บทนี้สั้นหน่อยนะคะ บทหน้าจะได้ขึ้นเหตุการณ์ต่อไป
ความเดิม
ภาคห้า บทที่ ๑
https://ppantip.com/topic/40438663
ภาคห้า บทที่ ๕
https://ppantip.com/topic/40503116
###
บทที่ ๖
ทำไมทุกคนถึงต้องการข้ามมิติ
ต่างมิติ...ดินแดนที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัส ดินแดนอันน่าอัศจรรย์ แต่ก็เต็มไปด้วยอันตราย
ผมเองก็ชอบการข้ามมิติ การผจญภัยในดินแดนที่ไม่รู้จักทำให้ผมตื่นเต้น แต่หากไม่มีมุส ผมจะดิ้นรนหาทางข้ามมิติแบบปราบแดนหรือโอลีนรึเปล่า
ผมเหลือบมองไปที่เวิร์น หลังจากเล่าเรื่องซาฮาร์ให้ฟังเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย เขานั่งมองไปข้างหน้า แต่เหมือนไม่ได้จับจ้องอยู่ที่สิ่งใด ไม่รู้ว่าเวลานั้นเขายังมองเห็นห้องและผนังที่คุมขังตัวเองอยู่รึเปล่า
นาร์คูลบอกว่า เขาเป็นคนให้ไปตามหามุส เขารู้เรื่องมุสแค่ไหน แล้วทำไมจึงต้องบอกนาร์คูลอย่างนั้น
“ทำไม...ทำไมคุณถึงเลิกเป็นอินูเวล่ะ” ผมไม่ได้ถามคำถามที่อยู่ในหัว
เวิร์นเลิกคิ้วมองมา แล้วก็ยิ้มที่มุมปากแบบที่เขาชอบทำ “ทำไมรึ เจ้าคิดว่าเป็นอินูเวดีหรือ”
“เปล่าครับ ผมแค่...สงสัย” นึกถึงคำที่เขาย้อนถามกลับมาแล้วผมจึงถามเพิ่ม “อีกอย่าง ถ้าอินูเวไม่ดี ทำไมคุณถึงเป็นตั้งแต่แรกละครับ”
เวิร์นส่งเสียงขึ้นจมูก “เพราะตอนแรกข้าคิดว่ามันดีน่ะสิ” เขาตอบพลางคลำแหวนสีดำที่นิ้วหัวแม่มือ “มีเวทมนตร์ ทำอะไรได้มากกว่าคนทั่วไป ไม่ดีตรงไหน มันเป็นอาชีพในฝันของคนสมัยก่อนเลยนะ”
“แล้วตอนนี้ละครับ”
“ใครๆ ก็สาปแช่ง!”
“เพราะแผ่นดินไหวน่ะหรือครับ”
เวิร์นผงกศีรษะ “แต่นั่นมันหลังจากที่ข้าหนีออกไปแล้ว” เขาเอ่ยเรียบๆ “ตอนที่ข้าเป็นอินูเวฝึกหัด โอลีนคนก่อนไม่ได้ไร้มนุษยธรรมแบบนี้”
“โอลีน...มีคนก่อน คนปัจจุบันด้วยหรือครับ”
“ใช่ โอลีนเป็นตำแหน่งน่ะ พอโอลีนคนก่อนตายไป ก็มักจะแต่งตั้งมือขวาขึ้นมาแทนที่ ซึ่งหากซาฮาร์ไม่ตัดสินใจหนี เขาก็คือคนที่จะได้เป็นโอลีนคนต่อไป”
“แต่โอลีนคนนี้ไม่ดี”
เวิร์นถอนหายใจ “สมัยที่เขายังเป็นมือขวาของโอลีนคนก่อน เขาเป็นคนมุ่งมั่นตั้งใจ แต่...ไม่มีทีท่าว่าจะเป็นคนโหดเหี้ยม ตอนนั้นข้ายังชื่นชมเขาด้วยซ้ำ แต่พอขึ้นมาเป็นโอลีน เขาก็เปลี่ยนไป”
เวิร์นบอกว่า ในสมัยของโอลีนคนก่อน ก็มีการทดลองตัดต่อพันธุกรรม เพื่อให้ได้เด็กที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและความคิด แต่พอมาถึงสมัยของโอลีนคนปัจจุบัน เขาก็ให้แปรเปลี่ยนการทดลองนั้นเป็นการทดลองเพื่อให้ได้เด็กที่มีความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์ โดยไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์เพื่อสร้างพลังที่เรียกว่าเวทมตร์ ซึ่งจะทำให้เด็กเหล่านั้นใช้พลังได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าการใช้อุปกรณ์
ตัวอ่อนที่เกิดจากการทดลองนั้น หากสมบูรณ์ดีก็จะถูกนำไปพัฒนาต่อ แต่หากไม่สมบูรณ์ พิกลพิการในลักษณะใดก็ตาม มันจะถูกทำลายทิ้ง!
