"7 เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์โลก"

1.การปฏิวัติอเมริกา
     สำหรับหลาย ๆ คนเหตุการณ์นี้ล้วนแล้วแต่มีความเกี่ยวข้องกับทุกประเทศทั้งหมด ถึงกระนั้นคลื่นจากเหตุการณ์นี้ก็ยังคงมีอยู่ในปัจจุบันการปฏิวัติอเมริกา (ค.ศ. 1775-1783) ได้นำแนวคิดมากมายจากอารยธรรมยุคแรก ๆ ของกรีกและโรมมารวมเข้ากับคัมภีร์ไบเบิลของคริสเตียนเพื่อต่อต้านผู้มีอำนาจที่ไม่ยอมลดละ(คือราชอาณาจักรบริเทนใหญ่ซึ่งปกครองอเมริกาในฐานะเมืองขึ้นและขูดรีดภาษีจนเกิดการต่อต้าน) พวกเขาเชื่อว่าผู้ชายทุกคน (แม้ว่าในเวลานั้นคำพูดนั้นจะดูไม่กว้างเพราะยังมีชนชั้นอื่นๆ เช่น ทาสซึ่งถึงจะบอกว่าเท่าเทียมแต่ก็ใช้ได้เฉพาะไม่กี่ชนชั้นเท่านั้นโดยเฉพาะชนชั้นใต้ปกครองที่ไม่ค่อยได้รับความเสมอภาค) มีความเท่าเทียมกันและควรได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรม เมื่อชายและหญิงในโลกใหม่ลุกขึ้นมาเพื่อที่จะมีรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเริ่มต้นของประเทศที่ในโลกสมัยใหม่ของอเมริกา  เมื่อการเลือกตั้งจัดขึ้นในสหรัฐอเมริกาทั่วโลกต่างจับตามอง อิทธิพลนี้ที่ทำให้อเมริกามีความเชื่อถือว่าการปฏิวัติอเมริกาเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก
ภาพสงครามการปฏิวัติอเมริกา

2.การปฏิรูปศาสนาคริสต์
     การปฏิรูป (1517-1648) เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ยุโรป ก่อนช่วงเวลานี้คริสตจักรนิกายโรมันคาธอลิกเกือบจะมีอำนาจควบคุมประชาชนและรัฐบาลของโลกคริสเตียนได้อย่างใกล้ชิด เป็นช่วงที่ผู้เรียนรู้หลายคนในสมัยนั้นเริ่มตั้งคำถามกับการปฏิบัติของคริสตจักรโดยเปรียบเทียบกับพระคัมภีร์จนเกิดปัญหาขึ้น เจตนาของการปฏิรูปคือเพื่อปฏิรูปคริสตจักรคาทอลิกและนำกลับสู่รากฐานในพระคัมภีร์ไบเบิล ผลสุดท้ายคือการแบ่งคริสตจักรออกเป็นสองฝ่ายคือฝ่ายคาทอลิกและฝ่ายโปรเตสแตนต์ การปฏิรูปคัมภีร์ทางศาสนามาอยู่ในมือของมวลชนและอำนาจของศาสนจักรคาทอลิกเริ่มเสื่อม ทั้งสงครามที่เกิดขึ้นและการกระทำของบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่เกี่ยวข้องยังคงก่อร่างสร้างโลกในปัจจุบัน

