ก่อนอื่นต้องเกริ่นเลยว่าเราอยู่ญี่ปุ่นอยู่แล้วนะคะ เลยอยากจะมารีวิวและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้เพื่อนๆ ได้ดูรูป ซึมซับบรรยากาศการเที่ยวญี่ปุ่นให้หายคิดถึงกันไปบ้าง ลองไปเที่ยวพร้อมๆ กันเลย
ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นก็เริ่มเข้าฤดูใบไม้ร่วง เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีแดง เหลือง ส้มแล้ว ซึ่งถือเป็นช่วงที่การท่องเที่ยวคึกคักมากๆ ในปีที่ผ่านๆ มา แต่ในปีนี้สถานการณ์ท่องเที่ยวทั้งระหว่างประเทศหรือภายในประเทศญี่ปุ่นเองก็เงียบเหงากว่าปีอื่นๆ สถานการณ์การแพร่ระบาดในญี่ปุ่นถึงแม้ว่าจะยังคงต้องเฝ้าระวังอยู่ แต่ญี่ปุ่นเองก็มีมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัดในทั่วทุกพื้นที่ และช่วงนี้อุปกรณ์ป้องกันต่างๆ อย่างเช่น หน้ากากอนามัย หรือแอลกอฮอล์ล้างมือก็มีขายอยู่ตัวไป ไม่ขาดตลาดเหมือนช่วงแรกๆ แล้ว ทุกคนก็ค่อยๆ ปรับตัวในการใช้ชีวิตมากขึ้น ซึ่งช่วงที่ผ่านมาและในตอนนี้ญี่ปุ่นเองก็ได้มีแคมเปญท่องเที่ยว Go To ส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยรัฐจะช่วยออกค่าที่พัก รับส่วนลด 35% เมื่อจองที่พักภายในประเทศ ทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวเรื่องคึกคักขึ้นมาบ้าง
ซึ่งกระทู้นี้จะเป็นทริปต่อจากกระทู้ที่เราเคยรีวิวที่พักไปแล้ว วันนี้จะมารีวิวที่พักอีก พร้อมพาเที่ยว “วัดฮาเซเดระHasedera Temple” ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่จังหวัดนารา
และที่พักโอซาก้า เซไกโฮเทล ฟุเสะ SEKAI HOTEL Fuse ในตัวเมืองแบบเที่ยวง่ายเดินทางสะดวก สายชิว
โดยเราจะเริ่มออกเดินทางจากโอซาก้า จาก “สถานีฟุเสะ Fuse Station” ของรถไฟคินเท็ตสึ ใกล้โรงแรม SEKAI HOTEL Fuse กันเลย เดินทางจากสถานีใกล้ที่พัก SEKAI HOTEL Fuse จากสถานีฟุเสะ ได้โดยใช้เวลาเดินทาง 41 นาที
การเดินทาง : จาก สถานีรถไฟคินเท็ตสึ “สถานีฟุเสะ – Fuse Staion” ไป สถานีรถไฟคินเท็ตสึ “สถานีฮาเซเดระ-Hasedera Station” ไปซื้อตั๋วกันเลย เราจะอธิบายวิธีการซื้อตั๋วเดินทางอย่างง่ายให้ค่ะ
ก่อนอื่นก็ต้องเช็คราคาค่าเดินทางก่อน เช็คได้จากแผนผังที่อยู่บนเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ โดยเราจะต้องรู้ว่าสถานีที่เราจะไปชื่อว่าอะไร ครั้งนี้เราจะไปนาราเพราะฉะนั้นจะไปลงที่ “สถานีคินเท็ตสึ-ฮาเซเดระ” ค่าเดินทาง 700 เยน ต่อเที่ยว (หากไม่ทราบว่าต้องลงสถานีไหนก็สามารถสอบถามนายสถานี หรือค้นหาจากแอป Google map ในมือถือดูได้เลย) เมื่อรู้ราคาแล้วก็ไปกดที่ตู้เลย
