สวัสดีค่ะ พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกท่าน ...ดิฉันเป็นหนึ่งในผู้ที่เผชิญกับโรคซึมเศร้ามาร่วม 10 ปี ...ดิฉันได้เขียนรวบรวมประสบการณ์ลงใน Facebook ส่วนตัวของดิฉันเป็นตอนๆ ...วันนี้มีโอกาสจึงขออนุญาตใข้พื้นที่ Pantip ในการรวบรวมแต่ละตอน เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ทุกท่านนะคะ ...เพราะดิฉันอยากให้ทุกท่านเข้าใจโรคนี้ค่ะ
บทความที่ดิฉันได้บันทึกไว้จะแบ่งเป็น 5 ตอนนะคะ ...โดยในกระทู้นี้จะขอเสนอตอนที่ 1-3 ...หวังเป็นอย่างยิ่งว่ากระทู้นี้พอจะเป็นประโยชน์บ้างกับหลายๆท่านนะคะ ...และหากทุกท่านโอเคกับตอนที่ 1-3 ดิฉันจะนำตอนที่ 4-5 มาให้ได้อ่านกันค่ะ
————————————————————
ตอนที่ 1 : เพราะซึมเศร้าเล่าได้ และต้องเล่าค่ะ
”คนเป็นโรคซึมเศร้าต้องกินยาอะไรบ้าง”
...แน่นอนค่ะ เพราะชีวิตทุกคนตัองผ่านทุกข์ สุข มาอย่างสม่ำเสมอ บางความทุกข์ก็อยู่กับเราไม่นาน แต่บางความทุกข์ก็มืดมนซะเหลือเกิน มืดมนจนสมองก็พลอยทำงานผิดพลาดไปด้วย ยังมีเรื่องพันธุกรรมด้านโครงสร้างสมองอีกอย่างนะคะที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ามีผลทำให้สมองมีภูมิต้านทานความทุกข์ที่ต่างกันไป...
...มาทำความรู้จักสารสื่อประสาท (สารที่วิ่งไปมาระหว่างเซลล์ประสาทแต่ละเซลล์ ทำให้เซลล์สมองติดต่อกันได้) สองตัวที่สำคัญสำหรับสมองกันก่อนนะคะ ...จริงๆมีมากกว่านี้ แต่อาการของเรายังไม่ถึงขั้นนั้นค่ะ ...สารสื่อประสาทที่ว่าคือ
1) Serotonin เป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่งที่ทำให้อารมณ์เรามีความสุข รู้สึกยิ้มได้ รู้สึกไม่กังวล ช่วยทำให้อยากอาหาร ช่วยให้เรามีวงจรการตื่น-นอน ที่ปกติ
2) Norepinephrine เป็นสารสื่อประสาทอีกขนิด ที่ช่วยให้ให้เรามีพลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆ ช่วยเรื่องความจำ การโฟกัสสิ่งต่างๆ และความนิ่งของอารมณ์
...เมื่อเรามีความเครียด ความทุกข์มากๆ สะสมเข้าทุกวันๆ สมองจะหลังสิ่งที่เรียกว่า Cortisol ออกมา ตัวนี้แหละค่ะตัวดีที่จะไปทำให้ Serotonin และ Norepinephrine ลดลง นอกจากนั้นยังไปทำให้ฮิปโปแคมปัสซึ่งเป็นสมองควบคุมการทำงานของระบบ Serotonin ฝ่อลงไปอีกด้วย (ฉะนั้นอย่าเครียดนาน อย่าทุกข์สะสมนะคะ เพื่อลดระดับ Cortisol)
...ณ จุดๆหนึ่ง สารสื่อประสาทอันเป็นพระเอกของเราจะไม่เพียงพอค่ะ เหมือนแม่กุญแจที่น้ำมันหล่อลื่นหมด ...อาการซึมเศร้า ( Depression) และอาการวิตกกังวล (Anxiety) จะเริ่มแสดงอาการ ‘เหนือ’ คนปกติทั้วไป...
...คุณจะยิ้มยากมาก คุณจะรู้สึกมีความสุขไม่ได้ คุณจะเศร้าโดยไร้สาเหตุ คุณจะอยากร้องไห้อยู่ตลอดเวลา คุณจะสูญเสียระบบการนอนไป คุณจะทานอาหารผิดปกติ คุณจะกังวลเรื่องเล็กๆแบบใหญ่โต คุณจะมีโลกสีเทา และคุณจะนอนนิ่งไปทั้งวันเพราะไม่มีแรงบรรดาลใจอะไรเลย คุณจะโฟกัสกับอะไรไม่ได้เลย...
