นางในฝัน (Furryjit)

เขาเห็นหน้าเธอผู้นั้นแค่เพียงครึ่งเสี้ยว แต่อย่างไรก็ไม่มีความหมายอยู่ดี เพราะใบหน้าหล่อนถูกปกคลุมด้วยแสงสีขาวจนทำให้สายตาพร่าเลือน 

ทุกครั้งที่เขายืนเคว้งคว้างอยู่คนเดียวบนสะพานแขวน ซึ่งโต้ลมจนโยกเยกน่ากลัว  ขณะไม่รู้ว่าจะแข็งใจเดินไปต่อสู่อีกฝั่งข้างหน้า หรือหันหลังกลับ จะปรากฎร่างของหญิงสาวคนเดิมนี้ เดินมาจูงมือเขาอย่างอบอุ่นให้ก้าวต่อไปข้างหน้า เมื่อถึงที่หมาย หล่อนจะเอี้ยวหน้ามามองเล็กน้อย ก่อนปล่อยมือและผละเดินจากไป

“ขอบคุณเธอ อย่าไปไหน กลับมานี่ก่อน” เขาได้ยินเสียงตัวเองร้องเรียกอย่างนี้ หญิงสาวอึกอักแบบไม่อยากจะเดินทิ้งไป ดูเหมือนว่าหล่อนจะใช้ความพยายามบังคับจิตใจตัวเอง เพราะในที่สุด____

เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าสะบั้นฝันอันยุ่งเหยิงของชายหนุ่ม ปลุก”เพียงพล” ให้ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกอันค้างคา มันเกิดขึ้นอย่างซ้ำซากมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาก็คร้านที่จะจำเสียแล้ว

มือคลำควานหามือถือตัวเองจนพบข้างตัว พอเห็นรูปภาพของคนที่โทรมาแต่เช้าตรู่ เขาก็รีบกดรับโดยไม่มีลังเล แม้น้ำเสียงจะงัวเงีย

“ว่าไงจ้ะน้องนัท โทรหาพี่เช้าขนาดนี้ น้องมีเรื่องอะไร”

“น้องนัท” คือลูกสาวคนสุดท้องของเจ้าสัว”บุญส่ง” เศรษฐีอันดับต้นๆของประเทศ โดยการจัดเรียงจากนิตยสารชื่อดังของอังกฤษเล่มหนึ่ง และมีฐานะเป็นน้องสาวต่างมารดาของเขา

เจ้าสัวมีภรรยาถึงเจ็ดคน ด้วยความเชื่อว่ายิ่งมีลูกมาก จะยิ่งมาช่วยกันบริหารดูแลกิจการให้รุ่งเรืองต่อไป

แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสิ่งใดกำหนด เจ้าสัวมีบุตรกับภรรยาทุกคนอย่างสมมาดปรารถนา แต่ในโลกของความเป็นจริง ไม่มีใครได้ทุกอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ภรรยาแต่ละคนของท่าน”บุญส่ง” แต่ละคนให้กำเนิดบุตรกับท่านได้ก็จริง แต่ต่างคนต่างมีได้แค่คนเดียว ไม่ว่าจะขยันสรรหาวิธีใดๆก็ตามให้มีลูกเพิ่ม แต่ก็ไม่ประสบผล

ดังนั้นความผูกพันทางสายเลือดของพี่น้องแต่ละคนจึงแทบไม่มีอยู่ เพราะไม่มีใครเกิดมาจากท้องแม่เดียวกัน แน่นอนว่าทางกฎหมายการจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีผลแค่ผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น

ปัญหาที่ตามมานั้นก็ไม่เกินจะคาดเดา ในเมื่อต่างคนก็ถือว่ากำเนิดมาในเพศชายล้วนเชิดชูหน้าตา และจิตใจของเจ้าสัวทุกคน ดังนั้นไม่มีใครยอมกัน ห้ำหั่นและชิงชัยกันในทางที่ลับและแจ้ง