ตอนนั้นมีหลายคนไม่เห็นด้วย หลายคนที่คิดเหมือนกับเวิร์น เห็นว่าการทดลองนี้ขาดคุณธรรม และต้องการให้ล้มเลิกเสีย แต่โอลีนใช้วาทะเกลี้ยกล่อมคนเหล่านั้น บอกว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นเพื่อจะพัฒนาโลกให้รุ่งเรืองยิ่งขึ้น เด็กที่มีพลังพิเศษไร้ข้อจำกัดอาจจะไม่แก่ไม่ตายก็ได้ โลกจะไม่มีความทุกข์โศกอีกต่อไป
คนส่วนมากหลงเชื่อ แต่คนจำนวนหนึ่งยังคงคัดค้าน โอลีนก็ชักใยคนที่หลงเชื่อให้เป็นศัตรูกับกลุ่มคนที่คัดค้าน อินูเวแตกแยกเป็นสองฝ่าย แต่สุดท้าย เพื่อไม่ให้เกิดการต่อสู้บานปลาย กลุ่มคนที่คัดค้านจึงตัดสินใจออกจากฐาน
“ข้ากับซาฮาร์ทะเลาะกันก่อนที่ข้าจะออกจากฐาน” เวิร์นบอก “ซาฮาร์ก็เป็นคนหนึ่งที่หลงเชื่อโอลีนในตอนนั้น กระทั่งเกิดแผ่นดินไหวนั่นละ เขาจึงเข้าใจว่าโอลีนไม่ได้หวังดีต่อโลกอย่างแท้จริง”
ผมเงียบไป เวิร์นจึงหันมามองผม
“มุสบอกว่าที่มิติของเจ้าก็ต้องมีการตัดต่อพันธุกรรมตัวอ่อนมนุษย์”
“เอ่อ...ครับ”
“คงไม่เหมือนกับในมิตินี้กระมัง”
ผมเม้มริมฝีบาก ไม่ได้ตอบคำถามเขา ไม่รู้จะตอบอย่างไร มิติของผมมีการตัดต่อพันธุกรรมมานานแล้ว แต่ก่อนที่มันจะเป็นที่ยอมรับ ก่อนที่มันจะประสบความสำเร็จ มีการทดลองและทำลายตัวอ่อนที่อย่างที่เวิร์นว่ามาบ้างหรือไม่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
ระหว่างนั้นประตูก็ค่อยๆ เปิดออก ใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาในห้อง
เมื่อแรกผมยังไม่ได้เงยหน้ามองจึงคิดว่าคงเป็นคนชุดดำสักคน แต่พอผมหันกลับไปมองจริงๆ จึงพบว่าเป็นนาร์คูลคนหนึ่ง เสื้อคลุมสีดำของเขาดูยับและตุงแปลกๆ
เขายกนิ้วชี้แตะริมฝีปากเป็นสัญญาณให้ผมเงียบเสียงไว้ ผมไม่แน่ใจว่าเขาทำไปทำไม
เขาย่องเข้ามาใกล้ผมอีก ด้วยความระแวงและงุนงง ผมหันไปทางเวิร์นเป็นเชิงขอความเห็น แต่เขากลับยกนิ้วแตะปากเช่นกัน ผมไม่ทราบว่าเขาคิดอะไร แต่มุมปากและหางตาของเขามีรอยยิ้มขบขัน
พอนาร์คูลเข้ามาใกล้ในระยะมือเอื้อม เขาก็ยกมือปิดปากผม ผมตระหนกจึงดิ้นขัดขืนและส่งเสียงอู้อี้เล็กน้อย ทำให้โซ่ที่ล่ามแขนและขาผมอยู่กระทบกันเกิดเสียงดัง
ตอนนั้นเอง แสงสีดำก็กระจายออกคลุมร่างผมไว้เหมือนลูกโป่ง รู้สึกเหมือนอากาศบีบรัดตัวผมไว้จนร้องไม่ออก
“อยู่เฉยๆ” นาร์คูลกระซิบบอก แล้วเขาก็วางมือทาบห่วงเหล็กที่ล่ามข้อมือของผม ห่วงนั้นก็หลุดออก ผมจึงขยับข้อมือตัวเองเพื่อคลายเส้นที่ยึดเพราะข้อมือขยับไม่ได้มานาน สายตายังจ้องอยู่ที่เขาด้วยความฉงน
...นาร์คูลที่ผมรู้จักหรือ
พอปลดห่วงเหล็กที่ข้อเท้าของผมแล้ว เขาก็ไปช่วยปล่อยเวิร์น อดีตอินูเวค่อยๆ ลุกขึ้นโดยให้มีเสียงน้อยที่สุด
