คู่เวร | 7
เอกชัยตัดสินใจกราบขอขมาหลวงศรีฯ เดินเข้าไปหาท่านด้วยความกล้าๆกลัวๆ
นำมาลัยวางแทบเท้า ก้มลงกราบ
“ข้าขออภัยขอรับ หลังจากนี้เป็นต้นไป..ข้าจักไม่แตะเนื้อต้องตัว จักไม่สบตา จักไม่กล่าววาจากับคุณหนูอีก”
คุณหญิงย่ากล่าวแทรก
“ไม่ต้องทำถึงเช่นนั้นดอก เพียงแต่อย่าหักห้ามจิตใจในสิ่งที่ตนต้องการ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลวงศรีอภัยภักดิ์ถึงกับกล่าววาจาตะคอก
“คุณแม่หมายถึงอนุญาตให้คล้อยรักพิกุลได้กระนั้นรึ”
“ข้ามิได้พูด เจ้าคิดเป็นเช่นไร ก็อย่างที่เจ้าคิด”
หลวงศรีอภัยภักดิ์แสดงสีหน้าอาการระงับความโกรธ
“ข้าจักให้อภัยเจ้า”
เอกชัยยิ้มแย้มดีใจ
“แต่………เจ้าจักต้องย้ายไปอาศัยที่เรือนไม้เล็กด้านหลัง”
ทุกคนต่างพากันมองที่ใบหน้าหลวงศรี แม่ชบากล่าววาจาว่า
“ทำถึงเช่นนั้นรึเจ้าค่ะ”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ”เสียงน้อยๆใสๆของแกมพิกุลโต้กลับต่อผู้เป็นบิดา
“หากเอกชัยอยู่ที่ใด ข้าจักอยู่ที่นั้นด้วย”
อาการโกรธเริ่มรุนแรงขึ้น
“ถ้ารักกันขนาดนี้ ทำไมไม่หอบเสื้อผ้าไปอยู่กับมันเลยเล่า”
“ถ้าพิกุลทำได้ คงทำไปนานแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
เหตุการณ์เริ่มไม่ดีขึ้นเรื่อย เอกชัยกล่าวแทรก
“อย่าเลยขอรับคุณหนู”
“ถ้าเจ้าจักไป…..ข้าก็จะให้ไป”
ทุกคนพร้อมใจกันหันมามองหน้าด้วยอาการตกใจ
“แต่นับแต่นี้ไป เจ้ากับพ่อขาดกัน”
แกมพิกุลหน้านิ่ง สบัดสไบฟาดหน้าบ่าว คุณย่านำมือมาวางไว้ที่อก
“ข้าไม่เคยเห็นแม่หญิงใดก้าวร้าวดังเช่นหลานข้า ผีป่าตนใดมาสิงร่างหลานข้ารึ”
“เป็นเพราะคุณแม่แหละขอรับ ยกยอตามใจจนได้การ”
“เจ้านี่ยอกย้อนเหมือนเด็กไม่มีผิด ลูกรักใคก็ควรสนับสนุน”
“แต่………”
“เหตุผลเดิมๆซ้ำซาก ข้าเบื่อจะฟัง”
เพลากลางคืน
สายลมหนาวพัดผ่านทำให้ใบไม้ปลิดปลิว อากาศเยือกเย็น ตะเกียงเทียนไฟรอบๆเรือนช่วยคลายความเย็น เพลานี้ชีวิตแกมพิกุลเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
“พ่อแม่อาจเตือนได้, ติได้, ชมคนที่ลูกชอบได้ แต่จะไปปั่นหัวให้ลูกอย่าไปรักกับคนที่พ่อแม่ไม่ชอบได้รือ? เพราะสิ่งใดก็ตามที่คนเรารักไปแล้ว มักหมดรักไม่ได้ทันที ยิ่งเพิ่งรักกันยิ่งยากจะทำใจ” หญิงสาวนั่งหมองเศร้าหน้าคันฉ่องพูดกับตนเอง
สลับมาที่หลวงศรีอภัยภักดิ์นั่งอารมณ์หงุดหงิด อีกทั้งยังโดนคุณย่าว่ากล่าวตักเตือน
