พันมิติ ภาคห้า (The Parallel Dimensions 5) บทที่ ๒

แผนของเวิร์นคืออะไร แล้วไอดินกับมุสจะทำตามแผนสำเร็จหรือไม่ ไปติดตามต่อกันเลยค่ะ

ความเดิม
ภาคห้า บทที่ ๑ https://ppantip.com/topic/40438663

###

บทที่ ๒

เวิร์นเข้ามาปลุกเราในตอน...น่าจะเช้า

เขาเรียกเราไปกินอาหารเช้าสุดอร่อยฝีมือภรรยาสุดที่รักด้วยท่าทางกระตือรือร้น มุสกับนาร์คูลตามออกไปโดยไม่ปริปากบ่น ส่วนผมแสร้งทำเป็นหาของจากกระเป๋าเป้ แล้วหยิบอาหารเม็ดเข้าปากอย่างรวดเร็ว

อาหารเช้าสุดอร่อยที่ว่าก็คือ...ขนมปังกรอบ (แข็ง) กับนมที่น่าจะทำจากพืชเพราะกลิ่นเหม็นเขียวเกินทน

วิธีกินก็เหมือนเดิม คือเอาขนมปังแช่นมให้นิ่ม แล้วก็แทะกินได้

ผมกินขนมปังหนึ่งชิ้น ดื่มนมไปอีกสองอึกตามมารยาท จากนั้นจึงฟังเวิร์นเล่าถึงมิตินี้อีกนิดหน่อย

“ถ้าจะออกไปไหนอย่าลืมพกหน้ากากไปด้วย” เขาบอกแล้วชี้ไปที่ทิวหน้ากากกันฝุ่นสีดำซึ่งแขวนอยู่ริมประตูบานหนึ่ง เดาได้ว่าน่าจะเป็นทางออก “อากาศที่นี่ถึงจะเป็นเวลากลางวันก็อึมครึม ต้องระวังหน่อยนะ”

หน้ากากเหล่านั้นประกอบด้วยส่วนที่เป็นกรอบใสสำหรับมองเห็น ไฟฉายดวงเล็กๆ ติดอยู่กลางหน้าผาก ตรงส่วนที่ปิดจมูกกับปากมีท่อกรองอากาศยืนออกมาด้วย

ผมฟังแล้วก็ผงกศีรษะรับ ในขณะที่มุสดูจะไม่ค่อยสนใจสิ่งที่เวิร์นพูดนัก

หลังจากอาหารเช้า เวิร์นก็นำผม มุส แล้วก็นาร์คูล ก้าวออกจากไปทางประตูบานที่มีทิวหน้ากากกันฝุ่นแขวนอยู่ เขาหยิบหน้ากากให้ผมกับตัวเอง แต่ไม่ได้กำชับมุสกับนาร์คูลให้พกหน้ากากติดตัวไปด้วย

พอออกมาจากประตูแล้วก็เป็นทางเดินที่ยังอยู่ในตัวอาคาร ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นอาคารชุดเพราะมีประตูห้องชุดอื่นๆ เรียงรายตลอดแนว เวิร์นพาเราก้าวไปตามทางเดินด้านขวา ผ่านห้องชุดสามสี่ห้องก็พบกับบันไดกับลิฟต์

“อาคารนี้มีสิบห้าชั้น” เวิร์นบอกระหว่างที่เรากำลังก้าวขึ้นบันได “ชั้นที่เราอยู่คือชั้นที่แปด ข้างบนนั่นคือชั้นที่เจ็ด”

“หือ...ทำไมชั้นบนคือชั้นที่เจ็ดละครับ ไม่ใช่เก้าหรือ”

เวิร์นที่เดินนำอยู่ข้างหน้าหันมาขยิบตาให้ผม “เดี๋ยวก็รู้”

พอก้าวผ่านมาได้สามชั้นขาผมก็เริ่มหนัก คนที่นำทางเราอยู่อาจจะสังเกตเห็นจึงพาเราเข้าไปในลิฟต์ที่อยู่ด้านข้างแทน จากนั้นเขาก็กดลิฟต์ไปยังชั้นบนสุด

ครั้นลิฟต์เปิดแล้ว ผมก็พบว่าเบื้องหน้านั้นเป็นเหมือนห้องเหล็กหนาทึบกว้างขวาง มียานพาหนะหน้าตาแปลกๆ ที่ผมไม่รู้จักเรียงเป็นตับ (บางอย่างเวิร์นเรียกว่าช็อปเปอร์ รถตู้ กระบะ และอื่นๆ อีกมากมาย) แล้วก็มีคนสวมหน้ากากกันฝุ่นจับกลุ่มกันอยู่ บางคนนั่งนอนอยู่ในรถ บางคนกำลังเจรจาต่อรองอะไรบางอย่าง