“ทำยังไง” นาร์คูลกระซิบถาม สายตาหลุกหลิกด้วยความระแวงและระวัง แต่ผมว่าคำถามของเขาน่าจะหมายถึง ‘เอายังไงต่อ’ มากกว่า
“เราต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด” เวิร์นตอบ เสียงเบากว่านาร์คูลเสียอีก
“เดี๋ยวก่อน ยังมีเจ้าอิมอีก มันถูกจับไว้ที่ไหนไม่รู้ ต้องช่วยมันก่อน” ผมท้วง พยายามลดเสียงให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้เช่นกัน
ทั้งเวิร์นและนาร์คูลหันมามองผมด้วยสายตามีคำถาม พวกเขาไม่รู้จักเจ้าอิม นาร์คูลเคยต่อสู้กับเจ้าอิม แต่ก็ไม่รู้จักชื่อมัน
“เจ้าอิมเป็นเพื่อนผม มันถูกจับมาจากมิติของผม”
คิ้วของเวิร์นขมวดเข้าหากัน สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา แต่เขาไม่ได้เอ่ยอะไร โอลีนอาจกำลังฟังอยู่ เราไม่ควรเสี่ยงคุยอะไรให้มากความ
“ม้าสีดำ ข้ารู้ว่าอยู่ที่ไหน” นาร์คูลบอก แล้วหันหลังก้าวย่องออกไปทางประตู
###
ติดตามต่อสัปดาห์หน้านะคะ
พันมิติ ภาคห้า (The Parallel Dimensions 5) บทที่ ๖
ความเดิม
ภาคห้า บทที่ ๑ https://ppantip.com/topic/40438663
ภาคห้า บทที่ ๕ https://ppantip.com/topic/40503116
###
บทที่ ๖
ทำไมทุกคนถึงต้องการข้ามมิติ
ต่างมิติ...ดินแดนที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัส ดินแดนอันน่าอัศจรรย์ แต่ก็เต็มไปด้วยอันตราย
ผมเองก็ชอบการข้ามมิติ การผจญภัยในดินแดนที่ไม่รู้จักทำให้ผมตื่นเต้น แต่หากไม่มีมุส ผมจะดิ้นรนหาทางข้ามมิติแบบปราบแดนหรือโอลีนรึเปล่า
ผมเหลือบมองไปที่เวิร์น หลังจากเล่าเรื่องซาฮาร์ให้ฟังเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย เขานั่งมองไปข้างหน้า แต่เหมือนไม่ได้จับจ้องอยู่ที่สิ่งใด ไม่รู้ว่าเวลานั้นเขายังมองเห็นห้องและผนังที่คุมขังตัวเองอยู่รึเปล่า
นาร์คูลบอกว่า เขาเป็นคนให้ไปตามหามุส เขารู้เรื่องมุสแค่ไหน แล้วทำไมจึงต้องบอกนาร์คูลอย่างนั้น
“ทำไม...ทำไมคุณถึงเลิกเป็นอินูเวล่ะ” ผมไม่ได้ถามคำถามที่อยู่ในหัว
เวิร์นเลิกคิ้วมองมา แล้วก็ยิ้มที่มุมปากแบบที่เขาชอบทำ “ทำไมรึ เจ้าคิดว่าเป็นอินูเวดีหรือ”
“เปล่าครับ ผมแค่...สงสัย” นึกถึงคำที่เขาย้อนถามกลับมาแล้วผมจึงถามเพิ่ม “อีกอย่าง ถ้าอินูเวไม่ดี ทำไมคุณถึงเป็นตั้งแต่แรกละครับ”
เวิร์นส่งเสียงขึ้นจมูก “เพราะตอนแรกข้าคิดว่ามันดีน่ะสิ” เขาตอบพลางคลำแหวนสีดำที่นิ้วหัวแม่มือ “มีเวทมนตร์ ทำอะไรได้มากกว่าคนทั่วไป ไม่ดีตรงไหน มันเป็นอาชีพในฝันของคนสมัยก่อนเลยนะ”
“แล้วตอนนี้ละครับ”
“ใครๆ ก็สาปแช่ง!”
