ตามความ
เชื่อในสมัยโบราณที่เชื่อว่าเทพเจ้าคือผู้ที่คอยคุ้มครองดินแดนอียิปต์
มหาวิหารเริ่มก่อสร้างในสมัยฟาโรห์พระองค์ใดไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่ได้รับการ
บูรณะและก่อสร้างเพิ่มเติมในช่วงราชวงศ์ที่ 18-20 และมีการบูรณะต่อเนื่องสมัยที่โรมัน
เข้าครอบครองอียิปต์ การต่อเติมวิหารคาร์นัคทํา ให้พื้นที่ของวิหารกว้างขวาง จนกลาย
เป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่รองจากพีระมิดแห่งกีซา (Great Pyramid of Giza)
วิหารคาร์นัคได้รับการขนานนามว่าเป็น Open Air Museum ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ภายในวิหารแบ่งออกเป็น 3 ส่วน แต่ละส่วนมีสิ่งก่อสร้างและพื้นที่ใหญ่โต ส่วนแรก
ซึ่งได้เปิดให้ผมได้เดินดูนั้น คือ วิหารอะมอนรา หรือ Amon-Re และอีก 2 ส่วนจะไม่เปิด
ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม
ตลอดสองข้างทางจะมีรูปปั้นสฟิงซ์หัวแกะ เมื่อเดินเข้าไปยังประตูตรงทางเข้า
วิหารอะมอนราจะผ่านกํา แพงเป็นชั้นๆ ที่ฟาโรห์แต่ละพระองค์สร้างเอาไว้อย่างอลังการ
เพราะแค่กํา แพงชั้นที่ 1 ก็มีความกว้างถึง 113 เมตร และหนากว่า 15 เมตร อีกด้านหนึ่ง
ของกํา แพงจะมีบันไดเพื่อขึ้นไปชมวิว
เมื่อพ้นกํา แพงชั้นที่ 1 จะพบภาพแกะสลักของเทวีมัต เทพเจ้าอะมอนรา และ
เทพคอนซู ซึ่งเป็นวิหารหลังเล็ก เชื่อกันว่าเทพและเทวีทั้ง 3 องค์เป็นพ่อแม่ลูกกัน ฟาโรห์
ชื่อเซติที่ 2 เป็นผู้สร้างถวาย ตรงเข้าไปจะพบส่วนสํา คัญของวิหารอะมอนราคือ Hypostyle
Hall ห้องโถงที่มีเสาหินขนาดใหญ่ถึง 134 ต้น เสาแต่ละต้นสร้างมาจากหินเพียงก้อนเดียว
ที่พื้นผิวเสาจะสลักอักษรภาพที่แสดงถึงวิถีชีวิต และกิจกรรมของฟาโรห์ที่เกี่ยวข้องกับ
เรื่องศาสนาและสงคราม เสาบางต้นตรงหัวเสามีรูปดอกปาปิรัสประดับเอาไว้ ความยิ่งใหญ่
ของเสาหินที่หนักเป็นพันตันนั้น มันสุดเหนือการจินตนาการผม ผมไม่สงสัยว่าเขาสร้างกัน
อย่างไร แต่อยากรู้ว่าเขานํามันมาอยู่จุดนี้ได้อย่างไรมากกว่า
ผมเข้าไปอ่านเรื่องราวของเสาเหล่านี้ ปรากฏว่าหินที่ทํา เสานั้น มาจากทางตอนใต้
ของอียิปต์ โดยแกะเอาแท่งหินออกจากภูเขาหินได้ต้องใช้ไม้แท่งเจาะเข้าไปจากนั้นก็เทน้ํา
เข้าไป เมื่อไม้แห้งโดนน้ํา ไม้ก็จะบวมจนทํา ให้หินแตกออกมาจากภูเขาหิน เมื่อนั้นก็