3.การทำลายกำแพงเบอร์ลิน
     การทำลายกำแพงอาจดูเหมือนไม่มีอะไรน่าจดจำมากนัก แต่เมื่อตระหนักถึงสิ่งอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นพร้อมกับกำแพงนั้นคุณจะเริ่มเห็นมันในแง่มุมใหม่ทั้งหมด  อย่างไรก็ตามยังมีความมั่นคงระหว่างประเทศต่างๆ ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรกันในช่วงสงครามโลกมีการแบ่งพวกอยู่สองฝ่ายและต่างฝ่ายต่างต้องการขยายแนวคิดระบอบการปกครองของตนออกไปให้ได้มากที่สุด เช่น สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรซึ่งถือว่าเป็นประเทศมหาอำนาจหลังจบสงครามโลกครั้งที่สอง(แต่ปัจจุบันสหราชอาณาจักรไม่ใช่มหาอำนาจแล้ว) ต่างต้องการแข่งอำนาจกับสหภาพโซเวียต ประเทศต่างๆ ที่เคยเอาชนะฮิตเลอร์ในสงครามโลกครั้งที่สองและพันธมิตร เริ่มทะเลาะวิวาทกันเอง ดินแดนที่พ่ายแพ้ควรเป็นประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์? เยอรมนีเป็นศูนย์กลางของสงครามดังนั้นจึงกลายเป็นพื้นที่ที่มีการโต้แย้งกันมากที่สุด ในท้ายที่สุดประเทศเยอรมันผู้พ่ายแพ้ก็ถูกแบ่งครึ่งโดยส่วนหนึ่งอยู่ภายใต้รัฐบาลคอมมิวนิสต์และอีกส่วนหนึ่งภายใต้รูปแบบประชาธิปไตยเบอร์ลินถูกแบ่งเป็นสองส่วนคือฝ่ายคอมมี่และประชาธิปไตย กำแพงขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นเพื่อแยกเมืองหลวงและเป็นสัญลักษณ์ของกำแพงที่แยกโลกคอมมิวนิสต์ออกจากโลกประชาธิปไตย เมื่อกำแพงพังทลายลงในปี 1989 นั่นหมายถึงการสิ้นสุดของการปกครองของคอมมิวนิสต์(ซึ่งก็ยังคงมีอยู่ในปัจจุบันแต่ระบอบนี้ไม่ได้เรืองอำนาจแล้ว)และการกำเนิดเสียงของประชาชน
การทำลายกำเเพงเบอร์ลินเเละนำไปสู่การรวมชาติเยอรมันครั้งที่สองหลังจากรวมครั้งเเรกในปี 1871
4.สงครามโลกครั้งที่สอง
     นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่สงครามที่เกี่ยวข้องกับส่วนใหญ่ของโลกอย่างแท้จริง รอยแผลเป็นจากการต่อสู้หกปีนี้ยังคงมีให้เห็นในอาคารที่พังยับเยินของศัตรู  สงครามกินหลายทวีปประกอบด้วยสงครามยุโรปแอฟริกากับอเมริกาและเอเชีย มันทำลายทั้งระบบเศรษฐกิจ เชื้อชาติ ศาสนาและวัฒนธรรม หลายๆ ประเทศที่ประเทศถูกยึด เช่น ฝรั่งเศสถูกเยอรมันยึด ผู้ชายผู้หญิงและเด็กหลายล้านคนถูกฆ่าตายหลายคนสูญเสียคนที่รักและต้องแสวงหาดินแดนใหม่เพื่อเรียกบ้านเพราะมีความหายนะมากมาย สงครามโลกครั้งที่สองยังนำไปสู่การสร้างองค์การสหประชาชาติบ้านเกิดของชาวยิวและจุดเริ่มต้นของสงครามเย็น โลกได้เปลี่ยนไปแล้วและจะไม่มีวันกลับไปสู่ความบริสุทธิ์ตามที่เคยอ้าง เป็นการเปิดโปงความชั่วร้ายที่แฝงอยู่ซึ่งมีความรุนแรง น่ากลัวและสยดสยองในสงครามเย็น 
โซเวียตยึดเบอร์ลิน
ฮิตเลอร์ผู้ประกาศสงครามเเละทำคนตายนับไม่ถ้วน