จะมีก็แต่เขาและ”น้องนัท” ลูกสาวเพียงคนเดียวที่ไม่ชิงดีชิงเด่นกับใคร เธอเกิดมากับภรรยาคนสุดท้ายของเจ้าสัวกับแม่”อนงค์” หญิงไทยผิวคล้ำผู้มีรูปร่างบอบบางและจิตใจเมตตาการุณย์นางนั้น แม่ของนัทมีศักดิ์ต่ำต้อยกว่าภรรยาทุกคน เนื่องด้วยเคยประกอบอาชีพแม่ครัวในร้านอาหารจีนแบบโบราณมาก่อน เจ้าสัว”บุญส่ง” จับพลัดจับผลูเข้าไปกินในร้าน เกิดน้ำตาไหล หวนระลึกถึงถิ่นฐานบ้านเกิดตนเองทันที

ไม่ว่าจะเป็น”เต้าหู้หม้อดิน” หรือ”ข้าวผัดปลาเค็ม” ตามต้นตำรับจีนของแท้ บรรดาคนติดตามดูแลมองดูแล้วอึ้งไปตามๆกัน วันนั้นเจ้าสัวบุญส่งไม่แตะกระเพาะปลาเก่าแก่ตุ๋นราคาเหยียบครึ่งแสนบนโต๊ะแม้แต่น้อย กลับจ้วงเอาอาหารพื้นๆเข้าใส่ปากไม่หยุด กินไปก็หวนคิดถึงบ้านเกิดไป

ไม่นานหลังจากนั้น แม่ครัวก็ได้รับการทาบทามมาอยู่ประจำ ณ ที่เคหาสถ์ใหญ่โอฬารประดุจวังของท่านเจ้าสัว  นางอนงค์ประกอบอาหารพื้นบ้านมลฑลจีนซึ่งถูกปากถูกใจเจ้าสัวเป็นหนักหนา ทำให้ ท่าน”บุณส่ง”กลายเป็นเจริญอาหารกว่าเดิมนับตั้งแต่นั้นมา 

ไปผูกสมัครเห็นอกเห็นใจกันตอนไหนไม่รู้  อยู่ดีๆเจ้าสัวก็ประกาศก้องว่า ขอเชิดชูแม่อนงค์เป็นภรรยาอีกคน ท่ามกลางสายตาที่มองด้วยความอิจฉาริษยา พอแม่อนงค์คลอดลูกสาวออกมา พวกที่เฝ้าลุ้นมาตลอดก็หัวเราะร่า ความวิตกกังวลได้หมดไป ลูกผู้หญิงมีอะไรจะมาเทียบเคียงลูกผู้ชาย ไม่มีใครใส่ใจและให้ความสำคัญกับภรรยานอกสายตาผู้นี้อีกต่อไป

จะมีก็แต่”เพียงพล” ผู้ซึ่งสูญเสียมารดาไปเมื่ออายุได้ยี่สิบสองปี เมื่อยังไม่สิ้นบุญ 
“นางอรทัย”เธอผู้ฝักใฝ่ธรรมมะในการแสวงหาความหลุดพ้น ได้ปลูกฝังลูกชายให้เป็นคนที่ไม่เบียดเบียน เห็นอกเห็นใจในทุกชีวิตที่เกิดมาร่วมโลก ด้วยตัวเธอเองก็เข้าสถานปฎิบัติธรรม ฝึกนั่งสมาธิอานาปานสติอยู่เนื่องนิจ

บุญเธอน้อยไปหน่อย หรืออาจจะใช้กรรมหมดแล้วก็เป็นได้  ภายหลังเธอเริ่มป่วยออดๆแอดๆ จนถึงขั้นทรุดลงเรื่อยๆ เข้าออกโรงพยาบาลราวกับเป็นบ้านหลังที่สอง ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสเห็นลูกชายที่รูปร่างสูงโปร่ง เค้าหน้าคมเข้ม ทว่านัยน์ตาแฝงไปด้วยความอ่อนโยน จูงมือเด็กสาวตัวเล็กป้อมหน้าตาจิ้มลิ้มมาเยี่ยมไข้