ขนแท่งหินผ่านแม่น้ํา ไนล์ เมื่อถึงที่หมายก็เอาทรายก่อสูงๆ ใช้คนลากขนไป แล้วขุด
ทรายออกให้หินตั้งตรง โดยต้องคํา นวนกันอย่างดีว่ามันจะตั้งตรงจุดไหม มันจะหักไหม
เพราะถ้าหินหักก็ต้องทิ้งทันที ความพยายามที่ทํามา ก็ถือว่าจบกัน
เสากว่า 100 กว่าต้นนั้นผมว่ามันต้องมีความผิดพลาดบ้างล่ะ จมน้ํา บ้างล่ะ
หักบ้าง กว่าจะครบร้อยต้นนั้น มันสุดแสนจะเกินความพยายาม
แต่มนุษย์ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เมื่อความพยายามผสมรวมกับการร่วมแรงร่วมใจ
อะไรก็เป็นไปได้
พวกเราใช้เวลาเดินกว่า 8 ชั่วโมงในมหาวิหารที่ไร้ที่หลบแดด ร่างกายผมล้ามาก
แต่ก็ยังไม่อยากหยุดเดินดูสิ่งที่สร้างจากความเชื่อและศรัทธาในเทพเจ้า
วันนี้ผมหลับไปโดยไม่ได้ทานอาหารเย็นเลย คงเพราะเพลียแดดและเดินเยอะ
เกินกํา ลัง
วันใหม่ในเวลาตี 4 ผมต้องตื่นขึ้นมาเพราะวันนี้มีกิจกรรมนั่งบอลลูนชมเมืองลักซอร์
ผมผู้ที่อดีตขี้กลัวความสูงมากๆ กํา ลังจะได้ขึ้นบอลลูนร้อนครั้งแรกในชีวิต
แต่ทํา ไมครั้งนี้ผมไม่รู้สึกกลัวเลย คงเป็นเพราะความสนุกจากการผจญภัย ที่ทํา ให้
ผมเปลี่ยนจากคนที่กลัวแทบทุกอย่าง เป็นคนที่สนุกกับทุกช่วงเวลาใหม่ของชีวิตกับ
โลกใหม่ๆ ได้อย่างไม่รู้ตัว
บอลลูนลอยขึ้นสูงเรื่อยๆ สิ่งหนึ่งที่ผมมองเห็นเต็มสายตา คือแม่น้ํา ไนล์ที่ไหล
ทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ถูกโอบล้อมสองข้างลํา น้ํา ด้วยต้นไม้เรียงราย ทว่าห่างจาก
แม่น้ํา ไนล์ไปประมาณ 300 เมตร ภูมิประเทศกลับกลายเป็นทะเลทรายทอดยาวอย่างไม่รู้จบ
นี่เองที่เขาเรียกกันว่า อารยธรรมลุ่มแม่น้ํา ไนล์
สิ่งมีชีวิตล้วนอาศัยอยู่ข้างแม่น้ํา ไนล์ เพราะห่างออกไปคือแห้งแล้งจับใจ
ผมอยู่บนบอลลูนที่ลอยดิ่งในแนวสูงอย่างเดียว ไม่เคลื่อนที่ซ้ายขวาไปไหน ห่างจาก
จุดขึ้นก็แค่ 200 เมตร ผมมองบอลลูนลูกอื่นปลิวไกลออกไป แล้วก็นึกในใจว่า หรือกัปตัน
เราจะไม่เก่งพอ
แม้อยู่ในบอลลูนที่ไม่ปลิวไกลเหมือนของคนอื่นเขา แต่ผมปล่อยใจปลิวไปที่
แสงพระอาทิตย์ขึ้นที่ตัดกับขอบทะเลทราย ได้เห็นอาทิตย์ขึ้นจากทะเลทราย มันสวยจน
แทบจะหยุดหายใจได้เหมือนกันนะ
หลังจากเปิดประสบการณ์นั่งบอลลูนครั้งแรกในชีวิต พวกเราก็เก็บของเตรียมตัว
เพื่อไปนั่งเรือสํา ราญลงใต้สุดของอียิปต์ โดยจะแล่นเรือผ่านลุ่มแม่น้ํา ไนล์เป็นเวลาทั้งหมด