วิธีซื้อตั๋ว – เริ่มจากกดปุ่มเปลี่ยนภาษาเป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นกด “Purchase ticket” ต่อไปก็กดค่าเดินทางตามปลายทาง ของเราคือ 700 เยน จากนั้นก็ใส่เหรียญหรือแบงค์ตามช่องใส่เงินเลย สุดท้ายรับตั๋วรถไฟ และเงินทอนได้เลย
และวิธีผ่านช่องตรวจตั๋วอัตโนมัติสำหรับตั๋วเดินทางแบบปกติ ขาเข้า ใส่ตั๋วในช่อง TICKET IN แล้วก็รับตั๋วที่ช่อง TAKE TICKET แล้วไปขึ้นรถไฟได้เลย (ส่วนขาออกแต่เสียบตั๋วเข้าเครื่องเท่านั้น)
รถไฟไปนาราจะออกจากชานชาลาหมายเลข 2 เพราะฉะนั้นขึ้นบันไดเลื่อนทางช่องสีน้ำเงินเลย
โดยจะใช้เวลาเดินทาง 41 นาที สำหรับรถไฟแบบ Express นั่งไปทั้งหมด 7 สถานี
รถไฟมาแล้ว ออกเดินทางกันเลย
แล้วเราก็เดินทางมาถึงสถานีฮาเซเดระเป็นที่เรียบร้อย ระหว่างทางวิ่งผ่านธรรมชาติ ภูเขา บรรยากาศสงบ สถานีนี้เป็นสถานีเล็กๆ ที่มีเสน่ห์มากๆ เหมือนได้มาย้อนรอยอนิเมะเรื่องไหนซักเรื่องเลย ช่วงนี้เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสียิ่งได้บรรยากาศ
หน้าสถานีเป็นแบบนี้เลย เป็นสถานีเล็กๆ ที่มีเสน่ห์ มีทั้งช่องจำหน่ายตั๋ว และเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ
(วิธีการเดินทางจากภายในชานชาลา ไปยังวัดฮาเซเดระ)
ใช้เวลาเดินเท้าจากสถานีไปวัดฮาเซเดระประมาณ 15 นาที (หากเป็นวันเสาร์อาทอยต์จะมีรถบัสระหว่างสถานีและวัด) แต่เดินก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบนะคะ เพราะว่าบรรยากาศดีมากๆ ไปเชื่อไปดูกันเลย
1. เมื่อลงจากรถไฟแล้วก็เดินไปตามทางออกไปทางซ้ายมือ
2. จากนั้นก็เดินออกจากช่องตรวจตั๋วและตรงไป
3. เดินลงบันไดที่มีป้ายที่มีหลังคาแบบนี้เลย
4. เมื่อเดินลงบันไดมาเรื่อยๆ จนสุดทางก็เดินไปทางซ้ายมือ
5. เดินลงเนินไปตามทางเรื่อยๆ
6. เมื่อออกมาสู่ถนนตัดผ่าน ก็เดินข้ามทางม้าลายตรงไป
และเดินข้ามสะพานนี้ไป เป็นยังไงคะ ระหว่างทางก็สวยได้บรรยากาศสุดๆ ยิ่งช่วงนี้อากาศกำลังพอดีไม่หนาวจนเกินไปด้วย
ไปต่อกันเลย
1.เมื่อเดินข้ามสะพานสีแดงนี้ไปแล้วก็เดินไปทางขวา
2.เดินไปตามทางเรื่อยๆ ผ่านอาคารบ้านเรือน บางบ้านเป็นทรงบ้านแบบโบราณ
3.เมื่อเดินมาตามทางเรื่อยๆ มาจนสุดทางก็เดินไปทางซ้ายมือ
4.และเดินไปตามทางจนสุดทางก็จะเดินมาถึงทางขึ้นวัดฮาเซเดระเลย
