จขกท. อาชีพพนักงานแบงค์ เป็นคนหนึ่งที่กำลังคิดจะลาออกจากงานที่ ทำมานานถึง 15 ปี เหตุผลคือ เรารู้สึกเกลียดงานที่เราทำอยู่ จริงๆเดิมเราทำงานอยู่แผนกเกี่ยวกับงานเอกสาร ทำหลังบ้านมันดีอยู่แล้ว แต่ เพราะสมัยนั้น ทำงานแผนกเดิมด้วยระบบงานที่ไม่ดีทำให้การทำงานยุ่งยาก กว่าจะได้กลับบ้าน 4 ทุ่มทุกวัน แบบ ไม่มี การจ่าย OT กว่าจะกลับถึงบ้าน ก็ 5 ทุ่มเที่ยงคืน เช้าต้องขุดตัวเองจากที่นอนไปทำงาน มันทรมาน สุดๆ จึงขอย้ายมา ประจำสาขาในห้าง ด้วยการเปลี่ยนตำแหน่งงาน มารับหน้าที่ ให้บริการลูกค้าด้านสินเชื่อ ที่ต้องมีการพ่วงทำยอดขายประกันหลายๆ product แรกๆ เราก็แค่รู้สึกว่า มันใกล้บ้านดี เข้างานสายมาก อยู่ใกล้บ้าน ตื่น 10 โมง ยังไปเข้างานทันเวลา ถามในใจลึกๆ ชอบงานนี้หรอ ก็ไม่เลยนะ เพียงแต่ให้ทำก็ทำได้แหล่ะ
จากวันนั้นผ่านมา ถึง วันนี้ กว่า 8 ปี แล้ว ที่เราอดทนทำงานตำแหน่งนี้ ด้วยความที่ไม่ชอบ ประกอบกับหลายปีก่อน เรามีหนี้สินจำนวนมากมายเป็นภาระที่ผลักดันเราให้อดทนกอดงานนี้ไว้ จนปัจจุบันเคลียร์ทุกอย่างโล่งหมด มีภาระก็แค่อย่างเดียวจริงๆ คือ ผ่อนรถ แค่ 1 คัน รายได้ถือว่าดีไหม ดี มากในสายตาคนอื่น แต่ สำหรับเรา ไม่คุ้มกับความสุขและเวลาส่วนตัวที่มันหายไป 2 ปี ที่ผ่านมาโดนบังคับOT อาทิตย์ละ 1 วันนั่นหมายถึง เราต้องทำงาน 6 วัน หยุดเพียงวันเดียวใน 1 อาทิตย์ นักขัติ ไม่ต้องพูดถึง ลาพักร้อนก็เป็นเรื่องที่ ต้องใช้ความเกรงใจ อย่างมาก ในการลา คิดจะลานอนอยู่บ้าน สัก 3 วัน ทั้งๆที่มีพักร้อนอยู่ 20 วัน ก็ต้องคิดแล้วคิดอีก เพราะลาครั้งนึงก็วุ่นวายเดือดร้อนคนที่ต้องมาอยู่แทน แม้ว่ามันจะลาได้ แต่ใครจะอยากลา
เราเริ่มคิดทบทวนหลายๆอย่าง ทุกวันนี้ทำไมเราอดทนทำงานนี้ต่อไปไม่ได้ ทั้งๆที่ทนมานานถึง 8 ปี เราไม่ทราบคำตอบเหมือนกัน เพียงแต่ตอนนี้สิ่งที่เราคิดคือ เราเกลียดทุกสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้
1. เราเป็น marketingที่ไม่ยินดีกับการที่มีลูกค้าเข้ามาหา เราไม่เคยดีใจที่จะได้ลูกค้าในวันนั้น อยากนั่งเฉยๆให้มันผ่านให้มันจบวันไป รับโทรศัพท์ตอบปัญหาลูกค้าแต่ละครั้งเรารู้สึกได้ว่า คนปลายสายสัมผัสได้ว่าเราไม่มีอารมณ์ที่จะสนทนาด้วย เรารู้สึกว่า เรากำลังเป็นพนักงานที่แย่ มากๆ รับผิดชอบงานได้ไม่ดีเท่าเดิม จะบอกว่าไร้ ศักยภาพ ก็ยังได้ ทุกวันนี้เราไม่เอาอะไร ในชีวิต คะแนนkpi จะตกหรือจะขึ้น เราก็ไม่สนใจมันเลย เหมือนมันมาถึงขีดสุดๆแล้ว หลายครั้งเรานึกถึงงานเรามักร้องไห้เสมอ ร้องทั้งๆที่มันไม่มีเรื่องเศร้า ร้องเพราะเหนื่อย เอือมระอากับความรุ้สึกตัวเอง หลายๆสิ่ง