5 วัน มีแวะจอดชมเมืองระหว่างทาง ก่อนจะไปถึงจุดหมายปลายทาง คือมหาวิหาร
อะบูซิมเบล (Abu Simbel)
Must Be There : อียิปต์เท่าที่รู้
Facebook: https://www.facebook.com/1mustbethere/
Instagram: mustbethere
อียิปต์คือ ประเทศในฝันของผม
เพราะสําหรับผม อดีตกาลคือความยิ่งใหญ่
วันวานที่ไม่มีสิ่งอํานวยความสะดวกใดๆ ยื่นมือเข้ามาช่วย มีแต่หัวคิดและแรงกาย
เป็นอาวุธ
และอียิปต์คือสถานที่ที่มีการบันทึกที่เก่าแก่มากที่สุดของโลกแห่งหนึ่ง มีสิ่งมหัศจรรย์
พันลึกอย่างพีระมิดที่คงอยู่มาแล้วกว่า 7,000 ปี
การเดินทางมาถ่ายทํา สารคดีครั้งนี้ ผมจะได้ผจญภัยแบบย้อนกลับไปดูต้นกํา เนิด
ของประวัติศาสตร์มนุษย์ตามลุ่มแม่น้ํา ที่ยาวที่สุดในโลกอย่างแม่น้ํา ไนล์ แถมยังได้ไปทะเล
ทรายด้วย
สองเป้าหมายที่ทีมเราต้องการถ่าย ก็คือสิ่งก่อสร้างที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
มหานครสีชมพูเปตรา และ Dead Sea ทะเลสาบน้ํา เค็มชื่อดัง
มาถึงประเทศอียิปต์ปุ๊บ พวกเราก็บินสายการบินภายในประเทศอียิปต์ ระหว่าง
ทางที่นั่งเครืองบินไปนั้น ผมมองออกไปจากริมหน้าต่าง มองเห็นเพียงทะเลทรายสุดลูกหู
ลูกตา ต้นไม้สักต้น ยังแทบหาไม่เจอ
แล้วดินแดนแห่งนี้มันอยู่ได้อย่างไร แล้วทํา ไมคนเหล่านี้ถึงอยู่กันมาได้เป็นหมื่นปี
อียิปต์โบราณ คือคํา ที่ผมได้ยินมาบ่อย แต่พอมาถึงที่นี่ คํา ว่าอียิปต์โบราณถูก
เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ไอยคุปต์ ซึ่งถือว่าเป็นอารยธรรมของมนุษย์ที่เก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่ง
ของโลกที่มีการค้นพบ
ที่นี่ทุกอย่างดูใหม่สําหรับผมมาก เพราะสิ่งที่เคยรู้เคยได้ยินมา พีระมิด ทะเลทราย
คือคีย์เวิร์ดที่หากพูดถึงอียิปต์ใครก็คงนึกถึง
เราวางแผนกันว่าจะเริ่มทริปที่ตอนใต้ และตอนกลางของประเทศอียิปต์ วันนั้น
ทั้งวันเราจึงออกไปซื้อของเตรียมตัว เพื่อบินไปยังทางตอนกลางของประเทศ
แดดจ้า อุณหภูมิตอนกลางวันขึ้นไปกว่า 40 องศาเซลเซียสที่ไคโร (Cairo) แต่ผม
ไม่เห็นมีใครใช้ร่มอย่างบ้านเรา เด็กเสิร์ฟที่พวกเราไปทานข้าวบอกว่า “ที่นี่ปีหนึ่งฝน
แทบไม่ตก แถมตกทีก็ไม่ทั่วฟ้า ไม่รู้จะมีร่มไปทํา ไม ถ้าอยากบังแดดก็ใช้หมวกกัน”
ระหว่างที่ทีมงานกํา ลังเลือกซื้อสิ่งของต่างๆ ผมถือโอกาสศึกษาบ้านเมืองไคโร
ในยุคปัจจุบัน