เวิร์นยกหน้ากากกันฝุ่นขึ้นสวม แล้วหันมาช่วยผมสวมหน้ากาก จากนั้นจึงเดินนำเราผ่านแถวยานพาหนะตรงไปทางประตูเหล็กที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พอเปิดประตูออกไปเราจึงได้พบบรรยากาศขมุกขมัวที่เต็มไปด้วยฝุ่นควัน รอบตัวเป็นพื้นดินหรือไม่ก็หินแห้งผาก

“อย่างที่เจ้าเห็น ‘เมืองของเรา’ อยู่ใต้ดิน” เวิร์นว่าเสียงอู้อี้ภายใต้หน้ากากกันฝุ่น

ด้านหลังผม ประตูที่เราก้าวออกมา เป็นเหมือนประตูกล่องเหล็กขนาดใหญ่ที่ผุดขึ้นจากพื้น แสงจากไฟฉายบนหน้ากากช่วยให้ผมเห็นเงารางๆ ของรถกระบะคันหนึ่งที่กำลังขับเข้ามาใกล้

เรายืนอยู่ที่นั่นเพียงครู่เดียว เวิร์นก็เรียกให้เรากลับเข้าไปในกล่องเหล็ก ขณะเดียวกันรถกระบะที่ผมเห็นเมื่อครู่ก็ขับแซงเราเข้ามา พอไปถึงหน้าลิฟต์แล้วเราก็ถอดหน้ากากออก จากนั้นจึงเดินลงบันไดไปหนึ่งชั้น ระหว่างชั้นที่เป็นพื้นดินกับชั้นแรกค่อนข้างสูงพอสมควร ผมนับขั้นบันไดได้เพียงสี่สิบขั้น ตัวเลขก็เริ่มปนกันวุ่นวายในหัว พร้อมกับเสียงผู้คนที่ค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ

พอลงมาสุดบันไดชั้นแรก เราก็พบกับทางเดินกว้างขวาง ผู้คนจอแจ มีร้านขายของ คนซื้อของ ดูราวกับเป็นตลาด เพียงแต่เป็นตลาดที่อยู่ในห้องกว้างปิดทึบ และมีช่องระบายอากาศส่งเสียงหึ่มที่ไม่มีใครสนใจอยู่เหนือศีรษะตลอดเวลา

“ขาดเหลืออะไรก็บอกนะ” เวิร์นบอกแล้วก็ปล่อยให้เราเดินชมตลาดกันตามสบาย

ผมกับมุสเดินดูร้านรวงริมทางเดินอย่างสนอกสนใจ ร้านเหล่านั้นส่วนมากจะทำเป็นห้องเล็กๆ ด้านหน้าเปิดออกสู่ทางเดินเพื่อให้คนเข้าไปเลือกซื้อของในร้านได้สะดวก ดูๆ ไปก็คล้ายร้านขายของในมิติของมุส ส่วนของที่ซื้อขายกันก็มีตั้งแต่อาหาร (ซึ่งส่วนมากจะเป็นพืช) เสื้อผ้า ของใช้จิปาถะในครัวเรือน

ผมถามเวิร์นว่าอาหารในมิตินี้มาจากไหน เพราะดูจากสภาพด้านนอกที่มีแต่ฝุ่นควันแล้วไม่น่าจะปลูกหรือเลี้ยงอะไรได้ เขาบอกว่าคนที่นี่ปลูกพืชในร่มโดยใช้แสงจากหลอดไฟ แต่ไม่ค่อยมีใครเลี้ยงสัตว์เพราะดูแลยากและใช้พื้นที่มาก

เดินไปอีกสักครู่หนึ่งผมก็เห็นประตูลิฟต์อีกแห่ง พอถามเวิร์นก็บอกว่าเป็นลิฟต์ลงไปยังห้องชุดสำหรับอยู่อาศัย แบบเดียวกับ ‘บ้าน’ ของเขานั่นละ