2 เราเริ่มรู้สึกเบื่อเพื่อนร่วมงาน ที่ ทำให้เรากลายเป็นคนทำตัวแบบคนเห็นแก่ตัว เพราะว่าเรา เหนื่อย เราเอือม กับสภาพงานที่ เกี่ยงงานฉัน งานเทอ (สาขาห้าง ไม่ได้มีทุกแผนกมารวมกัน มักมี ลูกค้าของชาวสำนักงานใหญ่ โผล่ มาแบบไม่ให้พวกเราตั้งตัว แล้ว ดูเหมือนทุกคน พร้อมที่จะก้มหน้าลง แรกๆ เรามักจะเสนอตัวรับหน้าแทนเสมอ แต่หลังๆรู้สึกว่า ทำไมเธอไม่ทำ นี่ฉันทำจนทุกอย่างมันเป็นงานฉันไปหมดแล้วหรอ)
เรารู้ว่าสิ่งที่ถนัดของเรา คือการทำอาหาร หลายคนชอบฝีมือการทำอาหารของเรา (อันนี้ ทุกคนที่ได้ชิมการันตีไม่ได้เข้าข้างตัวเอง 555) จึงมีความคิดจะออกจากงานประจำ ก้าวออกไปทำสิ่งที่รัก หลายคนที่ทราบความคิด คำที่เราได้ยินเสมอคือ / คิดดีๆ นะ / ออกแล้วจะไปทำอะไร // ออกแล้วจะเอาอะไรกิน สำหรับตัวเราได้ยินคำนี้ รู้สึกหงุดหงิด มากๆ ในใจนี่เถียงว่าเห้ย คนจะลาออก มันต้องมีความคิดอยู่แล้วแหล่ะ ว่าจะออกไปทำอะไร เราไม่ใช่เด็กวัยรุ่น ที่ลาออกเพราะอารมณ์ อายุเลยวัยกลางคนมาพอสมควร คิดหน้าคิดหลังมาอย่างดี คิดมาได้ สัก 2 ปีแล้วด้วยไม่ใช่เพิ่งจะคิด ลึกๆเรามั่นใจว่า หากเราออกไปขายอาหาร ตามที่เราถนัด หาทำเลที่ดี เราไปได้แน่นอน เรามีเงินทุนพอที่จะอยู่แบบใช้จ่าย ฟุ้มเฟือยเลย อยู่ได้ ประมาณ 15 เดือน แบบไม่มีรายได้ แต่เราไม่เชื่อว่า เราจะไม่สามารถสร้างรายได้ได้เลยในช่วง 15 เดือนนั้น
1. ขอถาม ความเห็น คนที่เคยลาออก หรือ กำลังคิดจะลาออก รู้สึกอย่างไรกันบ้างกับคำนี้ มีผลกับการตัดสินใจของพวกคุณบ้างไหม
2 ขอถามประสบการณ์ คนที่ออกจากงานประจำไปขายของกินมันไม่ดี จริงๆหรือ เศรษฐกิจแบบนี้ มันย่ำแย่ จนทำให้คนไม่ซื้อข้าวกินกันเลยหรอ คนที่ขายอาหารแล้วอยู่ไม่ได้ สาเหตุจริงๆมันคืออะไร ของแพงจนลงทุนไม่ไหว หรือ ทำเลมันห่วย จนขายไม่ได้ มันมีจริงไหมยอดขายดีมากแต่เจ๊ง เพราะสู้ค่าที่ไม่ไหว
ขอบคุณทุกความเห็นไว้ล่วงหน้า ค่ะ
คนที่กำลังคิดจะลาออกจากงานประจำ รู้สึกอย่างไรบ้างกับคำที่ว่า **ออกแล้วจะกินอะไร ** ออกแล้วไปทำอะไร **
จากวันนั้นผ่านมา ถึง วันนี้ กว่า 8 ปี แล้ว ที่เราอดทนทำงานตำแหน่งนี้ ด้วยความที่ไม่ชอบ ประกอบกับหลายปีก่อน เรามีหนี้สินจำนวนมากมายเป็นภาระที่ผลักดันเราให้อดทนกอดงานนี้ไว้ จนปัจจุบันเคลียร์ทุกอย่างโล่งหมด มีภาระก็แค่อย่างเดียวจริงๆ คือ ผ่อนรถ แค่ 1 คัน รายได้ถือว่าดีไหม ดี มากในสายตาคนอื่น แต่ สำหรับเรา ไม่คุ้มกับความสุขและเวลาส่วนตัวที่มันหายไป 2 ปี ที่ผ่านมาโดนบังคับOT อาทิตย์ละ 1 วันนั่นหมายถึง เราต้องทำงาน 6 วัน หยุดเพียงวันเดียวใน 1 อาทิตย์ นักขัติ ไม่ต้องพูดถึง ลาพักร้อนก็เป็นเรื่องที่ ต้องใช้ความเกรงใจ อย่างมาก ในการลา คิดจะลานอนอยู่บ้าน สัก 3 วัน ทั้งๆที่มีพักร้อนอยู่ 20 วัน ก็ต้องคิดแล้วคิดอีก เพราะลาครั้งนึงก็วุ่นวายเดือดร้อนคนที่ต้องมาอยู่แทน แม้ว่ามันจะลาได้ แต่ใครจะอยากลา