บ้านและสิ่งก่อสร้างมากมายของที่นี่ ล้วนเป็นสถาปัตยกรรมแบบสร้างไม่เสร็จ
เพราะกฎหมายจะเก็บภาษีสํา หรับบ้านที่สร้างเสร็จแล้ว คนที่นี่เลยไม่สร้างบ้านให้เสร็จ
สร้างไม่เสร็จก็ไม่ต้องจ่าย
บ้านที่สร้างไม่เสร็จจํานวนหลายล้านหลังในกรุงไคโรช่างห่างไกลกับคํา ว่าสวย แต่มัน
คือสิ่งแปลกตาที่ผมนั่งมองได้เป็นชั่วโมงๆ
พวกเราเดินทางกันต่อ ผมมองรถตามท้องถนนแล้วก็สงสัยว่ารถที่นี่ทํา ไมบุบเบี้ยว
มีร่องรอยกันหมด ไม่มีคันไหนสวยเนี้ยบเลย
สักพักก็มีรถชนเกิดขึ้น สภาพที่มองแม้ระยะจะไม่ใกล้มาก แต่บอกได้เลยว่ารอประกัน
เคลียร์กันยาวแน่ๆ
แต่เปล่าเลย ต่างคนต่างไปต่อ
ขับไปอีกราวครึ่งชั่วโมง ก็มีชนกัน ถอยแล้วขับต่อไปอีกเหมือนเคย บอกเลยว่าใน
เมืองไคโรนั้นขับกันเหมือนรถบั๊มอย่างไรอย่างนั้น ชนกันเป็นเรื่องปกติ ชนเสร็จก็ต่างคน
ต่างไป ดํา เนินชีวิตกันต่อเหมือนเป็นเรื่องปกติ
ถ้ามีบริษัทประกันภัยรถยนต์มาเปิด มีเจ๊งตั้งแต่เดือนแรกแน่นอน
ณ สนามบินไคโร เราขึ้นเครืองบินเพื่อบินไปยังตอนกลางของอียิปต์ ก่อนเครื่อง
จะขึ้นทุกครั้งจะมีการเปิดเพลงละมาด สมกับที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งศูนย์ศึกษาศาสนา
หรือสายการบินบ้านเราน่าจะเอาบ้าง ก่อนเครื่องขึ้น มีการนํา สวดมนต์ทุกครั้ง
ก็ถือว่าเป็นการบํา รุงพระพุทธศาสนาไปในตัว
สํา หรับผมแล้วการฟังข้อมูลที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยผ่านตามาก่อนเลย ทํา ให้ผมแทบ
จะไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น เพราะชื่อฟาโรห์นั้นมีมากมายเหลือเกิน ชื่อเทพเจ้าก็มีมหาศาล
ทั้งอักษรอียิปต์โบราณก็ไม่ช่วยอะไร
แต่ผมก็พยายามทํา ความเข้าใจในแบบของผม พยายามแยกทุกอย่างออกจาก
กันเป็นกลุ่ม และชื่อไหนที่ได้ยินบ่อย ค่อยจํา ชื่อนั้นและศึกษาชื่อนั้น ส่วนชื่อไหนที่ฟัง
ไม่กี่ครั้ง ผมก็ลืมไปก่อน เพราะสมองอันน้อยนิดต้องแตกตายแน่ ถ้าจะต้องจํา ทุกอย่าง
ให้ได้ภายในหนึ่งเดือนแห่งการย้อนอดีตครั้งนี้
ผมเคยคิดว่า ความเจริญของอียิปต์มีอยู่ที่เดียวคือเมืองไคโร แต่เปล่าเลย เมือง
ไคโรเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของอารยธรรม อารยธรรมของอียิปต์นั้นมีมานานกว่า 10,000 ปี
บางช่วงเวลาอาจเกิดโรคระบาด บางช่วงเวลาอาจเกิดแผ่นดินไหว บางช่วงเวลาอาจเกิด
สงคราม เมืองต่างๆ จึงโยกย้ายไปหาที่ใหม่ๆ ตามลุ่มแม่น้ํา ไนล์
