หนึ่งในร่างที่คุ้นเคยมากที่สุดของภูมิทัศน์ชนบททั่วสหราชอาณาจักรเช่นเดียวกับอีกหลายๆประเทศทั่วโลกคือ " หุ่นไล่กา " (scarecrow) ทหารรักษาการณ์เงียบ ๆ ที่มีรูปร่างที่น่ากลัวเหล่านี้ในชนบทถูกคาดหวังว่าจะไล่ศัตรูของพืชเช่น นก แต่ Colin Garratt ช่างภาพชาวอังกฤษพบว่า พวกมันน่ากลัวพอที่จะทำให้มนุษย์หวาดกลัวด้วย
“ เมื่ออยู่ท่ามกลางหุ่นไล่กาเราจะรู้สึกไม่สบายใจเหมือนถูกเฝ้าดู ” Colin Garratt กล่าว “ บางหุ่นมีความสมจริงและน่ากลัวจนดูเหมือนมีชีวิต”
“ พวกมันไม่ได้มาจากโลกแห่งความสวยงามของงานหัตถกรรมแห่งงานฝีมือ แต่เป็นผู้สืบเชื้อสายโดยตรงของอสุรกายโบราณ ที่คอยหลอกหลอนอยู่ตามภูมิประเทศมาหลายศตวรรษ ” เขากล่าวเสริม
ในขณะที่หุ่นไล่กาถูกใช้งานมานานหลายศตวรรษ ต้นกำเนิดและพัฒนาการของพวกมันถูกบดบังด้วยปริศนา นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าในช่วงยุคกลางหุ่นไล่กาในสหราชอาณาจักรเป็นเด็กหนุ่มที่เรียกว่า “scarecrow” ได้รับมอบหมายให้กำจัดนกออกจากพืชผล แต่เมื่อภัยพิบัติครั้งใหญ่ปี 1348 ได้กวาดล้างประชากรไปเกือบครึ่งหนึ่งในสหราชอาณาจักร เจ้าของที่ดินไม่สามารถหาเด็กหนุ่มได้มากพอที่จะจ้างคอยไล่นกได้ พวกเขาจึงยัดฟางลงในกระสอบ และวางหัวผักกาดหรือน้ำเต้าไว้ด้านบนเป็นใบหน้า จากนั้นทำเป็นรูปหุ่นไล่กายืนพิงเสาไว้
โดย Garratt ตั้งข้อสังเกตว่า “ หุ่นไล่กามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา แม้ว่าจะแต่งตัวดีกว่าในปัจจุบันก็ตาม ซึ่งในสมัยก่อนคนเร่ร่อนและคนจรจัดจะถอดเสื้อผ้าของหุ่นที่สภาพดีนำไปสวมใส่ "
หุ่นไล่กาใน North Carolina ในปี1938 โดย John Vachon (Cr.courtesy of the Library of Congress)
“ ความหลากหลายของหุ่นไล่กานั้นไม่มีที่สิ้นสุด และทุกตัวจะมีลักษณะของมัน ”
“ บางหุ่นยืนเฉยๆ บางหุ่นก็เคลื่อนไหวไปมาตามแรงกระเพื่อมของลม บางหุ่นก็ฝังลงไปในดินเหมือนต้นไม้ ในขณะที่อีกหลายหุ่นยืนกางขาโบกธงอยู่กลางทุ่ง "
" ลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งของวิวัฒนาการของหุ่นไล่กาคือการใช้ภาชนะพลาสติกร่วมกับวัสดุสมัยใหม่อื่น ๆ เช่น หน้ากากและหม้อทำอาหาร ผู้ที่สร้างหุ่นไล่กาบางคนเชื่อว่า ใบหน้าที่มีการแสดงออกเป็นปัจจัยสำคัญในการยับยั้งผู้ล่า ส่วนหุ่นอื่น ๆ จะอยู่ในลักษณะที่มีรูปแบบนามธรรมมากกว่า ”