มหาจักรวรรดิญี่ปุ่นยอมเเพ้สงครามเมื่อทางสหรัฐอเมริกาโยนระเบิดปรมาณูใส่

5.สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
     สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (1914-1918) เคยเรียกว่ามหาสงคราม ในช่วงเวลานั้นไม่มีใครสามารถจินตนาการถึงสิ่งที่เลวได้เพราะเป็นสงครามที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญและไม่มีใครคิดมาก่อนว่าจะเกิด(คือเอาจริงเราเคยอ่านมาครับว่าทางนักวิชาการบางส่วนบอกว่าจริงๆ แล้วสงครามโลกครั้งที่ 1 มีผู้ที่อยากให้เกิดอยู่แล้วนั่นก็คือเยอรมัน คือในตอนนั้นกองทัพบกที่ทรงแสนยานุภาพที่สุดในโลกคือเยอรมันซึ่งถือว่ากองทัพเยอรมันนี่ถึงจุดสูงสุดแล้วจริงๆ เยอรมันต้องการรักษาความมั่นคงของกองทัพตัวเองไว้ แต่ดันมีรัสเซียซึ่งพึ่งปฏิรูปอุตสาหกรรมเสร็จและพยายามพัฒนากองทัพบก เยอรมันกลัวว่าจักรวรรดิรัสเซียจะมีกองทัพบกที่ก้าวหน้ากว่าและกลัวว่ารัสเซียจะเขี่ยเยอรมันจะตกกระป๋อง เยอรมันเลยมีแผนลับที่จะทำสงครามกับรัสเซียในปี 1914 ซึ่งก็มีหลายๆ คนตั้งข้อสงสัยว่า ถ้าสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเกิดขึ้นโดยบังเอิญจริงๆ ทำไมไม่ไปบุกเซอร์เบียซึ่งเป็นสาเหตุของสงครามก่อนล่ะ  แต่กลับกลายเป็นว่ายุทธภูมิแรกของสงครามคือเยอรมันบุกเบลเยียมและฝรั่งเศส ด้วยเหตุนี้เองทำให้นักวิชาการหลายๆ คิดว่าสงครามนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญแน่นอน แต่มีความเป็นไปได้สูงที่เยอรมันอาจจะต้องการขยายอำนาจของตนเองในยุโรปให้ได้มากที่สุดโดยที่ใช้เหตุการณ์ความวุ่นวายในออสเตรีย-ฮังการีมาก่อสงครามกับชาติต่างๆ ในยุโรปและรัสเซีย) นั่นคือจนกว่าโลกจะเผชิญหน้ากับสงครามโลกครั้งที่สองและการนองเลือดที่มากขึ้น สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่สองสามารถสืบย้อนกลับไปได้ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่งมีหลายสิ่งที่ถูกปล่อยทิ้งไปและความขุ่นเคืองกับทั้งความเกลียดชังมากมายที่ได้ก่อตัวขึ้น นับเป็นความอัปยศอดสูของเยอรมนีในตอนท้ายของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่เริ่มเคลื่อนไหวไปสู่สงครามโลกครั้งที่สอง 