ลักซอร์ (Luxor) ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 416 ตร.กม. ในอดีตนั้นเป็นที่ตั้งของเมือง
วาเซต (Waset) เมืองหลวงของอียิปต์ตอนบน เพราะสมัยก่อนอียิปต์ถูกแบ่งออกเป็นอียิปต์
บนและอียิปต์ล่าง สิ่งก่อสร้างโบราณที่สํา คัญที่สุดในโลก 2 วิหารตั้งอยู่ที่นี่ นั่นคือวิหาร
ลักซอร์ และมหาวิหารคาร์นัค
วิหารลักซอร์สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าอมุน-รา (Amun-Ra) เทพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ในความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณ ด้านหน้าของวิหารมีถนนสฟิงซ์ที่มีศีรษะเป็นมนุษย์
ตั้งเรียงรายอยู่ สิ้นสุดถนนคือวิหารที่ใหญ่โตมากจนผมคิดว่าผมมาเยือนเมืองคนยักษ์
แค่ลอบมองซุ้มประตู (Pylon) ที่สูงถึง 24 เมตร ผมก็ตะลึงงันในความยิ่งใหญ่
และทรงพลังของซุ้มประตูแห่งนี้ นอกจากซุ้มประตูแล้วยังมีรูปสลักของฟาโรห์รามเสสที่ 2
(Ramses II) ประทับนั่งบนบัลลังก์ตระหง่านขนาบด้านหน้าซุ้มประตูทั้ง 2 ด้าน พร้อมกับ
รูปสลักของพระองค์ในแบบยืนอีกข้างละ 2 รูป รวมทั้งเสาโอเบลิสก์ที่ถึงแม้จะเป็นเพียง
ต้นเดียวที่เหลืออยู่ของวิหารด้วย
พวกเราใช้เวลาเดินชมวิหารลักซอร์อยู่ราว 3 ชั่วโมง ทุกอย่างไม่ว่าภาพวาด หรือ
ภาพแกะสลักทํา ให้ผมทึ่งถึงความสามารถ และความอดทนของคนยุคโบราณ จนเผลอ
ลืมอาการเพลียแดดไปชั่วคราว
ด้านบนข้างๆ ของวิหารแห่งนี้ มีสุเหร่าตั้งอยู่ คนแถวนั้นบอกผมว่า เมื่อก่อน
พายุทรายจากทะเลทรายสะฮารา (Sahara) พัดเม็ดทรายมหาศาลกลบกลืนทุกสิ่งอย่าง
จนไม่มีใครรู้ว่าใต้ผืนทรายเหล่านี้มีสิ่งก่อสร้างหลับใหลอยู่ จนมีสุเหร่ามาก่อสร้างและได้
ขุดหลุมลึกลงไป แล้วบังเอิญเจอหินแกะสลักอยู่ด้านล่าง ช่างก็ช่วยกันขุดขึ้นมา ก่อนจะ
ค้นพบวิหารที่สาบสูญไปหลายพันปีอยู่เบื้องล่าง
พวกเรากลับมาพักผ่อนที่โรงแรมเอาแรง เพื่อเตรียมตัวไปชมมหาวิหารที่ว่ากันว่า
เป็นมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดในโลกในวันพรุ่งนี้
มหาวิหารคาร์นัค (Great Temple of Karnak) ถือว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใช้เวลา
ก่อสร้างยาวนาน โดยมีฟาโรห์ถึง 30 พระองค์ร่วมกันก่อสร้างเพื่อบูชาเทพเจ้า ตามความ
เชื่อในสมัยโบราณที่เชื่อว่าเทพเจ้าคือผู้ที่คอยคุ้มครองดินแดนอียิปต์