“ ในช่วงเริ่มต้นปี หุ่นไล่กาที่ตั้งอยู่จะเป็นประธานในการหว่านเมล็ดพืชและข้าวสาลี แต่ในพายุฤดูหนาว ฝนที่ตกอย่างต่อเนื่อง และลูกเห็บที่พัดกระหน่ำทำให้หุ่นไล่กาจำนวนมากปลิวไปอยู่ในตำแหน่งแปลก ๆ เหมือนคนเมา หรือสูญเสียการควบคุม การทำให้พืชสุกมีความหมายอย่างชัดเจนว่างานของหุ่นไล่กาเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งจะมีเพียงไม่กี่หุ่นเท่านั้นที่อยู่มาจนงานสำเร็จลุล่วง เพราะเครื่องจักรในการเก็บเกี่ยวจะทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อพวกมัน ”
บางครั้งผู้คนที่เดินผ่านไปมาจะเข้ามาเล่นกับหุ่นไล่กา บางคนก็ทำลายมัน บางคนใช้พวกมันเป็นที่ซ่อนศพ หรือของขวัญที่ขโมยมาโดยซ่อนไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ตของพวกมัน แต่หุ่นไล่กาที่หน้าตาดีมักจะถูกขโมยไป
“ มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมากที่ได้เห็นหุ่นไล่กาตัวใหม่ๆ ” Garratt กล่าว “ อยากรู้ว่า มันจะมีหน้าไหม จะชั่วร้าย,มีความสุข -เศร้า, ก้าวร้าว, ดุร้ายหรือโง่เขลา หรือเป็นมิตร ”
โดยนิทรรศการรูปถ่ายหุ่นไล่กาของ Garratt ถูกจัดแสดงที่ Geddes Gallery ในลอนดอนเมื่อวันที่ 25 - 30 มีนาคม 2016 โดยมีการใช้คำว่า "หุ่นไล่กา" เป็นครั้งแรกในนวนิยายภาษาอังกฤษคือในปี 1719 ใน Robinson Crusoe ซึ่งเขียนโดย Daniel Defoe และหุ่นไล่กาที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ตัวละครในThe Wizard of Oz ที่กำลังค้นหาสมอง
หุ่นไล่กา PumpkinRot ซึ่งใช้วัสดุเช่น รากไม้และกิ่งไม้ที่ดูน่ากลัว เพื่อเข้าร่วมการประกวดออกแบบฮาโลวีนในท้องถิ่น
หุ่นไล่กามีมาตั้งแต่โลกโบราณโดยชาวนาใช้ในการไล่นกออกจากทุ่งนาเพื่อเก็บพืชผลก่อนที่มันจะเก็บเกี่ยว หุ่นไล่กาที่ถูกใช้จริงมาจากกรีกโบราณ
เป็นรูปปั้นไม้ที่แกะสลักวางไว้ในช่องเพื่อให้เป็นตัวแทนของ Priapus ลูกชายของ Dionysus และ Aphrodite (Priapus เป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์และพืชสวน) ซึ่ง Priapus ถูกมองว่าน่าเกลียดน่ากลัวและจุดเด่นที่สุดของเขาคือความซื่อสัตย์ที่แน่วแน่ ซึ่งพบว่านกมีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงทุ่งใด ๆ ที่มี Priapus อยู่ ดังนั้น รูปปั้นไม้ของ Priapus จึงถูกสร้างขึ้นในทุ่งเพื่อให้นกหนีไป
อย่างไรก็ตาม ชาวกรีกโบราณไม่ใช่ชนเดียวที่ใช้หุ่นไล่กา ในญี่ปุ่นยุคก่อนศักดินาก็มีหุ่นไล่กาในรูปแบบต่าง ๆ เกลื่อนทุ่งนา ที่นิยมมากที่สุดของหุ่นไล่กาที่ใช้ถูกเรียกว่า " kakashi " (แปลตามตัวอักษรว่า "สิ่งที่เหม็น") หุ่นไล่กาเหล่านี้ถูกสวมด้วยเศษผ้าเก่า ๆ และเครื่องทำเสียงเช่นระฆังที่สกปรก โดยนำไปผูกติดไว้บนเสาก่อนที่จะถูกจุดไฟ เนื่องจากควันและกลิ่นของคาคาชิที่เหม็น ทำให้นกจะอยู่ห่าง ๆทุ่งนา