แล้วเราจะทำอย่างไรหละ??
...หาหมอสิคะ อย่ารอนะ บางตำราให้รอ 2 สัปดาห์ แต่จากประสบการณ์คือ อย่ารอเลยค่ะ มีแต่จะยิ่งทรมานกายและใจ ...คุณหมอจะจ่ายยา ทำจิตบำบัด เพื่อให้อาการคุณดีขึ้น โดยยาหลักๆที่จะจ่ายมีดังนี้ค่ะ
1) SNRI - Serotonin Norepinephrine Reuptake Inhibitors 💊 ยาขนิดนี้ถ้าอธิบายง่ายๆคือมันจะไปอุดช่องเซลล์ประสาทให้มีน้อยลง ทำให้สาร Serotonin และ Norepinephrine สะสมอยู่ระหว่างเซลล์ประสาทมากขึ้น ...ทีนี้สมองเราก็จะเหมือนมีน้ำมันหล่อลื่นระหว่างเซลล์ประสาทเพิ่มขึ้นโดยปริยาย
2) SSRI - Selective Serotonin Reuptake Inhibitor 💊 ยาขนิดนี้ทำงานเมื่อยาด้านบนเลยค่ะ แต่จะออกฤทธิ์กับ Serotonin อย่างเดียว ...หากอาการหนักมากหมอถึงจะจ่ายตัวที่ 1 ร่วมกับ 2 นะคะ
3) ยาเสริมอื่นๆ เข่น Aripiprazole 💊 ยาตัวนี้ถ้าอาการไม่โคม่ามากๆคุณหมอจะไม่จ่ายนะคะ เป็นยาที่เสริมพลังการออกฤทธิ์ของยาตัวที่ 1 และ 2 อีกที ...รอกจากนี้ยังใช้ในผู้ป่วยที่เป็นไบโพล่าอีกด้วย
แน่นอนค่ะ ยาทุกอย่างมีผลข้างเคียง ...ยารักษาซึมเศร้า จะทำให้คุณซึมเศร้าขึ้นค่ะ จริงๆนะคะ ในระยะ 4-6 สัปดาห์แรก คุณต้องระวังความคิดคุณเป็นพิเศษ สำหรับสาเหตุถ้ามีเวลาจะมาเขียนอธิบายเพิ่มเติมนะคะ นอกจากนี้ยังพบอาการ ถ่ายเหลว ท้องผูก ปากแห้ง ตาแห้ง หนาวสั่น อาเจียน ปวดตัว อาการคล้ายไข้ ได้ค่ะ โดยผลจ้างเคียงจะค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ
...สุดท้ายนี้อยากให้ทุกคนเข้าใจโรคนี้มากขึ้นนะคะ อย่ามองว่าคนเป็นโรคนี้คือคนอ่อนแอค่ะ แค่คืออาการของโรค บอกตรงๆว่าเหมือนตกนรกทั้งเป็น
ถึงสุดท้ายแล้วจะรักษาหาย แต่ก็ต้องดูแลจิตใจตัวเองให้ดีนะค เป็นแล้วก็เป็นอีกได้ และมีโอกาสต้องทานยาตลอดชีวิตค่ะ
———————————————————
ตอนที่ 2 : จิตบำบัด
...กระบวนการหนึ่งในการรักษาโรคซึมเศร้า คือกระบวนการทำจิตบำบัดค่ะ เป็นการรักษาที่ควบคู่กันไปในขณะที่ยากำลังทำงาน สิ่งนี้จะช่วยให้เราหายจากโรคในระยะยาว มากกว่าการใช้ยาอย่างเดียวค่ะ