เวิร์นยังเล่าอีกว่า หลังจากแผ่นดินไหวและภูเขาไฟค่อนโลกระเบิดในครั้งนั้น ผู้คนในมิตินี้ก็ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต อพยพลงมาอยู่ใต้ดินเพื่อหลีกเลี่ยงฝุ่นควัน นานวันเข้าจากที่ต่างคนต่างอยู่ก็มีการพัฒนากลายเป็นชุมชน เป็นบ้านเมืองใต้ดินอย่างที่ผมเห็นอยู่นี้

ที่นี่ไม่ใช่เมืองใต้ดินเพียงแห่งเดียวในมิตินี้ ยังมีเมืองใต้ดินคล้ายๆ กันกระจายอยู่ทั่วไป คงคล้ายๆ กับเขตปกครองในมิติของผมกระมัง แต่การจะเดินทางไปยังเมืองใต้ดินอื่นจะต้องขึ้นไปบนพื้นดินก่อน แล้วอาจจะจ้างหรือเช่ายานพาหนะอย่างใดอย่างหนึ่งขับต่อไป

สุดท้ายผมกับมุสก็ไม่ได้ซื้ออะไร ส่วนเวิร์นได้อาหารและของใช้มาจำนวนหนึ่ง ในขณะที่นาร์คูลทำหน้าที่พนักงานขนของ

พอกลับมาถึงบ้าน ชาเวียร์กำลังทำอาหารกลางวันอยู่ ผมจึงรีบขอตัวเข้าห้องไป ดื่มน้ำกินอาหารเม็ดเตรียมไว้ก่อน แล้วออกมาช่วยคนอื่นเก็บของ กินอาหารกลางวัน จากนั้นนาร์คูลก็ขอตัวกลับ

“ทำไมรีบกลับละจ๊ะ แล้วเพื่อนๆ ล่ะ” ชาเวียร์ถาม

“ข้าต้องกลับแล้ว” หมอนั่นตอบไม่ตรงคำถาม แล้วก็หมุนตัวออกจากห้องไป ชาเวียร์จึงหันมาทางสามี คิ้วเรียวขมวดด้วยความงุนงง

“พ่อแม่เขาตามแล้วน่ะ ไม่เป็นไรหรอก ให้มุสกับไอดินอยู่กับเราไปก่อนก็ได้ ถือว่าเป็นเพื่อนต่างมิติของเราเหมือนกัน” ว่าแล้วเวิร์นก็ขยิบตาให้ภรรยา เธอจึงไม่ว่าอะไร

ครู่ต่อมาเวิร์นก็ชวนเราออกไปข้างนอกอีก แต่คราวนี้ไม่ต้องพกหน้ากากกันฝุ่นแล้ว เพราะเขาไม่ได้พาเราออกไปนอกเมืองใต้ดิน

และแทนที่จะขึ้นลิฟต์ไปชั้นบน เขากลับพาเราขึ้นลิฟต์ลงไปชั้นที่สิบห้า

“ตอนแรกข้ากับชาเวียร์ไม่ได้อยู่ที่นี่” เขาเอ่ยขึ้นเรียบๆ ในระหว่างที่เดินนำเราไปตามทางเดิน ซึ่งด้านข้างเรียงรายไปด้วยห้องชุดแบบเดียวกันกับชั้นอื่นๆ “ข้าตัดสินใจชวนชาเวียร์ย้ายมาเมื่อหกปีก่อน เพราะมีคนชักชวน เขาเองก็เป็นอดีตอินูเว และเคยอาศัยอยู่ที่นี่เช่นกัน...” ว่าแล้ว เวิร์นก็หยุดลงที่หน้าห้องชุดห้องหนึ่ง แต่แทนที่เขาจะไขกุญแจเข้าไปเหมือนห้องของตัวเอง เขากลับวางมือทาบบนลูกบิดประตู ได้ยินเสียงดังกริก เบาๆ ประตูก็เปิดแง้มออกเอง

เวิร์นผลักประตูก้าวเข้าไปในนั้น เปิดไฟดวงน้อยที่ห้อยจากเพดานลงมาเหนือโต๊ะกินข้าวที่อยู่กลางห้อง จากนั้นก็หันกลับไปปิดประตู ทาบมือที่ลูกบิด แล้วกลอนประตูก็ลั่นเบาๆ อีก

ผมกวาดตามองไปรอบๆ ห้องนั้นดูมีฝุ่นเกาะหนา ดูเหมือนไม่มีใครอยู่มานาน “เขาเคยอยู่ในห้องนี้หรือครับ” ผมถามโดยไม่ได้คิดอะไร เวิร์นก็ส่งเสียงรับเบาๆ