“เพราะแผ่นดินไหวน่ะหรือครับ”
เวิร์นผงกศีรษะ “แต่นั่นมันหลังจากที่ข้าหนีออกไปแล้ว” เขาเอ่ยเรียบๆ “ตอนที่ข้าเป็นอินูเวฝึกหัด โอลีนคนก่อนไม่ได้ไร้มนุษยธรรมแบบนี้”
“โอลีน...มีคนก่อน คนปัจจุบันด้วยหรือครับ”
“ใช่ โอลีนเป็นตำแหน่งน่ะ พอโอลีนคนก่อนตายไป ก็มักจะแต่งตั้งมือขวาขึ้นมาแทนที่ ซึ่งหากซาฮาร์ไม่ตัดสินใจหนี เขาก็คือคนที่จะได้เป็นโอลีนคนต่อไป”
“แต่โอลีนคนนี้ไม่ดี”
เวิร์นถอนหายใจ “สมัยที่เขายังเป็นมือขวาของโอลีนคนก่อน เขาเป็นคนมุ่งมั่นตั้งใจ แต่...ไม่มีทีท่าว่าจะเป็นคนโหดเหี้ยม ตอนนั้นข้ายังชื่นชมเขาด้วยซ้ำ แต่พอขึ้นมาเป็นโอลีน เขาก็เปลี่ยนไป”
เวิร์นบอกว่า ในสมัยของโอลีนคนก่อน ก็มีการทดลองตัดต่อพันธุกรรม เพื่อให้ได้เด็กที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและความคิด แต่พอมาถึงสมัยของโอลีนคนปัจจุบัน เขาก็ให้แปรเปลี่ยนการทดลองนั้นเป็นการทดลองเพื่อให้ได้เด็กที่มีความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์ โดยไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์เพื่อสร้างพลังที่เรียกว่าเวทมตร์ ซึ่งจะทำให้เด็กเหล่านั้นใช้พลังได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าการใช้อุปกรณ์
ตัวอ่อนที่เกิดจากการทดลองนั้น หากสมบูรณ์ดีก็จะถูกนำไปพัฒนาต่อ แต่หากไม่สมบูรณ์ พิกลพิการในลักษณะใดก็ตาม มันจะถูกทำลายทิ้ง!
ตอนนั้นมีหลายคนไม่เห็นด้วย หลายคนที่คิดเหมือนกับเวิร์น เห็นว่าการทดลองนี้ขาดคุณธรรม และต้องการให้ล้มเลิกเสีย แต่โอลีนใช้วาทะเกลี้ยกล่อมคนเหล่านั้น บอกว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นเพื่อจะพัฒนาโลกให้รุ่งเรืองยิ่งขึ้น เด็กที่มีพลังพิเศษไร้ข้อจำกัดอาจจะไม่แก่ไม่ตายก็ได้ โลกจะไม่มีความทุกข์โศกอีกต่อไป
คนส่วนมากหลงเชื่อ แต่คนจำนวนหนึ่งยังคงคัดค้าน โอลีนก็ชักใยคนที่หลงเชื่อให้เป็นศัตรูกับกลุ่มคนที่คัดค้าน อินูเวแตกแยกเป็นสองฝ่าย แต่สุดท้าย เพื่อไม่ให้เกิดการต่อสู้บานปลาย กลุ่มคนที่คัดค้านจึงตัดสินใจออกจากฐาน
“ข้ากับซาฮาร์ทะเลาะกันก่อนที่ข้าจะออกจากฐาน” เวิร์นบอก “ซาฮาร์ก็เป็นคนหนึ่งที่หลงเชื่อโอลีนในตอนนั้น กระทั่งเกิดแผ่นดินไหวนั่นละ เขาจึงเข้าใจว่าโอลีนไม่ได้หวังดีต่อโลกอย่างแท้จริง”
ผมเงียบไป เวิร์นจึงหันมามองผม
“มุสบอกว่าที่มิติของเจ้าก็ต้องมีการตัดต่อพันธุกรรมตัวอ่อนมนุษย์”
“เอ่อ...ครับ”
“คงไม่เหมือนกับในมิตินี้กระมัง”