จริงๆแล้ว Kakashi ถูกเรียกตามเทพญี่ปุ่นชื่อ Keubiko ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการเกษตรและภูมิปัญญา เขาไม่สามารถเดินได้แต่รู้ทุกอย่าง และรูปลักษณ์ของเขาถูกนำไปเลียนแบบในการสร้างคาคาชิ ต่อมา ชาวนาญี่ปุ่นก็เริ่มสร้างหุ่นไล่กาที่ดูเหมือนคนในเสื้อกันฝนและสวมหมวก บางครั้งก็มีอาวุธเพื่อให้ดูน่ากลัวยิ่งขึ้น
กลุ่มหุ่นไล่กาของญี่ปุ่น
หุ่นไล่กามีมานานกว่าที่คิด หุ่นไล่กาตัวแรกที่รู้จักกันในประวัติศาสตร์สร้างขึ้นเมื่อ 3,000 ปีก่อน และชาวอียิปต์ทำหุ่นไล่กาขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อปกป้องทุ่งข้าวสาลีของตนโดยเฉพาะริมแม่น้ำไนล์ นอกจากนั้น หุ่นไล่กายังพบในวัฒนธรรมของชาวอเมริกันพื้นเมืองในบางส่วนของ Virginia และ Carolinas ก่อนที่ชายผิวขาวจะมาถึง
โดยชายวัยผู้ใหญ่จะนั่งบนชานบ้าน และตะโกนใส่นกหรือสัตว์พื้นดินที่เข้ามาใกล้พืชผล ต่อมามีชนเผ่าพื้นเมืองบางคนค้นพบว่า การแช่เมล็ดข้าวโพดในส่วนผสมของสมุนไพรที่เป็นพิษนั้นสามารถยับยั้งนกได้เช่นกัน และในภาคตะวันตกเฉียงใต้ เด็ก ๆ ชาวอเมริกันพื้นเมืองบางคนมีการแข่งขันเพื่อดูว่าใครสามารถสร้างหุ่นไล่กาที่น่ากลัวที่สุดได้ และชนเผ่า Zuni ใช้เสาต้นซีดาร์ที่พันด้วยสายไฟและหนังสัตว์เพื่อกันนกออกไป
หุ่นไล่กายังมาถึงอเมริกาเหนือเมื่อกลุ่มผู้อพยพออกจากยุโรป โดยผู้ตั้งถิ่นฐานชาวเยอรมันใน Pennsylvania ได้นำ bootzamon หรือ " โบกี้แมน " (bogeyman) ใช้ยืนเฝ้าทุ่ง บางครั้งก็มีการเพิ่มหุ่นหญิงคู่ที่ปลายด้านตรงข้ามของสนามหรือสวนผลไม้
ในช่วงรุ่งเรืองของเกษตรกรรมของอเมริกา หุ่นไล่กากลายเป็นที่นิยม แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง เกษตรกรตระหนักว่าพวกเขาสามารถทำสิ่งต่างๆได้มากขึ้นโดยการฉีดพ่นพืชด้วยสารกำจัดศัตรูพืชเช่น ดีดีที สิ่งนี้ดำเนินต่อไปจนถึงปี 1960 จนพบว่าสารกำจัดศัตรูพืชไม่ดีต่อคน ปัจจุบันแม้ว่าจะไม่ค่อยเห็นหุ่นไล่กาเฝ้าทุ่งมากมายนัก แต่ก็เป็นที่นิยมอย่างมากในฐานะของประดับตกแต่งในฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งในชนบทของหลายประเทศก็ยังมีการใช้หุ่นไล่กา
หุ่นไล่กายังเป็นแรงบันดาลใจสำหรับภาพยนตร์สยองขวัญหลายเรื่อง เช่น Messengers 2 : The Scarecrow / คนเห็นโคตรผี 2 (2009),
Scarecrow หุ่นไล่กาผี (2013), SCARY STORIES TO TELL IN THE DARK คืนนี้มีสยอง (2019)
Husk (2011)
เป็นผลงานการกำกับของ Brett Simmons และมีนักแสดงมาร่วมประชันฝีมือกันได้แก่ Devon Graye, Wes Chatham, C.J Thomason, และ Tammin Sursok