จิตบำบัดคืออะไร? จริงๆแล้วมีคำนิยามที่หลายหลายในอินเตอร์เน็ตนะคะ ...แต่จากประสบการณ์ของดิฉันขอให้คำนิยามว่า ‘จิตบำบัด’ คือ กระบวนการค้นพบจิตใจ เพื่อคลายปมนั้น และปรับแนวทางกระบวนการของคิดของผู้ป่วย เพื่อป้องกันการเกิดขึ้นของปมนั้นใหม่ค่ะ ผลลัพธ์สุดท้ายผู้ป่วยจะได้ Framework ทางความคิดใหม่ เพื่อไว้ใช้ปกป้องดูแลตนเองค่ะ
นักจิตวิทยาจะเริ่มจากการให้เราเล่าทุกอย่างในชีวิต อย่างละเอียดมากๆเลยนะคะ ตั้งแต่เกิด การเติบโต การเลี้ยงดู สภาพแวดล้อมทางบ้าน สภาพแวดล้อมที่เรียน อาชีพ รสนิยม ปมปัญหาต่างๆที่เป็นบาดแผลทางจิตใจ (Trauma) จะค่อยๆถูกนักจิตวิทยาวิเคราะห์และค้นพบที่ขั้นตอนนี้ค่ะ ...มันอาจจะมีหลายๆปมที่เกี่ยวข้องกันอยู่
การคลายปมเหล่านั้น มีหลายหลายเทคนิคที่นักจิตวิทยาจะเลือกใช้ ดิฉันไม่ทราบทั้งหมดนะคะ แต่ที่มีประสบการณ์มา คือ การเขียนจดหมายคุยหรือขอโทษกับตนเองในอดีต การฝึกการหายใจ การฝึกสะกดจิตตนเอง การทำพฤติกรรมบำบัด (Cognitive Behavior Therapy: CBT) ซึ่งโดยย่อคือการให้เราหาเหตุผล มาสนับสนุนแนวคิดผิดๆต่างๆของเรา และสุดท้ายเราจะพบว่า ความคิดเหล่านั้นเราล้วนสร้างขึ้นมาจากความวิตกหรือปมบางอย่างในจิตใจค่ะ
...นอกจากนี้ยังมีกระบวนการทำศิลปะบำบัด (หากใครสังเกตช่วงหลังๆดิฉันจะชอบวาดรูปลง social บ่อยๆ) ซึ่งนอกจากเป็นการช่วยผ่อนคลายทางจิตใจอันมีผลต่อสารเคมีในสมองแล้ว ศิลปะยังทำให้เราได้ระบายปมทางจิตใจออกมา หยุดและระบายความคิดที่ฟุ้งซ่าน ด้วยค่ะ ซึ่งช่วยได้มากเลยทีเดียว
ยังมีอีกหลายๆเทคนิคนะคะ ถ้ามีโอกาสจะมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้งค่ะ ...อ๋อการทำจิตบำบัดจะทำเป็น session นะคะ อาจจะ 1-2 ช.ม. ขึ้นอยู่กับคุณหมอ และเคสที่ต่างกันไปด้วยค่ะ
สุดท้ายนี้ใครสนใจอยากได้ชื่อนักทำจิตบำบัดเก่งๆระดับมือ1 ของไทย ติดต่อมาหลังไมค์ได้นะคะ ...ยินดีให้คำปรึกษาอย่างยิ่งค่ะ
ดูแลจิตใจตัวเองด้วยค่ะ ^^
———————————————————
ตอนที่ 3 : เมื่อฉันเป็นคนไข้เรื้อรัง
จากที่หลายๆท่านได้ทราบกันไปแล้วว่าดิฉันเป็นโรคซึมเศร้า ...แต่สิ่งที่ไม่เคยบอกเล่าต่อมาคือ ดิฉันเป็นแบบเรื้อรัง (3 ครั้งขึ้นไป) ...ซึ่งทางการแพทย์ต้องทานยาตลอดชีวิต ...ใช่ค่ะมันไม่ใช่เรื่องสนุกเลย ครั้งแรกที่ดิฉันได้ทราบถึงกับร้องไห้โฮต่อหน้าคุณหมอแบบไม่อายฟ้าอายดิน...