ผมเม้มริมฝีบาก ไม่ได้ตอบคำถามเขา ไม่รู้จะตอบอย่างไร มิติของผมมีการตัดต่อพันธุกรรมมานานแล้ว แต่ก่อนที่มันจะเป็นที่ยอมรับ ก่อนที่มันจะประสบความสำเร็จ มีการทดลองและทำลายตัวอ่อนที่อย่างที่เวิร์นว่ามาบ้างหรือไม่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
ระหว่างนั้นประตูก็ค่อยๆ เปิดออก ใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาในห้อง
เมื่อแรกผมยังไม่ได้เงยหน้ามองจึงคิดว่าคงเป็นคนชุดดำสักคน แต่พอผมหันกลับไปมองจริงๆ จึงพบว่าเป็นนาร์คูลคนหนึ่ง เสื้อคลุมสีดำของเขาดูยับและตุงแปลกๆ
เขายกนิ้วชี้แตะริมฝีปากเป็นสัญญาณให้ผมเงียบเสียงไว้ ผมไม่แน่ใจว่าเขาทำไปทำไม
เขาย่องเข้ามาใกล้ผมอีก ด้วยความระแวงและงุนงง ผมหันไปทางเวิร์นเป็นเชิงขอความเห็น แต่เขากลับยกนิ้วแตะปากเช่นกัน ผมไม่ทราบว่าเขาคิดอะไร แต่มุมปากและหางตาของเขามีรอยยิ้มขบขัน
พอนาร์คูลเข้ามาใกล้ในระยะมือเอื้อม เขาก็ยกมือปิดปากผม ผมตระหนกจึงดิ้นขัดขืนและส่งเสียงอู้อี้เล็กน้อย ทำให้โซ่ที่ล่ามแขนและขาผมอยู่กระทบกันเกิดเสียงดัง
ตอนนั้นเอง แสงสีดำก็กระจายออกคลุมร่างผมไว้เหมือนลูกโป่ง รู้สึกเหมือนอากาศบีบรัดตัวผมไว้จนร้องไม่ออก
“อยู่เฉยๆ” นาร์คูลกระซิบบอก แล้วเขาก็วางมือทาบห่วงเหล็กที่ล่ามข้อมือของผม ห่วงนั้นก็หลุดออก ผมจึงขยับข้อมือตัวเองเพื่อคลายเส้นที่ยึดเพราะข้อมือขยับไม่ได้มานาน สายตายังจ้องอยู่ที่เขาด้วยความฉงน
...นาร์คูลที่ผมรู้จักหรือ
พอปลดห่วงเหล็กที่ข้อเท้าของผมแล้ว เขาก็ไปช่วยปล่อยเวิร์น อดีตอินูเวค่อยๆ ลุกขึ้นโดยให้มีเสียงน้อยที่สุด
“ทำยังไง” นาร์คูลกระซิบถาม สายตาหลุกหลิกด้วยความระแวงและระวัง แต่ผมว่าคำถามของเขาน่าจะหมายถึง ‘เอายังไงต่อ’ มากกว่า
“เราต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด” เวิร์นตอบ เสียงเบากว่านาร์คูลเสียอีก
“เดี๋ยวก่อน ยังมีเจ้าอิมอีก มันถูกจับไว้ที่ไหนไม่รู้ ต้องช่วยมันก่อน” ผมท้วง พยายามลดเสียงให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้เช่นกัน
ทั้งเวิร์นและนาร์คูลหันมามองผมด้วยสายตามีคำถาม พวกเขาไม่รู้จักเจ้าอิม นาร์คูลเคยต่อสู้กับเจ้าอิม แต่ก็ไม่รู้จักชื่อมัน
“เจ้าอิมเป็นเพื่อนผม มันถูกจับมาจากมิติของผม”
คิ้วของเวิร์นขมวดเข้าหากัน สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา แต่เขาไม่ได้เอ่ยอะไร โอลีนอาจกำลังฟังอยู่ เราไม่ควรเสี่ยงคุยอะไรให้มากความ
“ม้าสีดำ ข้ารู้ว่าอยู่ที่ไหน” นาร์คูลบอก แล้วหันหลังก้าวย่องออกไปทางประตู
###
ติดตามต่อสัปดาห์หน้านะคะ