“ผมพาน้องมาเยี่ยมครับ พลรู้ว่าแม่อยากได้ลูกผู้หญิงอีกคน ไม่ต้องห่วงครับ พลจะดูแล”น้องน้ท” ให้เหมือนกับเป็นลูกสาวแม่อีกคน”

มารดาของเพียงพลวางตัวกับแม่อนงค์โดยดีมาตลอด ถึงแม้ไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนม แต่ไม่เคยยกตัวขึ้นข่ม ทำให้ชายหนุ่มยึดถือเป็นแบบอย่าง นับถือแม่ของน้องนัทเฉกเช่นญาติผู้ใหญ่อีกคน

นางอรทัยเห็นเด๊กสาวที่ดวงตากลมใส โครงหน้าบ่งบอกแววว่าพอเติบโตขึ้นไป จะสวยงามจนชายมารุมล้อมแน่นอน จากสายตาคนที่ผ่านโลกมานาน

มือเล็กๆของเด็กหญิงน้อยคนนั้นกุมมือลูกชายของเธอโดยไม่ยอมปลดปล่อย  คนป่วยที่นอนหมดอาลัยตายอยากในชีวิตเห็นแล้วยังอดยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้

“โธ่ ลูก น้องยังเล็กเหลือเกิน พาเข้ามาโรงพยาบาลทำไม “

แต่แล้วน้องนัทก็ต้องกลับมาโรงพยาบาลอีกครั้ง ในชุดนักเรียนอนุบาลที่ไม่มีเวลาเปลี่ยน เนื่องจากสถานการณ์ฉุกละหุก เมื่อแม่อนงค์พาลูกสาวมาดูใจคุณอรทัยก่อนภรรยาคนไหนพร้อมกับเจ้าสัว เด็กหญิงจึงได้ยินคำสั่งเสียนั้น แม้จะเยาว์วัยไม่รู้ความแต่เธอก็จดจำได้ทั้งหมด

“ฉันรู้ว่าเฮียทำมรดกในระบบกงสี ไม่แบ่งแยกให้ใครโดยเฉพาะ แต่ฉันขอเป็นครั้งสุดท้าย  ลูกพลเป็นคนซื่อ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีปัญญาแก่งแย่งชิงดีกับใคร ฉันขอความเมตตาของเฮียให้ปันมรดกส่วนเสี้ยวน้อยที่สุด เอาแค่พอให้ลูกไปเปิดร้านอาหารตามที่เขาต้องการ เฮียก็รู้ว่าลูกเรารักทางนี้มาตลอด บริษัทห้างร้านกิจการอะไรของเฮีย ฉันไม่ต้องการให้ลูกพลไปยุ่งเกี่ยว ฉันขอใช้ความเป็นแม่สละสิทธิทุกอย่างออกจากกองมรดกแทนลูก ขอแค่ทุนรอนเล็กน้อยให้พลไปตั้งตัว ให้เขาใช้ความสามารถตัวเองเลี้ยงชีพต่อไป ฉันขอแค่นี้ได้ไหมเฮีย”

เจ้าสัวบุญส่งกุมมืออันซูบกรังของคุณอรทัย ถึงจะมีภรรยาหลายคน ก็ใช่ว่ามาจากนิสัยมักมาก และไช่ว่าจะได้ใหม่แล้วลืมเก่า แค่ต้องการมีบุตรสืบตระกูลมากๆ เทือกเถาเหล่ากอฝังความเชื่อกันมาเช่นนี้ ท่านบุญส่งหลั่งน้ำตาสะอึกสะอื้นแล้วรับปากภรรยา