เมื่อขึ้นบันไดมาแล้วก็จะเจอจุดนั่งพักอยู่ทางขวามือก่อนเลย เดินขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อไปสู่ประตูทางเข้าหลัก ขนาดใหญ่ ที่จุดนี้จะเป็นจุดซื้อตั๋วเข้าบริเวณวัด ค่าบริการผู้ใหญ่ 500 เยนต่อคน ในช่วงนี้ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ก็มีมาตรการรับมืออย่างเคร่งครัด อย่างเช่น แอลกอฮอล์ล้างมือติดตั้งบริเวณทางเข้า
และนี่ก็คือประตูทางเข้าหลัก“นิโอมง (Niomon Gate)” ประตูไม้ขนาดใหญ่
วัดฮาเซเดระ เป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า 1000 ปี ประดิษฐานของเจ้าแก่กวนอิน 11 พักตร์ หรือพระโพธิสัตว์กวนอิม 11 เศียร สลักไม้สูงกว่า 10 เมตร ซึ่งนอกจากจะได้สักการะ และชมความสวยงามของอาคารวัดแล้ว ยังสามารถเพลิดเพลินกับธรรมชาติได้ทุกฤดูโดยเฉพาะ ฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วง อีกทั้งยังมีดอกโบตั๋นกว่า 7,000 ต้นอีกด้วย
เมื่อซื้อตั๋วแล้ว ก็เดินเข้าไปในบริเวณวัดกันเลย ภายในวัดจะเป็นเส้นทางในภูเขาใช้เวลาเดินประมาณ 30-40 นาที อาจจะดูนานแต่นานในมือมุมสวยๆ และล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติ อีกทั้งยังนั่งพักระหว่างทางได้เลย
และนี้ก็คือก็คือบันไดทางขึ้นบันไดไปยังอาคารอุโบสถประดิษฐานเจ้าแก่กวนอิน 11 พักตร์ เป็นขั้นบันไดหินกว่า 400 ขั้น เห็นตัวเลขแล้วอาจจะตกใจ แต่ขั้นบันไดเป็นขั้นเล็กๆ ที่เดินง่ายค่ะ คนแก่มากันเยอะพอสมควรเลยค่ะ
ระหว่างทางขึ้นก็มีมุมต่างๆ ให้ได้ชม ทั้งจุดชำระล้างร่างกาย ที่โดยปกติแล้วจะมีกระบวยวางอยู่ แต่เนื่องจากป้องกันการปพร่ระบาดจึงงดการใช้กระบวยร่วมกันชั่วคราว บริเวณด้านข้างก็มีโคมหินอยู่ตลอดทาง พร้อมล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติ ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีนี้ชมใบไม้เปลี่ยนเป็นสีแดง ส้ม เหลืองสวยมากๆ
ระหว่างเดินขึ้นพระท่านเดินสวนด้วยค่ะ ที่นี้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมด้วยค่ะ
และที่เห็นอยู่ไกลๆ นี้ก็คืออาคารอุโบสถหลักของวัด ประดิษฐานเจ้าแก่กวนอิน 11 พักตร์ บรรยากาศเหมือนวัดน้ำใสที่เกียวโตเลยค่ะ
และนี่ก็คือภายในอาคารอุโบสถ ทางด้านหลักนี้ก็คือจุดประดิษฐานเจ้าแก่กวนอิน 11 พักตร์ค่ะ แต่ส่วนนี้ห้ามถ่ายรูปค่ะ วิวอีกด้านที่ถ่ายออกไปจากอาคารสวยมากๆ
หากต้องการเดินไปด้านในสุดของอาคารจุดประดิษฐานเจ้าแก่กวนอิน 11 พักตร์ ชมแบบใกล้ๆ และสัมผัสฝ่าเท้าโดยตรง จะต้องเสียค่าเข้าเพิ่มอีก 1000 เยนค่ะ แต่ไม่เสียก็สามารถชมความยิ่งใหญ่ของพระพุธทรูป และกราบไหว้ได้เช่นกัน
ด้านนอกวิวบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสี เดินไปด้านซ้ายมือเพื่อไปจุดชมวิวกันเลย