“แล้วตอนนี้เขาไปไหนแล้วละครับ”

“ตายแล้ว” ผู้นำทางของเราตอบเรียบๆ

ผมรู้สึกอยากตบปากตัวเอง แต่สุดท้ายก็ยืนนิ่งๆ ไม่พูดอะไรอีก เขาก็ไม่กล่าวอะไรต่อเช่นกัน เพียงบอกให้เราไปยืนล้อมโต๊ะ ครั้นแล้วเขาก็วางมือขวาลงที่กลางโต๊ะ นิ้วทั้งห้าเกร็งและเหยียดออก ทันใดนั้นเอง เส้นสายสีแดงก็ปรากฏจากแหวนที่หัวแม่มือของเขา แล้วกระจายไปทั่วโต๊ะ บังเกิดเป็นแผนผังอันสับสน

“นี่คือฐานอินูเว” เขาบอกเสียงเคร่งขรึม พลางเลื่อนมือขวาไปชี้ที่ตรงสัญลักษณ์รูปโค้งที่มีเส้นเฉียงตัดผ่าน ภาพประตูโค้งที่มีบานประตูสองด้านก็ปรากฏเป็นภาพสามมิติขนาดเล็ก (อย่างกับภาพโฮโลแกรมจากสายรัดข้อมือของผมเลย) “ตรงนี้เป็นประตูหน้า” จากนั้นนิ้วมือของเขาก็เลื่อนไปด้านหน้าแล้วเลี้ยวไปทางขวา “หากเดินไปตามทางเดินนี้เจ้าก็จะพบบันได” ภาพบันไดปรากฏขึ้นบนแผนผัง “แต่เจ้าใช้ทางนี้ไม่ได้หรอก”

“อ้าว!”

“เข้าทางประตูหน้าก็มีคนเห็นน่ะสิ” เขาบอกพลางหัวเราะในลำคอ “เจ้าต้องเข้าทางนี้...” ว่าแล้วเขาก็วาดมือขวาปาดไปด้านหน้า ภาพแผนผังก็เปลี่ยนไป “นี่คือชั้นที่สอง”

“ใต้ดินหรือครับ” ผมโพ่งถามขึ้น แต่เขากลับส่ายหน้า

“ฐานอินูเวไม่ได้อยู่ใต้ดิน แต่สร้างเหนือพื้นดินตั้งแต่ก่อนแผ่นดินไหว หลังจากแผ่นดินไหวแล้วพวกอินูเวก็ใช้เวทมนต์สร้างกำแพงคลุมฐานไว้ ทำให้ฐานไม่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นควัน”

“แต่...ถ้ามีกำแพงกั้นไว้แบบนี้แล้วจะเข้าได้ยังไงละครับ”

“กำแพงด้านนอกเข้าไม่ยากหรอก” เวิร์นตอบ “ด้านนอกไม่มีการตรวจจับเวทมนตร์ ข้าส่งเจ้าเข้าไปได้ แต่พอเข้าไปแล้ว เจ้าต้องปีนขึ้นไปชั้นบนสุดเอง”

“ปีนขึ้นชั้นบนสุด!” ผมร้อง

เวิร์นผงกศีรษะ “โอลีนชอบความเงียบ ดังนั้นห้องที่อยู่ข้างห้องเขาจะต้องเป็นห้องว่าง” เขาว่า พลางจิ้มนิ้วลงที่มุมบนขวาของแผนที่ ซึ่งเป็นห้องขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง “นี่คือห้องของโอลีน” จากนั้นเขาก็เลื่อนนิ้วลงมาหน่อยหนึ่ง ภาพห้องอีกห้องก็ปรากฏขึ้น “ส่วนห้องนี้เป็นห้องว่าง เจ้าน่าจะขึ้นไปทางห้องนี้ได้” เขาหดมือกลับ ภาพห้องทั้งสองก็หายไป “พอเข้าไปในห้องนั้นแล้วเจ้าก็คอยลอบฟังความเคลื่อนไหวภายในห้องของเขา”

“แต่...แค่ฟังแล้วผมจะรู้ได้อย่างไรว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ขนาดเสียงโอลีนผมยังไม่เคยได้ยินเลย”

ริมฝีปากของเวิร์นเหยียดเป็นรอยยิ้ม พลางล้วงของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมตัวยาว “นี่เป็นเครื่องบันทึกเสียง” เขาวางอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ขนาดเท่าฝ่ามือไว้บนโต๊ะ ตรงกลางแผนที่เวทมนตร์นั่นละ “เจ้าเอาเครื่องนี้เข้าไปในนั้น บันทึกสิ่งที่ได้ยินมาก็พอ”