Husk (2011) ไร่ข้าวโพด โหด-จิต-หลอน เป็นเรื่องราวของกลุ่มเพื่อน 5 คนได้แก่ สก็อต คริส ไบรอัน จอห์นี่ และนาตาลี กำลังขับรถผ่านไร่ข้าวโพดแต่แล้วจู่ๆรถก็ชนใส่อีกาที่บินมาตัดหน้า จากนั้นพวกเขาก็ได้สลบไป เมื่อตื่นขึ้นมาพวกเขาพบว่าเพื่อนคนหนึ่งได้หายตัวไป นั่นคือจอห์นนี่ พวกเขาเลยพากันไปตามหา
แต่เมื่อไปเจอจอห์นนี่ในบ้านเก่าๆที่คล้ายบ้านร้างในไร่ข้าวโพดเขาก็ได้พบว่าเพื่อนได้ตายกลายเป็นผีหุ่นไล่กาไปแล้ว พวกเขาได้พยายามช่วยกันหาทางออกเพื่อจะหนีจากไร่ข้าวโพดเพราะผีหุ่นไล่กากำลังไล่ล่าพวกเขา แต่แล้วเพื่อนๆก็ต่างก็พาคนโดนฆ่าทีละคนสองคนจนสุดท้ายเหลือเพียงแค่สก็อตที่หนีรอดออกมาได้
ที่มา The Guardian
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
หุ่นไล่กาที่น่ากลัวแห่ง Britain
“ เมื่ออยู่ท่ามกลางหุ่นไล่กาเราจะรู้สึกไม่สบายใจเหมือนถูกเฝ้าดู ” Colin Garratt กล่าว “ บางหุ่นมีความสมจริงและน่ากลัวจนดูเหมือนมีชีวิต”
“ พวกมันไม่ได้มาจากโลกแห่งความสวยงามของงานหัตถกรรมแห่งงานฝีมือ แต่เป็นผู้สืบเชื้อสายโดยตรงของอสุรกายโบราณ ที่คอยหลอกหลอนอยู่ตามภูมิประเทศมาหลายศตวรรษ ” เขากล่าวเสริม
ในขณะที่หุ่นไล่กาถูกใช้งานมานานหลายศตวรรษ ต้นกำเนิดและพัฒนาการของพวกมันถูกบดบังด้วยปริศนา นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าในช่วงยุคกลางหุ่นไล่กาในสหราชอาณาจักรเป็นเด็กหนุ่มที่เรียกว่า “scarecrow” ได้รับมอบหมายให้กำจัดนกออกจากพืชผล แต่เมื่อภัยพิบัติครั้งใหญ่ปี 1348 ได้กวาดล้างประชากรไปเกือบครึ่งหนึ่งในสหราชอาณาจักร เจ้าของที่ดินไม่สามารถหาเด็กหนุ่มได้มากพอที่จะจ้างคอยไล่นกได้ พวกเขาจึงยัดฟางลงในกระสอบ และวางหัวผักกาดหรือน้ำเต้าไว้ด้านบนเป็นใบหน้า จากนั้นทำเป็นรูปหุ่นไล่กายืนพิงเสาไว้
โดย Garratt ตั้งข้อสังเกตว่า “ หุ่นไล่กามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา แม้ว่าจะแต่งตัวดีกว่าในปัจจุบันก็ตาม ซึ่งในสมัยก่อนคนเร่ร่อนและคนจรจัดจะถอดเสื้อผ้าของหุ่นที่สภาพดีนำไปสวมใส่ "
“ บางหุ่นยืนเฉยๆ บางหุ่นก็เคลื่อนไหวไปมาตามแรงกระเพื่อมของลม บางหุ่นก็ฝังลงไปในดินเหมือนต้นไม้ ในขณะที่อีกหลายหุ่นยืนกางขาโบกธงอยู่กลางทุ่ง "
" ลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งของวิวัฒนาการของหุ่นไล่กาคือการใช้ภาชนะพลาสติกร่วมกับวัสดุสมัยใหม่อื่น ๆ เช่น หน้ากากและหม้อทำอาหาร ผู้ที่สร้างหุ่นไล่กาบางคนเชื่อว่า ใบหน้าที่มีการแสดงออกเป็นปัจจัยสำคัญในการยับยั้งผู้ล่า ส่วนหุ่นอื่น ๆ จะอยู่ในลักษณะที่มีรูปแบบนามธรรมมากกว่า ”