ตัวอาคารอุโบสถนี้จะมีระเบียงที่ยื่นออกไปชมวิวธรรมชาติบริเวณรอบๆ ได้
อย่างที่บอกไป เห็นระเบียงวัดแบบนี้แล้ว ทำให้นึกถึงวัดน้ำใส หรือวัดคิโยมิสุที่เกียวโตเลยค่ะ ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติคล้ายๆ กันเลยทีเดียว
และบริเวณมุมหนึ่งของวัดมีเจดีย์ห้าชั้นที่มองเห็นจากระเบียงนี้ด้วย
โคมไฟของวัดนี้จะแตกต่างออกไปจากวัดอื่นๆ เลย ส่วนมากที่เห็นก็จะเป็นสีแดง ที่จุดจำหน่ายเครื่องราง ของขลัง และของที่ระลึก มีเครื่องรางทรงโคมไฟแบบนี้พร้อมสลักชื่อวัดด้วย
ธรรมชาติช่วงนี้ก็จะพิเศษกว่าช่วงอื่นๆ เพราะว่าใบไม้กำลังเปลี่ยนสีแบบนี้พอดีเลย
ไม่ว่ามุมไหนๆ ก็สวยมากๆ ใบไม้เปลี่ยนสีผสมผสานกับอาคารวัด และโคมของวัด
และนี้ก็คือบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสีตามมุมๆ ต่างๆ ในช่วงนี้ เราไปช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายน เป็นช่วงที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีเต็มที่พอดี แต่จะเป็นช่วงที่ใบไม้บางส่วนร่วงไปเกือบหมดแล้วค่ะ
ใบไม้เปลี่ยนสีในแต่ละที่ก็จะแตกต่างกันออกไป บางต้นก็สีแดงสด บางต้นยังสีเขียวอยู่เลยค่ะ ถ้าได้มาญี่ปุ่นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี อย่างที่วัดนี้ก็อยู่ในช่วงประมาณ กลางเดือนพฤศจิกายน ไปจนถึงประมาณกลางเดือนธันวาคม
เดินออกจากอาคารอุโบสถหลักแล้ว ก็เดินไปตามทางไปยังเจดีย์ห้าชั้น ที่เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวของวัดนี้เลย
เจดีย์ห้าชั้น คู่กับใบไม้เปลี่ยนสี ในช่วงเย็นแบบนี้ เสน่ห์ของญี่ปุ่นที่เราชอบมากๆ
มุมอาคารอุโบสถจากจุดชมวิวใกล้เจดีย์ห้าชั้น ใบไม้ร่วงไปเยอะเลย
แต่ก็ยังมีมุมสวยๆ อยู่ ลองเดินหาดูเพลินๆ ลืมไปเลยค่ะว่าเดินมาเกือบชั่วโมงแล้ว ชมเสร็จแล้วก็เดินออกจากวัดกันเลย
นอกจากเสน่ห์ของวัดฮาเซเดระแล้ว อีกจุดหนึ่งที่มีเสน่ห์มากๆ เลยก็คือ ร้านค้าต่างๆ ระหว่างทางไปวัดค่ะ มีทั้งร้านอาหาร ร้านขายของฝาก และร้านขายขนมต่างๆ มีขนมท้องถิ่นขายด้วย
บริเวณนี้มีที่พักอยู่หลายที่เหมือนกันค่ะ แต่ช่วงนี้บริเวณนี้ที่พักปิดให้บริการชั่วคราวอยู่เยอะเลย แต่จะเปิดให้บริการส่วนอื่นๆ แทน
ร้านค้าเรียงรายอยู่ตลอดทางแบบนี้เลย เหมือนคนใส่ชุดกิโมโนแบบนี้อยู่ 2-3 คนเลยครั้งนี้
<img class="img-in-post in-tiny-editor">
มีต่อในคอมเม้นต์นะคะ
[CR] ญี่ปุ่นพาเที่ยว! ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ “วัดฮาเซเดระ” ในจังหวัดนารา และรีวิวที่พักโอซาก้า SEKAI HOTEL Fuse