เราเริ่มคิดทบทวนหลายๆอย่าง ทุกวันนี้ทำไมเราอดทนทำงานนี้ต่อไปไม่ได้ ทั้งๆที่ทนมานานถึง 8 ปี เราไม่ทราบคำตอบเหมือนกัน เพียงแต่ตอนนี้สิ่งที่เราคิดคือ เราเกลียดทุกสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้
1. เราเป็น marketingที่ไม่ยินดีกับการที่มีลูกค้าเข้ามาหา เราไม่เคยดีใจที่จะได้ลูกค้าในวันนั้น อยากนั่งเฉยๆให้มันผ่านให้มันจบวันไป รับโทรศัพท์ตอบปัญหาลูกค้าแต่ละครั้งเรารู้สึกได้ว่า คนปลายสายสัมผัสได้ว่าเราไม่มีอารมณ์ที่จะสนทนาด้วย เรารู้สึกว่า เรากำลังเป็นพนักงานที่แย่ มากๆ รับผิดชอบงานได้ไม่ดีเท่าเดิม จะบอกว่าไร้ ศักยภาพ ก็ยังได้ ทุกวันนี้เราไม่เอาอะไร ในชีวิต คะแนนkpi จะตกหรือจะขึ้น เราก็ไม่สนใจมันเลย เหมือนมันมาถึงขีดสุดๆแล้ว หลายครั้งเรานึกถึงงานเรามักร้องไห้เสมอ ร้องทั้งๆที่มันไม่มีเรื่องเศร้า ร้องเพราะเหนื่อย เอือมระอากับความรุ้สึกตัวเอง หลายๆสิ่ง
2 เราเริ่มรู้สึกเบื่อเพื่อนร่วมงาน ที่ ทำให้เรากลายเป็นคนทำตัวแบบคนเห็นแก่ตัว เพราะว่าเรา เหนื่อย เราเอือม กับสภาพงานที่ เกี่ยงงานฉัน งานเทอ (สาขาห้าง ไม่ได้มีทุกแผนกมารวมกัน มักมี ลูกค้าของชาวสำนักงานใหญ่ โผล่ มาแบบไม่ให้พวกเราตั้งตัว แล้ว ดูเหมือนทุกคน พร้อมที่จะก้มหน้าลง แรกๆ เรามักจะเสนอตัวรับหน้าแทนเสมอ แต่หลังๆรู้สึกว่า ทำไมเธอไม่ทำ นี่ฉันทำจนทุกอย่างมันเป็นงานฉันไปหมดแล้วหรอ)
เรารู้ว่าสิ่งที่ถนัดของเรา คือการทำอาหาร หลายคนชอบฝีมือการทำอาหารของเรา (อันนี้ ทุกคนที่ได้ชิมการันตีไม่ได้เข้าข้างตัวเอง 555) จึงมีความคิดจะออกจากงานประจำ ก้าวออกไปทำสิ่งที่รัก หลายคนที่ทราบความคิด คำที่เราได้ยินเสมอคือ / คิดดีๆ นะ / ออกแล้วจะไปทำอะไร // ออกแล้วจะเอาอะไรกิน สำหรับตัวเราได้ยินคำนี้ รู้สึกหงุดหงิด มากๆ ในใจนี่เถียงว่าเห้ย คนจะลาออก มันต้องมีความคิดอยู่แล้วแหล่ะ ว่าจะออกไปทำอะไร เราไม่ใช่เด็กวัยรุ่น ที่ลาออกเพราะอารมณ์ อายุเลยวัยกลางคนมาพอสมควร คิดหน้าคิดหลังมาอย่างดี คิดมาได้ สัก 2 ปีแล้วด้วยไม่ใช่เพิ่งจะคิด ลึกๆเรามั่นใจว่า หากเราออกไปขายอาหาร ตามที่เราถนัด หาทำเลที่ดี เราไปได้แน่นอน เรามีเงินทุนพอที่จะอยู่แบบใช้จ่าย ฟุ้มเฟือยเลย อยู่ได้ ประมาณ 15 เดือน แบบไม่มีรายได้ แต่เราไม่เชื่อว่า เราจะไม่สามารถสร้างรายได้ได้เลยในช่วง 15 เดือนนั้น
1. ขอถาม ความเห็น คนที่เคยลาออก หรือ กำลังคิดจะลาออก รู้สึกอย่างไรกันบ้างกับคำนี้ มีผลกับการตัดสินใจของพวกคุณบ้างไหม
2 ขอถามประสบการณ์ คนที่ออกจากงานประจำไปขายของกินมันไม่ดี จริงๆหรือ เศรษฐกิจแบบนี้ มันย่ำแย่ จนทำให้คนไม่ซื้อข้าวกินกันเลยหรอ คนที่ขายอาหารแล้วอยู่ไม่ได้ สาเหตุจริงๆมันคืออะไร ของแพงจนลงทุนไม่ไหว หรือ ทำเลมันห่วย จนขายไม่ได้ มันมีจริงไหมยอดขายดีมากแต่เจ๊ง เพราะสู้ค่าที่ไม่ไหว
ขอบคุณทุกความเห็นไว้ล่วงหน้า ค่ะ