“การที่พ่อแม่ต้องขัดใจลูกและกีดกันบ้าง โดยเฉพาะถ้าลูกเป็นบุตรสาว ย่อมพอเข้าใจว่า เพราะเป็นห่วงกลัวลูกจะเหนื่อยในชีวิตของการเป็นภรรยา ที่ต้องคอยปรนนิบัติสามีแต่ลืมไปหรือเปล่าว่า ลูกเลือกแบบนี้เอง จึงควรปล่อยให้ไปมีประสบการณ์ของตัวเอง เพราะไม่อย่างนั้น ต่อให้บุพการีพูดจนปากเปียก ปากแฉะ หรือยกความเลวร้ายของการกัดก้อนเกลือกินมาบรรยาย ลูกจะเชื่อเจ้ารึ? เพราะเรื่องพรรค์นี้โดยเฉพาะเมื่อผู้หญิงมีความรักความชอบใครสักคนแล้วใจ มันอยู่เหนือเหตุผลทั้งนั้นแหละ ยิ่งเจ้าเป็นชายคงไม่รับรู้ความรู้สึกหรอก”
“เหตุใดลูกจะไม่รับรู้ ยามลูกหนุ่มๆคุณแม่ก็มองว่าแม่ชบากระโดดโลดก้านไม่เหมาะมาเป็นสะใภ้”
“ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ย่อมอยากให้ลูกมีครอบครัวที่ดีเสมอ แม้นแม่จะมองว่าแม่ชบากระโดดโลดก้าน ไม่เหมาะมาเป็นภรรยาเจ้า แต่แม่ก็ไม่ได้กีดกั้นให้ลูกทั้งสองรักกัน แต่มาดูเจ้าดูว่าเอกชัยเป็นลูกผู้คิดทรยศ เหตุผลเจ้ามีแค่นี้รึ”
หลวงศรีฯครุ่นคิดอยู่พักใหญ่
“เจ้าคอยกีดกั้นขัดขวางความรักของลูก บาปหนักหนาเจ้ารู้ไหม พรหมลิขิตเขาทั้งสองให้คู่กัน แต่ดูเหมือนว่าเจ้าพรหมได้ลิขิตให้เกิดมาเป็นมารผจญ”
คำสั่งสอนที่แสบจี๊ดถึงทรวงในสามารถช่วยให้หลวงศรีคิดได้หรือไม่ โปรดติดตามชมตอนต่อไป
คู่เวร บทที่7
เอกชัยตัดสินใจกราบขอขมาหลวงศรีฯ เดินเข้าไปหาท่านด้วยความกล้าๆกลัวๆ
นำมาลัยวางแทบเท้า ก้มลงกราบ
“ข้าขออภัยขอรับ หลังจากนี้เป็นต้นไป..ข้าจักไม่แตะเนื้อต้องตัว จักไม่สบตา จักไม่กล่าววาจากับคุณหนูอีก”
คุณหญิงย่ากล่าวแทรก
“ไม่ต้องทำถึงเช่นนั้นดอก เพียงแต่อย่าหักห้ามจิตใจในสิ่งที่ตนต้องการ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลวงศรีอภัยภักดิ์ถึงกับกล่าววาจาตะคอก
“คุณแม่หมายถึงอนุญาตให้คล้อยรักพิกุลได้กระนั้นรึ”
“ข้ามิได้พูด เจ้าคิดเป็นเช่นไร ก็อย่างที่เจ้าคิด”
หลวงศรีอภัยภักดิ์แสดงสีหน้าอาการระงับความโกรธ
“ข้าจักให้อภัยเจ้า”
เอกชัยยิ้มแย้มดีใจ
“แต่………เจ้าจักต้องย้ายไปอาศัยที่เรือนไม้เล็กด้านหลัง”
ทุกคนต่างพากันมองที่ใบหน้าหลวงศรี แม่ชบากล่าววาจาว่า
“ทำถึงเช่นนั้นรึเจ้าค่ะ”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ”เสียงน้อยๆใสๆของแกมพิกุลโต้กลับต่อผู้เป็นบิดา
“หากเอกชัยอยู่ที่ใด ข้าจักอยู่ที่นั้นด้วย”
อาการโกรธเริ่มรุนแรงขึ้น
“ถ้ารักกันขนาดนี้ ทำไมไม่หอบเสื้อผ้าไปอยู่กับมันเลยเล่า”
“ถ้าพิกุลทำได้ คงทำไปนานแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