มหาวิหารเริ่มก่อสร้างในสมัยฟาโรห์พระองค์ใดไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่ได้รับการ
บูรณะและก่อสร้างเพิ่มเติมในช่วงราชวงศ์ที่ 18-20 และมีการบูรณะต่อเนื่องสมัยที่โรมัน
เข้าครอบครองอียิปต์ การต่อเติมวิหารคาร์นัคทํา ให้พื้นที่ของวิหารกว้างขวาง จนกลาย
เป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่รองจากพีระมิดแห่งกีซา (Great Pyramid of Giza)
วิหารคาร์นัคได้รับการขนานนามว่าเป็น Open Air Museum ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ภายในวิหารแบ่งออกเป็น 3 ส่วน แต่ละส่วนมีสิ่งก่อสร้างและพื้นที่ใหญ่โต ส่วนแรก
ซึ่งได้เปิดให้ผมได้เดินดูนั้น คือ วิหารอะมอนรา หรือ Amon-Re และอีก 2 ส่วนจะไม่เปิด
ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม
ตลอดสองข้างทางจะมีรูปปั้นสฟิงซ์หัวแกะ เมื่อเดินเข้าไปยังประตูตรงทางเข้า
วิหารอะมอนราจะผ่านกํา แพงเป็นชั้นๆ ที่ฟาโรห์แต่ละพระองค์สร้างเอาไว้อย่างอลังการ
เพราะแค่กํา แพงชั้นที่ 1 ก็มีความกว้างถึง 113 เมตร และหนากว่า 15 เมตร อีกด้านหนึ่ง
ของกํา แพงจะมีบันไดเพื่อขึ้นไปชมวิว
เมื่อพ้นกํา แพงชั้นที่ 1 จะพบภาพแกะสลักของเทวีมัต เทพเจ้าอะมอนรา และ
เทพคอนซู ซึ่งเป็นวิหารหลังเล็ก เชื่อกันว่าเทพและเทวีทั้ง 3 องค์เป็นพ่อแม่ลูกกัน ฟาโรห์
ชื่อเซติที่ 2 เป็นผู้สร้างถวาย ตรงเข้าไปจะพบส่วนสํา คัญของวิหารอะมอนราคือ Hypostyle
Hall ห้องโถงที่มีเสาหินขนาดใหญ่ถึง 134 ต้น เสาแต่ละต้นสร้างมาจากหินเพียงก้อนเดียว
ที่พื้นผิวเสาจะสลักอักษรภาพที่แสดงถึงวิถีชีวิต และกิจกรรมของฟาโรห์ที่เกี่ยวข้องกับ
เรื่องศาสนาและสงคราม เสาบางต้นตรงหัวเสามีรูปดอกปาปิรัสประดับเอาไว้ ความยิ่งใหญ่
ของเสาหินที่หนักเป็นพันตันนั้น มันสุดเหนือการจินตนาการผม ผมไม่สงสัยว่าเขาสร้างกัน
อย่างไร แต่อยากรู้ว่าเขานํามันมาอยู่จุดนี้ได้อย่างไรมากกว่า
ผมเข้าไปอ่านเรื่องราวของเสาเหล่านี้ ปรากฏว่าหินที่ทํา เสานั้น มาจากทางตอนใต้
ของอียิปต์ โดยแกะเอาแท่งหินออกจากภูเขาหินได้ต้องใช้ไม้แท่งเจาะเข้าไปจากนั้นก็เทน้ํา
เข้าไป เมื่อไม้แห้งโดนน้ํา ไม้ก็จะบวมจนทํา ให้หินแตกออกมาจากภูเขาหิน เมื่อนั้นก็
ขนแท่งหินผ่านแม่น้ํา ไนล์ เมื่อถึงที่หมายก็เอาทรายก่อสูงๆ ใช้คนลากขนไป แล้วขุด