หลังจากนั้นคุณอรทัยได้ใช้เรี่ยวแรงที่หลงเหลือเพียงน้อยนิด กวักมือให้แม่อนงค์พาลูกเข้าไปใกล้ๆ  เจ้าสัวเดินห่างออกไปทำใจ ปล่อยให้สองภรรยาคุยกัน

“แม่อนงค์” คุณอรทัยมองสบตากับเธอด้วยสายตาแห้งโรย เหมือนพลังชีวิตกำลังจะเหือดหายไป

“ฟังคำฉันให้ดี ระบบการให้มรดกของเฮีย ถ้ายึดปฎิบัติตามกฎ จะเพิ่มพูนกำไรและทำให้กิจการของครอบครัวเจริญก้าวหน้า แต่ในความเป็นจริง ต่อไปพี่น้องจะฆ่ากันเองเพื่อแย่งสมบัติ คนใกล้ตายอย่างฉันไม่ให้ร้ายใครหรอก เธอคงได้ยินแล้ว แม้แต่ลูกชายของฉันยังไม่อยากให้ยุ่ง ฉันไม่รู้ว่าเฮียจะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ แต่ขอให้เธอพึงสังวรณ์ไว้ สิ้นเฮียเมื่อไหร่เธอเดือดร้อนแน่ อาจจะถึงชีวิต ถอยห่างออกไปเมื่อถึงเวลานะแม่อนงค์ ใช้ชีวิตตามประสา จำไว้ว่าคนตายเอาสมบัติติดตัวไปไม่ได้”

แม่อนงค์เช็ดน้ำหูน้ำตาพลางรับปากรับคำ คุณอรทัยเหลือบมามองลูกสาวเธออย่างเป็นนัยๆ แล้วส่งเสียงอันแหบแห้งกระซิบแผ่วเบา นางอนงค์เอียงหูเข้าใกล้ทันที

“ฉันมีความลับอย่างหนึ่ง รอให้ถึงเวลาก่อนนะ______ค่อยบอกให้เขารู้”

แม่อนงค์ถึงกับตาเบิกโพลงเมื่อได้ยิน แต่ก็รีบสำรวมอาการไว้ เธอรับปากรับคำอะไรที่มีแต่รู้เรื่องกันเองระหว่างสองคนเท่านั้น 

หลังจากนั้นคุณอรทัยให้สัญญานเพื่อให้พาเด็กหญิงตัวน้อยเข้ามาใกล้ เธอพินิจพิเคราะห์อยู่สักครู่ ก่อนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า

“อย่าทิ้งพี่พลเขานะลูก พี่เขาเป็นคนเรียบง่าย ไม่มีโอกาสสู้ชนะใครหรอก หนูเป็นคนดวงเสริม ต่อไปชะตาจะชักนำให้พบกับคู่ครองที่ดี แต่จนกว่าจะถึงเวลานั้นช่วยป้าดูแลพี่ชายหนูไปก่อนนะ”

ลมหายใจของคุณอรทัยขาดห้วง ไม่ต่อเนื่อง เหมือนคนเหนื่อยอ่อนไม่มีเรี่ยวแรง หรือระบบทางเดินหายใจมีปัญหา อยู่ๆเธอก็ม่อยหลับเอาดื้อๆ

มารู้อีกทีก็อีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา คุณอรทัยสิ้นลมไปอย่างสงบ

นั่นคือเมื่อสิบปีที่แล้ว แต่ในตอนนี้ชายหนุ่มขยับลุกขึ้นครึ่งตัว มองนาฬิกาตรงโต๊ะเล็กๆอย่างยากเย็น

เพียงพลรอเสียงตอบ ขยี้ขี้ตาแห้งกรังออกไปจากใบหน้า มีเสียงขลุกขลักเล็กน้อยจากปลายสาย สักพักก็มีเสียงน้องสาวตัวแสบละล่ำละลักพูดมาอย่างเดือดดาล

“พี่พล อย่าขับรถออกไปเป็นอันขาดขาดนะค่ะ มีคนบัดซบแอบตัดสายเบรกรถพี่แล้ว”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่