ผมหยิบเครื่องบันทึกเสียงไป กำแน่นอยู่ในมือ...ผมต้องทำภารกิจนี้จริงๆ หรือ

---

เราดำเนินตามแผนของเวิร์นในวันต่อมา

เขาพาผมกับมุสขึ้นมาจากเมืองใต้ดินมาที่ห้องเหล็กซึ่งเขาพามาดูเมื่อวาน ผมหอบเป้ของตัวเองมาด้วย ตอนแรกคิดว่าจะเทของในเป้ออกแล้วใส่แต่เครื่องบันทึกเสียงมา แต่พอคิดไปคิดมา ผมก็ตัดสินใจหิ้วมาทั้งหมดนั่นละ

พอเราสวมหน้ากากกันฝุ่นเรียบร้อยดีแล้ว เวิร์นก็ตรงไปเจรจากับคนแถวนั้น แล้วเช่ารถกระบะมาคันหนึ่ง ก่อนจะบึ่งออกไปท่ามกลางความอึมครึมของฝุ่นควัน

ขับมาราวค่อนวันเขาก็จอดรถที่หน้ากำแพงทึบสูงใหญ่แห่งหนึ่ง เขาบอกให้เราลงจากรถแล้วก้าวไปตรงหน้ากำแพงนั้น ผมยกเป้ขึ้นสะพายหลัง พลางแหงนมองไปรอบๆ กำแพง ขอบด้านบนและซ้ายขวาล้วนกลืนหายไปในฝุ่นควัน ผมจึงไม่สามารถคะเนได้ว่ากำแพงนั้นสูงใหญ่แค่ไหน

เวิร์นยื่นมือที่สวมแหวนสีดำออกไปด้านหน้า วางทาบกับกำแพงสูงนั้น เส้นสายสีแดงก็พลันปรากฏขึ้นเป็นขอบของภาพที่แสดงให้เห็นเหตุการณ์ด้านหลังกำแพง ที่นั่นเป็นบริเวณหน้าฐานอันเวิ้งว้าง มีประตูเหล็กบานคู่ที่ดูจะไม่ยอมเปิดรับใครง่ายๆ

ทันใดนั้นประตูเหล็กพลันเลื่อนเปิดออก

เวิร์นรีบหดมือกลับแล้วพุ่งไปด้านข้างทำให้ภาพหายไป มุสก็ผลักผมตามไปในขณะที่กำแพงสูงใหญ่ค่อยๆ เลื่อนขึ้น

คนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งขับยานพาหนะคล้ายช็อปเปอร์ แต่มีที่นั่งทางด้านข้างพ่วงมาอีกที่หนึ่ง พวกเขาออกมาจากเขตกำแพงนั้นแล้วก็หยุดรถรอรวมกลุ่มกันสังครู่ในขณะที่กำแพงเลื่อนปิดลง ตอนนั้นผมจึงได้โอกาสสังเกตเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ใส่หน้ากากกันฝุ่น แต่รอบตัวพวกเขามีแสงสีแดงเรืองครอบอยู่ คล้ายกับเขตเวทมนตร์ที่มุสเคยสร้างคุ้มกันผมไว้ แต่เป็นคนละสี

พวกเขาไม่ทันสังเกตเห็นเรา คงเป็นเพราะฝุ่นควันหนาทึบช่วยพรางตัวเราไว้ พอกำแพงปิดลงแล้วพวกเขาก็บิดช็อปเปอร์พุ่งออกไปตามถนนจนดูเหมือนกลุ่มแสงสีแดงที่เคลื่อนหายไปในกลุ่มควัน

“แปลว่าตรงนี้เป็นด้านหน้าสินะ” เวิร์นเอ่ยหลังจากที่ลุกยืนขึ้นได้แล้ว และกำลังปัดเนื้อปัดตัวอยู่

“ถ้าอย่างนั้น ตามแผนเราก็ต้องไปทางด้านขวา” ผมเอ่ยเรียบๆ พลางชะโงกไปทางด้านหลังคนนำทาง แต่ก็ยังไม่เห็นจุดสิ้นสุดของกำแพง

“แล้วจะรออะไรอยู่ล่ะ รีบไปสิ” มุสว่าพลางเดินฉึบฉับนำผมกับเวิร์นไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่