...ดิฉันมีอาการ 4 ครั้งในระยะเวลา 8 ปีค่ะ ครั้งแรกตอนปีสี่ ครั้งที่สองตอนอกหักรักแรก ครั้งที่สาม และสี่ไม่มีสาเหตุค่ะ ซึ่งคุณหมอบอกว่ามันคือสัญญาณของอาการเรื้อรัง
...ดิฉันต้องหาหมอ หาหมอ แล้วก็หาหมอ มาตลอดระยะเวลานี้ กินยา ลดยา เพิ่มยา ปรับยา มาตลอด ...ใช่ค่ะครั้งที่สอง สาม สี่ ดิฉันคิด และทำร้ายตัวเองหลายครั้ง เพราะท้อแท้ น้อยใจในตนเองค่ะ
...สุดท้ายก็ได้ครอบครัว ญาติๆ เพื่อนรัก คอยให้กำลังใจ จนอาการครั้งที่สี่ค่อยๆดีขึ้น และมีกำลังใจสู้ พร้อมปรับตัว ปรับใจอยู่กับยาไปตลอดชีวิตค่ะ (คุณหมออนุญาตให้ลดยาได้ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย)
...การที่ต้องดูแลตัวเองควบคู่ไปกับการหาคุณหมอในระยะยาวขนาดนี้ วันนี้ดิฉันจึงอยากจะมาแนะเทคนิคที่ดิฉันใช้นอกจากการทานยา จิตบำบัด เพื่อเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆผู้อ่านด้วยกันนะคะ
1. ยอมรับความจริงค่ะ อย่าปิดบังจากตัวเอง จากผู้อื่น เปิดมันไปเลยค่ะ ยอมรับว่าเราป่วย และซึมเศร้าคือเพื่อนสนิทแท้ๆนี่เอง
2. ศึกษาธรรมะค่ะ ทั้งนี้จุดประสงค์มีสามอย่างนะคะ คือ ให้เราเข้าใจความเป็นธรรมดาของชีวิต ให้เรารู้จักให้อภัยตนเองและผู้อื่นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นค่ะ และให้เรารู้เท่าทันอารมณ์ซึ่งสำคัญมาก เพราะพอเพื่อนแท้ด้านบนเราเริ่มมาจะได้ดักไว้ได้ทันค่ะ
3. ยิ้มให้ตัวเองทุกวันในกระจก และพูดว่า ‘ฉันผ่านมันมาได้ ฉันเก่งแค่ไหน’ ตรงนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าให้กำลังใจตนเองได้ดีเลยทีเดียวนะคะ
4. ทำงานเพื่อสังคม ช่วยเหลือคนอื่น เพื่อให้เราเกิดความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง ตรงนี้จะช่วยลดอาการน้อยใจชีวิต และทำร้ายตนเองได้นะคะ
5. ทำสิ่งที่ชอบ ทุกครั้งที่ว่าง ถ้าคุณชอบศิลปะ ดูหนัง ทำอาหาร หรือแม้แต่ชอบทำงานโอที ทำไปเลยค่ะ อะไรที่ทำแล้วผ่อนคลาย เห็นคุณค่าในตัวเอง ไม่เดือดร้อนผู้อื่น ทำไปเลยนะคะ เมื่อมีโอกาส
6. ออกกำลังกาย อันนี้อาจจะเริ่มยาก แต่เป็นยาขนานดีเลยนะคะ ช่วยทั้งเรื่องเคมีในสมอง และการนอนหลับ
7. ออกสังคมบ่อยๆค่ะ แต่ต้องอยู่ในกรอบของเวลา เงิน ที่เหมาะสมนะคะ การเก็บตัวอยู่คนเดียว เพิ่มความเสี่ยงที่เพื่อนสนิทด้านบนจะมาเยือนได้มากเลยค่ะ
8. ห้ามนั่งสมาธิค่ะ คุณหมอไม่แนะนำ แปลกแต่จริงค่ะ คุณหมอบอกว่ามันเป็นการอยู่กับตัวเองเกินไป
9. หาเพื่อนรู้ใจมาเลี้ยงค่ะ หมายถึงเพื่อนสี่ขานะคะ เพื่อนจะทำให้คุณเพลิดเพลิน รู้จักคุณค่าของชีวิต และมีที่ระบายค่ะ แม้เพื่อนจะพูดไม่ได้ก็ตาม
10. เขียนค่ะ การเขียนเป็นการ express อารมณ์ ความรู้สึกออกมาเป็นรูปธรรมได้ดีมาก ในเชิงจิตวิทยาแล้วการเขียนเหมือนเป็นการปลดปล่อยนะคะ จะเขียนเป็นแบบส่วนตัว หรือเขียนให้เพื่อนๆช่วนอ่าน ก็ทำได้ค่ะ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมนะคะ
...ทั้งหมดนี้คือสิบข้อที่ดิฉันทำเป็นประจำค่ะ ใครที่มีซึมเศร้าเป็นเพื่อนอยู่ ดิฉันแนะนำให้ทำความรู้จักกับเพื่อนคนนี้ให้ดีนะคะ อย่าพยายาม reject แล้วพบคุณหมอ ทานยา ทำ 10 ข้อนี้ หรือ อาจมีวิธีอื่นๆที่ค้นพบ ก็มาแนะนำกันได้นะคะ
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆคนค่ะ รักตัวเองให้มากๆนะคะ ...ไว้โอกาสหน้าจะมาเล่ารายละเอียดอื่นๆให้ได้อ่านกันอีกนะคะ
————————————————————
...จบแล้วค่ะ ทั้ง 3 ตอน หากมีโอกาสดิฉันจะนำตอนที่ 4-5 มาโพสให้ได้อ่านกันนะคะ
ขอบคุณค่ะ
ประสบการณ์โรคซึมเศร้าของดิฉัน สิ่งที่อยากแบ่งปันกับทุกคนค่ะ
บทความที่ดิฉันได้บันทึกไว้จะแบ่งเป็น 5 ตอนนะคะ ...โดยในกระทู้นี้จะขอเสนอตอนที่ 1-3 ...หวังเป็นอย่างยิ่งว่ากระทู้นี้พอจะเป็นประโยชน์บ้างกับหลายๆท่านนะคะ ...และหากทุกท่านโอเคกับตอนที่ 1-3 ดิฉันจะนำตอนที่ 4-5 มาให้ได้อ่านกันค่ะ
————————————————————
ตอนที่ 1 : เพราะซึมเศร้าเล่าได้ และต้องเล่าค่ะ
”คนเป็นโรคซึมเศร้าต้องกินยาอะไรบ้าง”
...แน่นอนค่ะ เพราะชีวิตทุกคนตัองผ่านทุกข์ สุข มาอย่างสม่ำเสมอ บางความทุกข์ก็อยู่กับเราไม่นาน แต่บางความทุกข์ก็มืดมนซะเหลือเกิน มืดมนจนสมองก็พลอยทำงานผิดพลาดไปด้วย ยังมีเรื่องพันธุกรรมด้านโครงสร้างสมองอีกอย่างนะคะที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ามีผลทำให้สมองมีภูมิต้านทานความทุกข์ที่ต่างกันไป...
...มาทำความรู้จักสารสื่อประสาท (สารที่วิ่งไปมาระหว่างเซลล์ประสาทแต่ละเซลล์ ทำให้เซลล์สมองติดต่อกันได้) สองตัวที่สำคัญสำหรับสมองกันก่อนนะคะ ...จริงๆมีมากกว่านี้ แต่อาการของเรายังไม่ถึงขั้นนั้นค่ะ ...สารสื่อประสาทที่ว่าคือ
1) Serotonin เป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่งที่ทำให้อารมณ์เรามีความสุข รู้สึกยิ้มได้ รู้สึกไม่กังวล ช่วยทำให้อยากอาหาร ช่วยให้เรามีวงจรการตื่น-นอน ที่ปกติ
2) Norepinephrine เป็นสารสื่อประสาทอีกขนิด ที่ช่วยให้ให้เรามีพลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆ ช่วยเรื่องความจำ การโฟกัสสิ่งต่างๆ และความนิ่งของอารมณ์
...เมื่อเรามีความเครียด ความทุกข์มากๆ สะสมเข้าทุกวันๆ สมองจะหลังสิ่งที่เรียกว่า Cortisol ออกมา ตัวนี้แหละค่ะตัวดีที่จะไปทำให้ Serotonin และ Norepinephrine ลดลง นอกจากนั้นยังไปทำให้ฮิปโปแคมปัสซึ่งเป็นสมองควบคุมการทำงานของระบบ Serotonin ฝ่อลงไปอีกด้วย (ฉะนั้นอย่าเครียดนาน อย่าทุกข์สะสมนะคะ เพื่อลดระดับ Cortisol)
...ณ จุดๆหนึ่ง สารสื่อประสาทอันเป็นพระเอกของเราจะไม่เพียงพอค่ะ เหมือนแม่กุญแจที่น้ำมันหล่อลื่นหมด ...อาการซึมเศร้า ( Depression) และอาการวิตกกังวล (Anxiety) จะเริ่มแสดงอาการ ‘เหนือ’ คนปกติทั้วไป...
...คุณจะยิ้มยากมาก คุณจะรู้สึกมีความสุขไม่ได้ คุณจะเศร้าโดยไร้สาเหตุ คุณจะอยากร้องไห้อยู่ตลอดเวลา คุณจะสูญเสียระบบการนอนไป คุณจะทานอาหารผิดปกติ คุณจะกังวลเรื่องเล็กๆแบบใหญ่โต คุณจะมีโลกสีเทา และคุณจะนอนนิ่งไปทั้งวันเพราะไม่มีแรงบรรดาลใจอะไรเลย คุณจะโฟกัสกับอะไรไม่ได้เลย...
แล้วเราจะทำอย่างไรหละ??