ก่อนอื่นต้องเกริ่นเลยว่าเราอยู่ญี่ปุ่นอยู่แล้วนะคะ เลยอยากจะมารีวิวและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้เพื่อนๆ ได้ดูรูป ซึมซับบรรยากาศการเที่ยวญี่ปุ่นให้หายคิดถึงกันไปบ้าง ลองไปเที่ยวพร้อมๆ กันเลย
ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นก็เริ่มเข้าฤดูใบไม้ร่วง เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีแดง เหลือง ส้มแล้ว ซึ่งถือเป็นช่วงที่การท่องเที่ยวคึกคักมากๆ ในปีที่ผ่านๆ มา แต่ในปีนี้สถานการณ์ท่องเที่ยวทั้งระหว่างประเทศหรือภายในประเทศญี่ปุ่นเองก็เงียบเหงากว่าปีอื่นๆ สถานการณ์การแพร่ระบาดในญี่ปุ่นถึงแม้ว่าจะยังคงต้องเฝ้าระวังอยู่ แต่ญี่ปุ่นเองก็มีมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัดในทั่วทุกพื้นที่ และช่วงนี้อุปกรณ์ป้องกันต่างๆ อย่างเช่น หน้ากากอนามัย หรือแอลกอฮอล์ล้างมือก็มีขายอยู่ตัวไป ไม่ขาดตลาดเหมือนช่วงแรกๆ แล้ว ทุกคนก็ค่อยๆ ปรับตัวในการใช้ชีวิตมากขึ้น ซึ่งช่วงที่ผ่านมาและในตอนนี้ญี่ปุ่นเองก็ได้มีแคมเปญท่องเที่ยว Go To ส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยรัฐจะช่วยออกค่าที่พัก รับส่วนลด 35% เมื่อจองที่พักภายในประเทศ ทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวเรื่องคึกคักขึ้นมาบ้าง
ซึ่งกระทู้นี้จะเป็นทริปต่อจากกระทู้ที่เราเคยรีวิวที่พักไปแล้ว วันนี้จะมารีวิวที่พักอีก พร้อมพาเที่ยว “วัดฮาเซเดระHasedera Temple” ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่จังหวัดนารา
และที่พักโอซาก้า เซไกโฮเทล ฟุเสะ SEKAI HOTEL Fuse ในตัวเมืองแบบเที่ยวง่ายเดินทางสะดวก สายชิว
โดยเราจะเริ่มออกเดินทางจากโอซาก้า จาก “สถานีฟุเสะ Fuse Station” ของรถไฟคินเท็ตสึ ใกล้โรงแรม SEKAI HOTEL Fuse กันเลย เดินทางจากสถานีใกล้ที่พัก SEKAI HOTEL Fuse จากสถานีฟุเสะ ได้โดยใช้เวลาเดินทาง 41 นาที
การเดินทาง : จาก สถานีรถไฟคินเท็ตสึ “สถานีฟุเสะ – Fuse Staion” ไป สถานีรถไฟคินเท็ตสึ “สถานีฮาเซเดระ-Hasedera Station” ไปซื้อตั๋วกันเลย เราจะอธิบายวิธีการซื้อตั๋วเดินทางอย่างง่ายให้ค่ะ
ก่อนอื่นก็ต้องเช็คราคาค่าเดินทางก่อน เช็คได้จากแผนผังที่อยู่บนเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ โดยเราจะต้องรู้ว่าสถานีที่เราจะไปชื่อว่าอะไร ครั้งนี้เราจะไปนาราเพราะฉะนั้นจะไปลงที่ “สถานีคินเท็ตสึ-ฮาเซเดระ” ค่าเดินทาง 700 เยน ต่อเที่ยว (หากไม่ทราบว่าต้องลงสถานีไหนก็สามารถสอบถามนายสถานี หรือค้นหาจากแอป Google map ในมือถือดูได้เลย) เมื่อรู้ราคาแล้วก็ไปกดที่ตู้เลย
