ผู้บรรลุ โสดาบัน จะเห็นการเกิดดับของปฏิจจสมุทบาท
จะรู้ว่า ทำไม อวิชชาจึงเป็นเหตุทำให้เกิดสังขาร
เมื่อพระผู้มีพระภาคประทับ ณ นิคมชื่อกัมมาสธรรมในแคว้นกุรุ(กรุงเดลฮีปัจจุบัน)
พระอานนท์เข้าไปเฝ้าและทูลว่า(ขณะนั้นเป็นพระโสดาบัน)
“อัศจรรย์จริง พระเจ้าข้า ประหลาดจริง พระเจ้าข้า
ปฏิจจสมุปบาทนี้ เป็นธรรมลึกซึ้ง และปรากฏเป็นธรรมลึกซึ้ง
แต่ก็ปรากฏแก่ข้าพระองค์ เหมือนเป็นธรรมง่ายๆ”
พระศาสดาตรัสว่า
“อย่ากล่าวอย่างนั้นอานนท์ ปฏิจจสมุปบาทนี้ เป็นธรรมลึกซึ้ง
และปรากฏเป็นธรรมลึกซึ้ง เพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่แทงตลอดซึ่งปฏิจจสมุปบาทนี้แหละ
หมู่สัตว์จึงวุ่นวายเหมือนเส้นด้ายที่ขอดกันยุ่ง ขมวดเหมือนกลุ่มด้ายที่ขอดเป็นปม
เป็นเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง ผ่านพ้น อบาย ทุคติ วินิบาต
และสังสารวัฏไปไม่ได้”
(สํ. นิ. ๑๖/๑๑๐-๑๑๑ ข้อ ๒๒๔-๕)
โสดาบัน เกิดดวงตาเห็นธรรมแบบนี้
จะรู้ว่า ทำไม อวิชชาจึงเป็นเหตุทำให้เกิดสังขาร
เมื่อพระผู้มีพระภาคประทับ ณ นิคมชื่อกัมมาสธรรมในแคว้นกุรุ(กรุงเดลฮีปัจจุบัน)
พระอานนท์เข้าไปเฝ้าและทูลว่า(ขณะนั้นเป็นพระโสดาบัน)
“อัศจรรย์จริง พระเจ้าข้า ประหลาดจริง พระเจ้าข้า
ปฏิจจสมุปบาทนี้ เป็นธรรมลึกซึ้ง และปรากฏเป็นธรรมลึกซึ้ง
แต่ก็ปรากฏแก่ข้าพระองค์ เหมือนเป็นธรรมง่ายๆ”
พระศาสดาตรัสว่า
“อย่ากล่าวอย่างนั้นอานนท์ ปฏิจจสมุปบาทนี้ เป็นธรรมลึกซึ้ง
และปรากฏเป็นธรรมลึกซึ้ง เพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่แทงตลอดซึ่งปฏิจจสมุปบาทนี้แหละ
หมู่สัตว์จึงวุ่นวายเหมือนเส้นด้ายที่ขอดกันยุ่ง ขมวดเหมือนกลุ่มด้ายที่ขอดเป็นปม
เป็นเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง ผ่านพ้น อบาย ทุคติ วินิบาต
และสังสารวัฏไปไม่ได้”
(สํ. นิ. ๑๖/๑๑๐-๑๑๑ ข้อ ๒๒๔-๕)