...หาหมอสิคะ อย่ารอนะ บางตำราให้รอ 2 สัปดาห์ แต่จากประสบการณ์คือ อย่ารอเลยค่ะ มีแต่จะยิ่งทรมานกายและใจ ...คุณหมอจะจ่ายยา ทำจิตบำบัด เพื่อให้อาการคุณดีขึ้น โดยยาหลักๆที่จะจ่ายมีดังนี้ค่ะ
1) SNRI - Serotonin Norepinephrine Reuptake Inhibitors 💊 ยาขนิดนี้ถ้าอธิบายง่ายๆคือมันจะไปอุดช่องเซลล์ประสาทให้มีน้อยลง ทำให้สาร Serotonin และ Norepinephrine สะสมอยู่ระหว่างเซลล์ประสาทมากขึ้น ...ทีนี้สมองเราก็จะเหมือนมีน้ำมันหล่อลื่นระหว่างเซลล์ประสาทเพิ่มขึ้นโดยปริยาย
2) SSRI - Selective Serotonin Reuptake Inhibitor 💊 ยาขนิดนี้ทำงานเมื่อยาด้านบนเลยค่ะ แต่จะออกฤทธิ์กับ Serotonin อย่างเดียว ...หากอาการหนักมากหมอถึงจะจ่ายตัวที่ 1 ร่วมกับ 2 นะคะ
3) ยาเสริมอื่นๆ เข่น Aripiprazole 💊 ยาตัวนี้ถ้าอาการไม่โคม่ามากๆคุณหมอจะไม่จ่ายนะคะ เป็นยาที่เสริมพลังการออกฤทธิ์ของยาตัวที่ 1 และ 2 อีกที ...รอกจากนี้ยังใช้ในผู้ป่วยที่เป็นไบโพล่าอีกด้วย
แน่นอนค่ะ ยาทุกอย่างมีผลข้างเคียง ...ยารักษาซึมเศร้า จะทำให้คุณซึมเศร้าขึ้นค่ะ จริงๆนะคะ ในระยะ 4-6 สัปดาห์แรก คุณต้องระวังความคิดคุณเป็นพิเศษ สำหรับสาเหตุถ้ามีเวลาจะมาเขียนอธิบายเพิ่มเติมนะคะ นอกจากนี้ยังพบอาการ ถ่ายเหลว ท้องผูก ปากแห้ง ตาแห้ง หนาวสั่น อาเจียน ปวดตัว อาการคล้ายไข้ ได้ค่ะ โดยผลจ้างเคียงจะค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ
...สุดท้ายนี้อยากให้ทุกคนเข้าใจโรคนี้มากขึ้นนะคะ อย่ามองว่าคนเป็นโรคนี้คือคนอ่อนแอค่ะ แค่คืออาการของโรค บอกตรงๆว่าเหมือนตกนรกทั้งเป็น
ถึงสุดท้ายแล้วจะรักษาหาย แต่ก็ต้องดูแลจิตใจตัวเองให้ดีนะค เป็นแล้วก็เป็นอีกได้ และมีโอกาสต้องทานยาตลอดชีวิตค่ะ
———————————————————
ตอนที่ 2 : จิตบำบัด
...กระบวนการหนึ่งในการรักษาโรคซึมเศร้า คือกระบวนการทำจิตบำบัดค่ะ เป็นการรักษาที่ควบคู่กันไปในขณะที่ยากำลังทำงาน สิ่งนี้จะช่วยให้เราหายจากโรคในระยะยาว มากกว่าการใช้ยาอย่างเดียวค่ะ