วิธีซื้อตั๋ว – เริ่มจากกดปุ่มเปลี่ยนภาษาเป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นกด “Purchase ticket” ต่อไปก็กดค่าเดินทางตามปลายทาง ของเราคือ 700 เยน จากนั้นก็ใส่เหรียญหรือแบงค์ตามช่องใส่เงินเลย สุดท้ายรับตั๋วรถไฟ และเงินทอนได้เลย
และวิธีผ่านช่องตรวจตั๋วอัตโนมัติสำหรับตั๋วเดินทางแบบปกติ ขาเข้า ใส่ตั๋วในช่อง TICKET IN แล้วก็รับตั๋วที่ช่อง TAKE TICKET แล้วไปขึ้นรถไฟได้เลย (ส่วนขาออกแต่เสียบตั๋วเข้าเครื่องเท่านั้น)
รถไฟไปนาราจะออกจากชานชาลาหมายเลข 2 เพราะฉะนั้นขึ้นบันไดเลื่อนทางช่องสีน้ำเงินเลย
โดยจะใช้เวลาเดินทาง 41 นาที สำหรับรถไฟแบบ Express นั่งไปทั้งหมด 7 สถานี
รถไฟมาแล้ว ออกเดินทางกันเลย
แล้วเราก็เดินทางมาถึงสถานีฮาเซเดระเป็นที่เรียบร้อย ระหว่างทางวิ่งผ่านธรรมชาติ ภูเขา บรรยากาศสงบ สถานีนี้เป็นสถานีเล็กๆ ที่มีเสน่ห์มากๆ เหมือนได้มาย้อนรอยอนิเมะเรื่องไหนซักเรื่องเลย ช่วงนี้เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสียิ่งได้บรรยากาศ
หน้าสถานีเป็นแบบนี้เลย เป็นสถานีเล็กๆ ที่มีเสน่ห์ มีทั้งช่องจำหน่ายตั๋ว และเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ
(วิธีการเดินทางจากภายในชานชาลา ไปยังวัดฮาเซเดระ)
ใช้เวลาเดินเท้าจากสถานีไปวัดฮาเซเดระประมาณ 15 นาที (หากเป็นวันเสาร์อาทอยต์จะมีรถบัสระหว่างสถานีและวัด) แต่เดินก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบนะคะ เพราะว่าบรรยากาศดีมากๆ ไปเชื่อไปดูกันเลย
1. เมื่อลงจากรถไฟแล้วก็เดินไปตามทางออกไปทางซ้ายมือ
2. จากนั้นก็เดินออกจากช่องตรวจตั๋วและตรงไป
3. เดินลงบันไดที่มีป้ายที่มีหลังคาแบบนี้เลย
4. เมื่อเดินลงบันไดมาเรื่อยๆ จนสุดทางก็เดินไปทางซ้ายมือ
5. เดินลงเนินไปตามทางเรื่อยๆ
6. เมื่อออกมาสู่ถนนตัดผ่าน ก็เดินข้ามทางม้าลายตรงไป
และเดินข้ามสะพานนี้ไป เป็นยังไงคะ ระหว่างทางก็สวยได้บรรยากาศสุดๆ ยิ่งช่วงนี้อากาศกำลังพอดีไม่หนาวจนเกินไปด้วย
ไปต่อกันเลย
1.เมื่อเดินข้ามสะพานสีแดงนี้ไปแล้วก็เดินไปทางขวา
2.เดินไปตามทางเรื่อยๆ ผ่านอาคารบ้านเรือน บางบ้านเป็นทรงบ้านแบบโบราณ
3.เมื่อเดินมาตามทางเรื่อยๆ มาจนสุดทางก็เดินไปทางซ้ายมือ
4.และเดินไปตามทางจนสุดทางก็จะเดินมาถึงทางขึ้นวัดฮาเซเดระเลย