วิลเฮล์มที่ 2 ผู้เป็นสาเหตุสำคัญของสงครามโลกครั้งที่ 1

การรบในสงครามโลกครั้งที่ 1

วิลเฮล์มที่ 2 เข้าเฝ้าจักรพรรดิเมห์เม็ดที่ 5 เเห่งจักรวรรดิออตโตมัน

วิลเฮล์มที่ 2 เเละซาร์นิโคลัสเเห่งรัสเซีย

6.กูเทนเบิร์ก
     แทบจะไม่มีเหตุการณ์อื่นใดที่สามารถเรียกได้ว่ามีอิทธิพลเท่ากับแท่นพิมพ์ที่กูเทนเบิร์ก ซึ่งประดิษฐ์ขึ้นในราวปี 1440 ก่อนการสร้างนี้หนังสือจะมีการเขียนด้วยมือ(นี่เลยเป็นสาเหตุที่เราเรียกว่าห้องสมุดไม่ใช่ห้องหนังสือ) ด้วยความอุตสาหะของพระและผู้ใฝ่เรียนรู้อื่น ๆ จะใช้เวลาหลายชั่วโมงผ่านแสงแดดจ้าและแสงตะเกียงน้ำมันเพื่อทำตำราทางศาสนาทั้งวรรณกรรมและเอกสารทางราชการ การเขียนและคัดลอกหนังสือหนึ่งเล่มอาจใช้เวลาหลายปี เมื่อได้มีการคิดค้นแท่นพิมพ์ที่สามารถพิมพ์สำเนาหลังจากทำสำเนาได้ภายในเวลาเพียงเล็กน้อยโลกทั้งใบก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ทันใดนั้นทุกคนสามารถมีสำเนาพระคัมภีร์ทางศาสนาเป็นของตัวเองได้ พวกเขาสามารถอ่านได้ด้วยตัวเอง จุลสารทางการเมืองสามารถสร้างขึ้นโดยคนนับพันและมีอิทธิพลต่อมวลชนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน การเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงบางส่วน มันสามารถใช้ได้สำหรับทุกคนและหนังสือกลายเป็นว่าไม่ได้มีไว้สำหรับคนรวย กูเตนเบิร์กได้เปลี่ยนโลกการเมืองโลกศาสนาและชีวิตประจำวันของมนุษย์ เราจะไม่พึ่งพาผู้ที่ได้รับเลือกเพียงไม่กี่คนเพื่อชี้นำเราอีกต่อไปเรารู้เองได้
โจฮันเนส กูเทนเบิร์กผู้เปลี่ยนประวัติศาสตร์การพิมพ์ตลอดกาล
7.สันติภาพโรมัน
       เป็นสมัยของความสันติสุขอันยืนยาวโดยแทบจะไม่มีการขยายตัวทางทหารเช่นในคริสต์ศตวรรษที่หนึ่งและสองของจักรวรรดิโรมัน เนื่องจากเป็นสมัยที่ก่อตั้งโดยจักรพรรดิเอากุสตุส บางครั้งสมัยนี้จึงเรียกว่า “สันติภาพเอากุสตุส” (Pax Augusta) ซึ่งเป็นสมัยที่ยืนยาวถึงราว 200 ปีที่เริ่มตั้งแต่ปี 27 ก่อนคริสต์ศักราชจนถึงปี ค.ศ. 180

เกร็ดความรู้ 
 พระราชลัญจกรเเละตราประจำพระราชวงศ์จักรี
    ด้วยคำว่าจักรีมีที่มาจากบรรดาศักดิ์ “เจ้าพระยาจักรี” ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้พ้องเสียงกับคำว่า “จักร” และ “ตรี” ซึ่งเป็นอาวุธของพระนารายณ์หรือพระวิษณุ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างพระแสงจักรและพระแสงตรี เป็นสัญลักษณ์ประจำพระราชวงศ์จักรี โดยในแต่ละรัชกาลได้ทรงโปรดฯ ให้สร้างตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาลขึ้น ดังนี้
รัชกาลที่ ๑ มีพระราชลัญจกรเป็นรูปปทุมอุณาโลม
รัชกาลที่ ๒ พระราชลัญจกรครุฑยุด
รัชกาลที่ ๓ พระราชลัญจกรประสาท
รัชกาลที่ ๔ พระราชลัญจกรพระมหามงกุฎ
รัชกาลที่ ๕ พระราชลัญจกรพระเกี้ยวยอด
รัชกาลที่ ๖ พระราชลัญจกรวชิระ
รัชกาลที่ ๗ พระราชลัญจกรพระแสงศร
รัชกาลที่ ๘ พระราชลัญจกรพระโพธิสัตว์ประทับบนดอกบัว
รัชกาลที่ ๙ พระราชลัญจกรพระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์
ตราประจำราชวงศ์จักรีซึ่งรัชกาลที่ห้าพระราชทานเเก่จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี


แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่