จิตบำบัดคืออะไร? จริงๆแล้วมีคำนิยามที่หลายหลายในอินเตอร์เน็ตนะคะ ...แต่จากประสบการณ์ของดิฉันขอให้คำนิยามว่า ‘จิตบำบัด’ คือ กระบวนการค้นพบจิตใจ เพื่อคลายปมนั้น และปรับแนวทางกระบวนการของคิดของผู้ป่วย เพื่อป้องกันการเกิดขึ้นของปมนั้นใหม่ค่ะ ผลลัพธ์สุดท้ายผู้ป่วยจะได้ Framework ทางความคิดใหม่ เพื่อไว้ใช้ปกป้องดูแลตนเองค่ะ
นักจิตวิทยาจะเริ่มจากการให้เราเล่าทุกอย่างในชีวิต อย่างละเอียดมากๆเลยนะคะ ตั้งแต่เกิด การเติบโต การเลี้ยงดู สภาพแวดล้อมทางบ้าน สภาพแวดล้อมที่เรียน อาชีพ รสนิยม ปมปัญหาต่างๆที่เป็นบาดแผลทางจิตใจ (Trauma) จะค่อยๆถูกนักจิตวิทยาวิเคราะห์และค้นพบที่ขั้นตอนนี้ค่ะ ...มันอาจจะมีหลายๆปมที่เกี่ยวข้องกันอยู่
การคลายปมเหล่านั้น มีหลายหลายเทคนิคที่นักจิตวิทยาจะเลือกใช้ ดิฉันไม่ทราบทั้งหมดนะคะ แต่ที่มีประสบการณ์มา คือ การเขียนจดหมายคุยหรือขอโทษกับตนเองในอดีต การฝึกการหายใจ การฝึกสะกดจิตตนเอง การทำพฤติกรรมบำบัด (Cognitive Behavior Therapy: CBT) ซึ่งโดยย่อคือการให้เราหาเหตุผล มาสนับสนุนแนวคิดผิดๆต่างๆของเรา และสุดท้ายเราจะพบว่า ความคิดเหล่านั้นเราล้วนสร้างขึ้นมาจากความวิตกหรือปมบางอย่างในจิตใจค่ะ
...นอกจากนี้ยังมีกระบวนการทำศิลปะบำบัด (หากใครสังเกตช่วงหลังๆดิฉันจะชอบวาดรูปลง social บ่อยๆ) ซึ่งนอกจากเป็นการช่วยผ่อนคลายทางจิตใจอันมีผลต่อสารเคมีในสมองแล้ว ศิลปะยังทำให้เราได้ระบายปมทางจิตใจออกมา หยุดและระบายความคิดที่ฟุ้งซ่าน ด้วยค่ะ ซึ่งช่วยได้มากเลยทีเดียว
ยังมีอีกหลายๆเทคนิคนะคะ ถ้ามีโอกาสจะมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้งค่ะ ...อ๋อการทำจิตบำบัดจะทำเป็น session นะคะ อาจจะ 1-2 ช.ม. ขึ้นอยู่กับคุณหมอ และเคสที่ต่างกันไปด้วยค่ะ
สุดท้ายนี้ใครสนใจอยากได้ชื่อนักทำจิตบำบัดเก่งๆระดับมือ1 ของไทย ติดต่อมาหลังไมค์ได้นะคะ ...ยินดีให้คำปรึกษาอย่างยิ่งค่ะ
ดูแลจิตใจตัวเองด้วยค่ะ ^^
———————————————————
ตอนที่ 3 : เมื่อฉันเป็นคนไข้เรื้อรัง
จากที่หลายๆท่านได้ทราบกันไปแล้วว่าดิฉันเป็นโรคซึมเศร้า ...แต่สิ่งที่ไม่เคยบอกเล่าต่อมาคือ ดิฉันเป็นแบบเรื้อรัง (3 ครั้งขึ้นไป) ...ซึ่งทางการแพทย์ต้องทานยาตลอดชีวิต ...ใช่ค่ะมันไม่ใช่เรื่องสนุกเลย ครั้งแรกที่ดิฉันได้ทราบถึงกับร้องไห้โฮต่อหน้าคุณหมอแบบไม่อายฟ้าอายดิน...