เมื่อขึ้นบันไดมาแล้วก็จะเจอจุดนั่งพักอยู่ทางขวามือก่อนเลย เดินขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อไปสู่ประตูทางเข้าหลัก ขนาดใหญ่ ที่จุดนี้จะเป็นจุดซื้อตั๋วเข้าบริเวณวัด ค่าบริการผู้ใหญ่ 500 เยนต่อคน ในช่วงนี้ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ก็มีมาตรการรับมืออย่างเคร่งครัด อย่างเช่น แอลกอฮอล์ล้างมือติดตั้งบริเวณทางเข้า
และนี่ก็คือประตูทางเข้าหลัก“นิโอมง (Niomon Gate)” ประตูไม้ขนาดใหญ่
วัดฮาเซเดระ เป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า 1000 ปี ประดิษฐานของเจ้าแก่กวนอิน 11 พักตร์ หรือพระโพธิสัตว์กวนอิม 11 เศียร สลักไม้สูงกว่า 10 เมตร ซึ่งนอกจากจะได้สักการะ และชมความสวยงามของอาคารวัดแล้ว ยังสามารถเพลิดเพลินกับธรรมชาติได้ทุกฤดูโดยเฉพาะ ฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วง อีกทั้งยังมีดอกโบตั๋นกว่า 7,000 ต้นอีกด้วย
เมื่อซื้อตั๋วแล้ว ก็เดินเข้าไปในบริเวณวัดกันเลย ภายในวัดจะเป็นเส้นทางในภูเขาใช้เวลาเดินประมาณ 30-40 นาที อาจจะดูนานแต่นานในมือมุมสวยๆ และล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติ อีกทั้งยังนั่งพักระหว่างทางได้เลย
และนี้ก็คือก็คือบันไดทางขึ้นบันไดไปยังอาคารอุโบสถประดิษฐานเจ้าแก่กวนอิน 11 พักตร์ เป็นขั้นบันไดหินกว่า 400 ขั้น เห็นตัวเลขแล้วอาจจะตกใจ แต่ขั้นบันไดเป็นขั้นเล็กๆ ที่เดินง่ายค่ะ คนแก่มากันเยอะพอสมควรเลยค่ะ
ระหว่างทางขึ้นก็มีมุมต่างๆ ให้ได้ชม ทั้งจุดชำระล้างร่างกาย ที่โดยปกติแล้วจะมีกระบวยวางอยู่ แต่เนื่องจากป้องกันการปพร่ระบาดจึงงดการใช้กระบวยร่วมกันชั่วคราว บริเวณด้านข้างก็มีโคมหินอยู่ตลอดทาง พร้อมล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติ ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีนี้ชมใบไม้เปลี่ยนเป็นสีแดง ส้ม เหลืองสวยมากๆ
ระหว่างเดินขึ้นพระท่านเดินสวนด้วยค่ะ ที่นี้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมด้วยค่ะ
และที่เห็นอยู่ไกลๆ นี้ก็คืออาคารอุโบสถหลักของวัด ประดิษฐานเจ้าแก่กวนอิน 11 พักตร์ บรรยากาศเหมือนวัดน้ำใสที่เกียวโตเลยค่ะ
และนี่ก็คือภายในอาคารอุโบสถ ทางด้านหลักนี้ก็คือจุดประดิษฐานเจ้าแก่กวนอิน 11 พักตร์ค่ะ แต่ส่วนนี้ห้ามถ่ายรูปค่ะ วิวอีกด้านที่ถ่ายออกไปจากอาคารสวยมากๆ
หากต้องการเดินไปด้านในสุดของอาคารจุดประดิษฐานเจ้าแก่กวนอิน 11 พักตร์ ชมแบบใกล้ๆ และสัมผัสฝ่าเท้าโดยตรง จะต้องเสียค่าเข้าเพิ่มอีก 1000 เยนค่ะ แต่ไม่เสียก็สามารถชมความยิ่งใหญ่ของพระพุธทรูป และกราบไหว้ได้เช่นกัน