ทรายออกให้หินตั้งตรง โดยต้องคํา นวนกันอย่างดีว่ามันจะตั้งตรงจุดไหม มันจะหักไหม
เพราะถ้าหินหักก็ต้องทิ้งทันที ความพยายามที่ทํามา ก็ถือว่าจบกัน
เสากว่า 100 กว่าต้นนั้นผมว่ามันต้องมีความผิดพลาดบ้างล่ะ จมน้ํา บ้างล่ะ
หักบ้าง กว่าจะครบร้อยต้นนั้น มันสุดแสนจะเกินความพยายาม
แต่มนุษย์ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เมื่อความพยายามผสมรวมกับการร่วมแรงร่วมใจ
อะไรก็เป็นไปได้
พวกเราใช้เวลาเดินกว่า 8 ชั่วโมงในมหาวิหารที่ไร้ที่หลบแดด ร่างกายผมล้ามาก
แต่ก็ยังไม่อยากหยุดเดินดูสิ่งที่สร้างจากความเชื่อและศรัทธาในเทพเจ้า
วันนี้ผมหลับไปโดยไม่ได้ทานอาหารเย็นเลย คงเพราะเพลียแดดและเดินเยอะ
เกินกํา ลัง
วันใหม่ในเวลาตี 4 ผมต้องตื่นขึ้นมาเพราะวันนี้มีกิจกรรมนั่งบอลลูนชมเมืองลักซอร์
ผมผู้ที่อดีตขี้กลัวความสูงมากๆ กํา ลังจะได้ขึ้นบอลลูนร้อนครั้งแรกในชีวิต
แต่ทํา ไมครั้งนี้ผมไม่รู้สึกกลัวเลย คงเป็นเพราะความสนุกจากการผจญภัย ที่ทํา ให้
ผมเปลี่ยนจากคนที่กลัวแทบทุกอย่าง เป็นคนที่สนุกกับทุกช่วงเวลาใหม่ของชีวิตกับ
โลกใหม่ๆ ได้อย่างไม่รู้ตัว
บอลลูนลอยขึ้นสูงเรื่อยๆ สิ่งหนึ่งที่ผมมองเห็นเต็มสายตา คือแม่น้ํา ไนล์ที่ไหล
ทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ถูกโอบล้อมสองข้างลํา น้ํา ด้วยต้นไม้เรียงราย ทว่าห่างจาก
แม่น้ํา ไนล์ไปประมาณ 300 เมตร ภูมิประเทศกลับกลายเป็นทะเลทรายทอดยาวอย่างไม่รู้จบ
นี่เองที่เขาเรียกกันว่า อารยธรรมลุ่มแม่น้ํา ไนล์
สิ่งมีชีวิตล้วนอาศัยอยู่ข้างแม่น้ํา ไนล์ เพราะห่างออกไปคือแห้งแล้งจับใจ
ผมอยู่บนบอลลูนที่ลอยดิ่งในแนวสูงอย่างเดียว ไม่เคลื่อนที่ซ้ายขวาไปไหน ห่างจาก
จุดขึ้นก็แค่ 200 เมตร ผมมองบอลลูนลูกอื่นปลิวไกลออกไป แล้วก็นึกในใจว่า หรือกัปตัน
เราจะไม่เก่งพอ
แม้อยู่ในบอลลูนที่ไม่ปลิวไกลเหมือนของคนอื่นเขา แต่ผมปล่อยใจปลิวไปที่
แสงพระอาทิตย์ขึ้นที่ตัดกับขอบทะเลทราย ได้เห็นอาทิตย์ขึ้นจากทะเลทราย มันสวยจน
แทบจะหยุดหายใจได้เหมือนกันนะ
หลังจากเปิดประสบการณ์นั่งบอลลูนครั้งแรกในชีวิต พวกเราก็เก็บของเตรียมตัว
เพื่อไปนั่งเรือสํา ราญลงใต้สุดของอียิปต์ โดยจะแล่นเรือผ่านลุ่มแม่น้ํา ไนล์เป็นเวลาทั้งหมด
5 วัน มีแวะจอดชมเมืองระหว่างทาง ก่อนจะไปถึงจุดหมายปลายทาง คือมหาวิหาร
อะบูซิมเบล (Abu Simbel)