...ดิฉันมีอาการ 4 ครั้งในระยะเวลา 8 ปีค่ะ ครั้งแรกตอนปีสี่ ครั้งที่สองตอนอกหักรักแรก ครั้งที่สาม และสี่ไม่มีสาเหตุค่ะ ซึ่งคุณหมอบอกว่ามันคือสัญญาณของอาการเรื้อรัง
...ดิฉันต้องหาหมอ หาหมอ แล้วก็หาหมอ มาตลอดระยะเวลานี้ กินยา ลดยา เพิ่มยา ปรับยา มาตลอด ...ใช่ค่ะครั้งที่สอง สาม สี่ ดิฉันคิด และทำร้ายตัวเองหลายครั้ง เพราะท้อแท้ น้อยใจในตนเองค่ะ
...สุดท้ายก็ได้ครอบครัว ญาติๆ เพื่อนรัก คอยให้กำลังใจ จนอาการครั้งที่สี่ค่อยๆดีขึ้น และมีกำลังใจสู้ พร้อมปรับตัว ปรับใจอยู่กับยาไปตลอดชีวิตค่ะ (คุณหมออนุญาตให้ลดยาได้ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย)
...การที่ต้องดูแลตัวเองควบคู่ไปกับการหาคุณหมอในระยะยาวขนาดนี้ วันนี้ดิฉันจึงอยากจะมาแนะเทคนิคที่ดิฉันใช้นอกจากการทานยา จิตบำบัด เพื่อเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆผู้อ่านด้วยกันนะคะ
1. ยอมรับความจริงค่ะ อย่าปิดบังจากตัวเอง จากผู้อื่น เปิดมันไปเลยค่ะ ยอมรับว่าเราป่วย และซึมเศร้าคือเพื่อนสนิทแท้ๆนี่เอง
2. ศึกษาธรรมะค่ะ ทั้งนี้จุดประสงค์มีสามอย่างนะคะ คือ ให้เราเข้าใจความเป็นธรรมดาของชีวิต ให้เรารู้จักให้อภัยตนเองและผู้อื่นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นค่ะ และให้เรารู้เท่าทันอารมณ์ซึ่งสำคัญมาก เพราะพอเพื่อนแท้ด้านบนเราเริ่มมาจะได้ดักไว้ได้ทันค่ะ
3. ยิ้มให้ตัวเองทุกวันในกระจก และพูดว่า ‘ฉันผ่านมันมาได้ ฉันเก่งแค่ไหน’ ตรงนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าให้กำลังใจตนเองได้ดีเลยทีเดียวนะคะ
4. ทำงานเพื่อสังคม ช่วยเหลือคนอื่น เพื่อให้เราเกิดความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง ตรงนี้จะช่วยลดอาการน้อยใจชีวิต และทำร้ายตนเองได้นะคะ
5. ทำสิ่งที่ชอบ ทุกครั้งที่ว่าง ถ้าคุณชอบศิลปะ ดูหนัง ทำอาหาร หรือแม้แต่ชอบทำงานโอที ทำไปเลยค่ะ อะไรที่ทำแล้วผ่อนคลาย เห็นคุณค่าในตัวเอง ไม่เดือดร้อนผู้อื่น ทำไปเลยนะคะ เมื่อมีโอกาส
6. ออกกำลังกาย อันนี้อาจจะเริ่มยาก แต่เป็นยาขนานดีเลยนะคะ ช่วยทั้งเรื่องเคมีในสมอง และการนอนหลับ
7. ออกสังคมบ่อยๆค่ะ แต่ต้องอยู่ในกรอบของเวลา เงิน ที่เหมาะสมนะคะ การเก็บตัวอยู่คนเดียว เพิ่มความเสี่ยงที่เพื่อนสนิทด้านบนจะมาเยือนได้มากเลยค่ะ
8. ห้ามนั่งสมาธิค่ะ คุณหมอไม่แนะนำ แปลกแต่จริงค่ะ คุณหมอบอกว่ามันเป็นการอยู่กับตัวเองเกินไป
9. หาเพื่อนรู้ใจมาเลี้ยงค่ะ หมายถึงเพื่อนสี่ขานะคะ เพื่อนจะทำให้คุณเพลิดเพลิน รู้จักคุณค่าของชีวิต และมีที่ระบายค่ะ แม้เพื่อนจะพูดไม่ได้ก็ตาม
10. เขียนค่ะ การเขียนเป็นการ express อารมณ์ ความรู้สึกออกมาเป็นรูปธรรมได้ดีมาก ในเชิงจิตวิทยาแล้วการเขียนเหมือนเป็นการปลดปล่อยนะคะ จะเขียนเป็นแบบส่วนตัว หรือเขียนให้เพื่อนๆช่วนอ่าน ก็ทำได้ค่ะ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมนะคะ
...ทั้งหมดนี้คือสิบข้อที่ดิฉันทำเป็นประจำค่ะ ใครที่มีซึมเศร้าเป็นเพื่อนอยู่ ดิฉันแนะนำให้ทำความรู้จักกับเพื่อนคนนี้ให้ดีนะคะ อย่าพยายาม reject แล้วพบคุณหมอ ทานยา ทำ 10 ข้อนี้ หรือ อาจมีวิธีอื่นๆที่ค้นพบ ก็มาแนะนำกันได้นะคะ
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆคนค่ะ รักตัวเองให้มากๆนะคะ ...ไว้โอกาสหน้าจะมาเล่ารายละเอียดอื่นๆให้ได้อ่านกันอีกนะคะ
————————————————————
...จบแล้วค่ะ ทั้ง 3 ตอน หากมีโอกาสดิฉันจะนำตอนที่ 4-5 มาโพสให้ได้อ่านกันนะคะ
ขอบคุณค่ะ