ด้านนอกวิวบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสี เดินไปด้านซ้ายมือเพื่อไปจุดชมวิวกันเลย
ตัวอาคารอุโบสถนี้จะมีระเบียงที่ยื่นออกไปชมวิวธรรมชาติบริเวณรอบๆ ได้
อย่างที่บอกไป เห็นระเบียงวัดแบบนี้แล้ว ทำให้นึกถึงวัดน้ำใส หรือวัดคิโยมิสุที่เกียวโตเลยค่ะ ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติคล้ายๆ กันเลยทีเดียว
และบริเวณมุมหนึ่งของวัดมีเจดีย์ห้าชั้นที่มองเห็นจากระเบียงนี้ด้วย
โคมไฟของวัดนี้จะแตกต่างออกไปจากวัดอื่นๆ เลย ส่วนมากที่เห็นก็จะเป็นสีแดง ที่จุดจำหน่ายเครื่องราง ของขลัง และของที่ระลึก มีเครื่องรางทรงโคมไฟแบบนี้พร้อมสลักชื่อวัดด้วย
ธรรมชาติช่วงนี้ก็จะพิเศษกว่าช่วงอื่นๆ เพราะว่าใบไม้กำลังเปลี่ยนสีแบบนี้พอดีเลย
ไม่ว่ามุมไหนๆ ก็สวยมากๆ ใบไม้เปลี่ยนสีผสมผสานกับอาคารวัด และโคมของวัด
และนี้ก็คือบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสีตามมุมๆ ต่างๆ ในช่วงนี้ เราไปช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายน เป็นช่วงที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีเต็มที่พอดี แต่จะเป็นช่วงที่ใบไม้บางส่วนร่วงไปเกือบหมดแล้วค่ะ
ใบไม้เปลี่ยนสีในแต่ละที่ก็จะแตกต่างกันออกไป บางต้นก็สีแดงสด บางต้นยังสีเขียวอยู่เลยค่ะ ถ้าได้มาญี่ปุ่นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี อย่างที่วัดนี้ก็อยู่ในช่วงประมาณ กลางเดือนพฤศจิกายน ไปจนถึงประมาณกลางเดือนธันวาคม
เดินออกจากอาคารอุโบสถหลักแล้ว ก็เดินไปตามทางไปยังเจดีย์ห้าชั้น ที่เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวของวัดนี้เลย
เจดีย์ห้าชั้น คู่กับใบไม้เปลี่ยนสี ในช่วงเย็นแบบนี้ เสน่ห์ของญี่ปุ่นที่เราชอบมากๆ
มุมอาคารอุโบสถจากจุดชมวิวใกล้เจดีย์ห้าชั้น ใบไม้ร่วงไปเยอะเลย
แต่ก็ยังมีมุมสวยๆ อยู่ ลองเดินหาดูเพลินๆ ลืมไปเลยค่ะว่าเดินมาเกือบชั่วโมงแล้ว ชมเสร็จแล้วก็เดินออกจากวัดกันเลย
นอกจากเสน่ห์ของวัดฮาเซเดระแล้ว อีกจุดหนึ่งที่มีเสน่ห์มากๆ เลยก็คือ ร้านค้าต่างๆ ระหว่างทางไปวัดค่ะ มีทั้งร้านอาหาร ร้านขายของฝาก และร้านขายขนมต่างๆ มีขนมท้องถิ่นขายด้วย
บริเวณนี้มีที่พักอยู่หลายที่เหมือนกันค่ะ แต่ช่วงนี้บริเวณนี้ที่พักปิดให้บริการชั่วคราวอยู่เยอะเลย แต่จะเปิดให้บริการส่วนอื่นๆ แทน
ร้านค้าเรียงรายอยู่ตลอดทางแบบนี้เลย เหมือนคนใส่ชุดกิโมโนแบบนี้อยู่ 2-3 คนเลยครั้งนี้
<img class="img-in-post in-tiny-editor">
มีต่อในคอมเม้นต์นะคะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้