เหตุการณ์เริ่มไม่ดีขึ้นเรื่อย เอกชัยกล่าวแทรก
“อย่าเลยขอรับคุณหนู”
“ถ้าเจ้าจักไป…..ข้าก็จะให้ไป”
ทุกคนพร้อมใจกันหันมามองหน้าด้วยอาการตกใจ
“แต่นับแต่นี้ไป เจ้ากับพ่อขาดกัน”
แกมพิกุลหน้านิ่ง สบัดสไบฟาดหน้าบ่าว คุณย่านำมือมาวางไว้ที่อก
“ข้าไม่เคยเห็นแม่หญิงใดก้าวร้าวดังเช่นหลานข้า ผีป่าตนใดมาสิงร่างหลานข้ารึ”
“เป็นเพราะคุณแม่แหละขอรับ ยกยอตามใจจนได้การ”
“เจ้านี่ยอกย้อนเหมือนเด็กไม่มีผิด ลูกรักใคก็ควรสนับสนุน”
“แต่………”
“เหตุผลเดิมๆซ้ำซาก ข้าเบื่อจะฟัง”
เพลากลางคืน
สายลมหนาวพัดผ่านทำให้ใบไม้ปลิดปลิว อากาศเยือกเย็น ตะเกียงเทียนไฟรอบๆเรือนช่วยคลายความเย็น เพลานี้ชีวิตแกมพิกุลเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
“พ่อแม่อาจเตือนได้, ติได้, ชมคนที่ลูกชอบได้ แต่จะไปปั่นหัวให้ลูกอย่าไปรักกับคนที่พ่อแม่ไม่ชอบได้รือ? เพราะสิ่งใดก็ตามที่คนเรารักไปแล้ว มักหมดรักไม่ได้ทันที ยิ่งเพิ่งรักกันยิ่งยากจะทำใจ” หญิงสาวนั่งหมองเศร้าหน้าคันฉ่องพูดกับตนเอง
สลับมาที่หลวงศรีอภัยภักดิ์นั่งอารมณ์หงุดหงิด อีกทั้งยังโดนคุณย่าว่ากล่าวตักเตือน
“การที่พ่อแม่ต้องขัดใจลูกและกีดกันบ้าง โดยเฉพาะถ้าลูกเป็นบุตรสาว ย่อมพอเข้าใจว่า เพราะเป็นห่วงกลัวลูกจะเหนื่อยในชีวิตของการเป็นภรรยา ที่ต้องคอยปรนนิบัติสามีแต่ลืมไปหรือเปล่าว่า ลูกเลือกแบบนี้เอง จึงควรปล่อยให้ไปมีประสบการณ์ของตัวเอง เพราะไม่อย่างนั้น ต่อให้บุพการีพูดจนปากเปียก ปากแฉะ หรือยกความเลวร้ายของการกัดก้อนเกลือกินมาบรรยาย ลูกจะเชื่อเจ้ารึ? เพราะเรื่องพรรค์นี้โดยเฉพาะเมื่อผู้หญิงมีความรักความชอบใครสักคนแล้วใจ มันอยู่เหนือเหตุผลทั้งนั้นแหละ ยิ่งเจ้าเป็นชายคงไม่รับรู้ความรู้สึกหรอก”
“เหตุใดลูกจะไม่รับรู้ ยามลูกหนุ่มๆคุณแม่ก็มองว่าแม่ชบากระโดดโลดก้านไม่เหมาะมาเป็นสะใภ้”
“ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ย่อมอยากให้ลูกมีครอบครัวที่ดีเสมอ แม้นแม่จะมองว่าแม่ชบากระโดดโลดก้าน ไม่เหมาะมาเป็นภรรยาเจ้า แต่แม่ก็ไม่ได้กีดกั้นให้ลูกทั้งสองรักกัน แต่มาดูเจ้าดูว่าเอกชัยเป็นลูกผู้คิดทรยศ เหตุผลเจ้ามีแค่นี้รึ”
หลวงศรีฯครุ่นคิดอยู่พักใหญ่
“เจ้าคอยกีดกั้นขัดขวางความรักของลูก บาปหนักหนาเจ้ารู้ไหม พรหมลิขิตเขาทั้งสองให้คู่กัน แต่ดูเหมือนว่าเจ้าพรหมได้ลิขิตให้เกิดมาเป็นมารผจญ”
คำสั่งสอนที่แสบจี๊ดถึงทรวงในสามารถช่วยให้หลวงศรีคิดได้หรือไม่ โปรดติดตามชมตอนต่อไป