“ ในช่วงเริ่มต้นปี หุ่นไล่กาที่ตั้งอยู่จะเป็นประธานในการหว่านเมล็ดพืชและข้าวสาลี แต่ในพายุฤดูหนาว ฝนที่ตกอย่างต่อเนื่อง และลูกเห็บที่พัดกระหน่ำทำให้หุ่นไล่กาจำนวนมากปลิวไปอยู่ในตำแหน่งแปลก ๆ เหมือนคนเมา หรือสูญเสียการควบคุม การทำให้พืชสุกมีความหมายอย่างชัดเจนว่างานของหุ่นไล่กาเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งจะมีเพียงไม่กี่หุ่นเท่านั้นที่อยู่มาจนงานสำเร็จลุล่วง เพราะเครื่องจักรในการเก็บเกี่ยวจะทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อพวกมัน ”
บางครั้งผู้คนที่เดินผ่านไปมาจะเข้ามาเล่นกับหุ่นไล่กา บางคนก็ทำลายมัน บางคนใช้พวกมันเป็นที่ซ่อนศพ หรือของขวัญที่ขโมยมาโดยซ่อนไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ตของพวกมัน แต่หุ่นไล่กาที่หน้าตาดีมักจะถูกขโมยไป
“ มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมากที่ได้เห็นหุ่นไล่กาตัวใหม่ๆ ” Garratt กล่าว “ อยากรู้ว่า มันจะมีหน้าไหม จะชั่วร้าย,มีความสุข -เศร้า, ก้าวร้าว, ดุร้ายหรือโง่เขลา หรือเป็นมิตร ”
โดยนิทรรศการรูปถ่ายหุ่นไล่กาของ Garratt ถูกจัดแสดงที่ Geddes Gallery ในลอนดอนเมื่อวันที่ 25 - 30 มีนาคม 2016 โดยมีการใช้คำว่า "หุ่นไล่กา" เป็นครั้งแรกในนวนิยายภาษาอังกฤษคือในปี 1719 ใน Robinson Crusoe ซึ่งเขียนโดย Daniel Defoe และหุ่นไล่กาที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ตัวละครในThe Wizard of Oz ที่กำลังค้นหาสมอง
โดยชายวัยผู้ใหญ่จะนั่งบนชานบ้าน และตะโกนใส่นกหรือสัตว์พื้นดินที่เข้ามาใกล้พืชผล ต่อมามีชนเผ่าพื้นเมืองบางคนค้นพบว่า การแช่เมล็ดข้าวโพดในส่วนผสมของสมุนไพรที่เป็นพิษนั้นสามารถยับยั้งนกได้เช่นกัน และในภาคตะวันตกเฉียงใต้ เด็ก ๆ ชาวอเมริกันพื้นเมืองบางคนมีการแข่งขันเพื่อดูว่าใครสามารถสร้างหุ่นไล่กาที่น่ากลัวที่สุดได้ และชนเผ่า Zuni ใช้เสาต้นซีดาร์ที่พันด้วยสายไฟและหนังสัตว์เพื่อกันนกออกไป
หุ่นไล่กายังมาถึงอเมริกาเหนือเมื่อกลุ่มผู้อพยพออกจากยุโรป โดยผู้ตั้งถิ่นฐานชาวเยอรมันใน Pennsylvania ได้นำ bootzamon หรือ " โบกี้แมน " (bogeyman) ใช้ยืนเฝ้าทุ่ง บางครั้งก็มีการเพิ่มหุ่นหญิงคู่ที่ปลายด้านตรงข้ามของสนามหรือสวนผลไม้
ในช่วงรุ่งเรืองของเกษตรกรรมของอเมริกา หุ่นไล่กากลายเป็นที่นิยม แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง เกษตรกรตระหนักว่าพวกเขาสามารถทำสิ่งต่างๆได้มากขึ้นโดยการฉีดพ่นพืชด้วยสารกำจัดศัตรูพืชเช่น ดีดีที สิ่งนี้ดำเนินต่อไปจนถึงปี 1960 จนพบว่าสารกำจัดศัตรูพืชไม่ดีต่อคน ปัจจุบันแม้ว่าจะไม่ค่อยเห็นหุ่นไล่กาเฝ้าทุ่งมากมายนัก แต่ก็เป็นที่นิยมอย่างมากในฐานะของประดับตกแต่งในฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งในชนบทของหลายประเทศก็ยังมีการใช้หุ่นไล่กา