ท้องทุ่งนา
“หมู่บ้านเรามีทุ่งนาไหมพ่อ” คำถามจากปากของเด็กน้อยวัยเรียนชั้นประถมที่จดจำคำถามของคุณครูและภาพในหนังสือเรียนที่มีภาพท้องทุ่งนาเขียวขจีกับกระท่อมกลางนาหลังเล็กๆ เขาคงคิดว่าภาพเหล่านั้นเกิดจากการจินตนาการของผู้วาดหาใช่ของจริงไม่!!!“มีสิลูกเดี๋ยวพรุ่งนี้เราออกไปดูกัน” ผู้เป็นพ่อตอบลูกน้อยกลับไปก่อนที่จะอุ้มเจ้าเด็กน้อยเข้านอน พลางล้มตัวลงนอนนึกภาพตอนเป็นเด็กเล็กวัยเดียวกับลูกของเขา ภาพเก่าๆลอยเด่นขึ้นมากลางอากาศมันคือ ท้องทุ่งนาอันกว้างใหญ่เหลืองอร่ามไปทั่วท้องทุ่ง เขายังจำได้ดีถึงวันเก่าๆเหล่านั้น ยามเช้าของวันใหม่เขาออกไปท้องนากับแม่เพื่อที่จะออกไปเล่นในแปลงนาที่ถูกถอนต้นกล้าออกไปหมดแล้ว เพื่อจะเล่นสนุกกับเหล่าปลาตัวน้อย เจ้ากุ้งนาตัวเล็ก ปุนาก้ามโต ท้องทุ่งนาเป็นเสมือนสนามเด็กเล่นของเขา มันเป็นของจริงไม่ใช่ของที่ทำมาจากพลาสติก เห็นคนรุ่นพ่อของเขากำลังไถนาโดยใช้แรงวัวเตรียมนาดำอยู่ทั่วท้องทุ่ง ต้นตาลโตนดสูงสง่าโยกตัวล้อเล่นกับลม กลิ่นไอโคลนหอมชื่นติดปลายจมูกดีแท้ เหล่าแมลงนานาชนิดต่างเริงร่าอยู่บนยอดของต้นกล้าข้าวพันธุพื้นเมืองแลดูทางน้ำเล็กๆจากนาสู่นาจากคลองสู่ทะเลสาบและมหาสมุทร พลั้งเช้าของวันใหม่ก็มาถึงผู้เป็นพ่อปลุกเจ้าเด็กน้อยให้ตื่นนอน พร้อมทั้งบอกว่าเราจะไปเที่ยวทุ่งนาของหมู่บ้านเราด้วยกัน เจ้าเด็กน้อยไม่รอช้ารีบลุกขึ้นจากเตียงในทันที เท้า 2 คู่เดินออกทางมุ่งสู่บริเวณที่เป็นท้องทุ่งนาของหมู่บ้านซึ่งไปไกลมากนักว่าแล้วผู้เป็นพ่อก็ชี้นิ้วไปยังที่ๆเคยเป็นท้องทุ่งนาของหมู่บ้าน“ ตรงนี้ไงเมื่อหลาย ๑๐ ปีก่อนมันเคยเป็นท้องทุ่งนาอันกว้างใหญ่ของหมู่บ้านของเรา” ผู้เป็นพ่อบอกกับลูกน้อย“แต่มันมีแต่บ้านคนทั้งนั้นไม่เห็นจะมีสภาพเหมือนทุ่งนาเหมือนในหนังสือของผมเลยครับ” เจ้าเด็กน้อยเชิดหน้าขึ้นบอกกับพ่อของเขา ใช่แล้ว......วันนี้ท้องทุ่งนาของหมู่บ้านได้กลายเป็นที่ปลูกสร้างที่อยู่อาศัยไปจนหมดแล้ว เพราะการขยายตัวของความเจริญ การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรจากที่เมื่อก่อนมันคือพื้นที่ๆเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของบ้านเราพื้นที่ท้องทุ่งนาของหมู่บ้านกว้างใหญ่มาก ด้วยพื้นที่ขนาดนี้พวกเราจึงอยู่กันได้อย่างสบายตลอดทั้งปีเพราะมันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งอาหารนานาชนิดในวันแดดจ้าช่วงหน้าแล้งหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นลง สิ่งที่เด็กๆในหมู่บ้านปรารถนาที่ทำกันก็คือการทำว่าวแล้วออกไปเล่นกลางทุ่งนาอันกว้างใหญ่นั้น ลมเดือน ๕ กับแสงแดดแรงกลับไม่สามารถทำลายความทะเยอทะยานของเหล่าบรรยายเด็กน้อยที่ใคร่จะนำว่าว เสียงแอกว่าวดังแข่งกับเสียงลมที่พัดปะทะกับใบต้นตาลโตนดยังฝั่งอยู่ในโสตประสาทไม่เสื่อมคลาย แต่แล้วทุกสิ่งก็ถูกกลืนไปเมื่อความเจริญเข้ามา พวกเราเลิกทำนากันไปเมื่อไรนั้นจำไม่ค่อยได้ แต่พวกเราอยากที่จะจำแต่ความรู้สึกดีๆ แห่งท้องทุ่งนาที่เปรียบดั่งห้องเรียนราคาถูกที่ฉุดจินตนาการของเหล่าเด็กๆในชนบทกับภาพของท้องทุ่ง คนไถนา ภาพของการหว่านข้าว ถอดกล้า ดำนา ลงแขกเก็บข้าว ขนเรียงข้าว กลิ่นไอของมันช่างหอมหวนได้ความรู้สึกดีจริงๆ กลิ่นปลาน้ำแห้งปิ้ง มันยังติดปลายจมูกมิรู้ลืม ผู้เป็นพ่อเล่าเรื่องราวแต่หนหลังให้ลูกน้อยได้ฟังแล้วก้มหน้าลงมองพื้นดินอันเป็นพื้นนาเมื่อกาลก่อน.........
คุณลืมตอบคำถามที่ * จำเป็นต้องตอบ
ท้องทุ่งนา
“หมู่บ้านเรามีทุ่งนาไหมพ่อ” คำถามจากปากของเด็กน้อยวัยเรียนชั้นประถมที่จดจำคำถามของคุณครูและภาพในหนังสือเรียนที่มีภาพท้องทุ่งนาเขียวขจีกับกระท่อมกลางนาหลังเล็กๆ เขาคงคิดว่าภาพเหล่านั้นเกิดจากการจินตนาการของผู้วาดหาใช่ของจริงไม่!!!“มีสิลูกเดี๋ยวพรุ่งนี้เราออกไปดูกัน” ผู้เป็นพ่อตอบลูกน้อยกลับไปก่อนที่จะอุ้มเจ้าเด็กน้อยเข้านอน พลางล้มตัวลงนอนนึกภาพตอนเป็นเด็กเล็กวัยเดียวกับลูกของเขา ภาพเก่าๆลอยเด่นขึ้นมากลางอากาศมันคือ ท้องทุ่งนาอันกว้างใหญ่เหลืองอร่ามไปทั่วท้องทุ่ง เขายังจำได้ดีถึงวันเก่าๆเหล่านั้น ยามเช้าของวันใหม่เขาออกไปท้องนากับแม่เพื่อที่จะออกไปเล่นในแปลงนาที่ถูกถอนต้นกล้าออกไปหมดแล้ว เพื่อจะเล่นสนุกกับเหล่าปลาตัวน้อย เจ้ากุ้งนาตัวเล็ก ปุนาก้ามโต ท้องทุ่งนาเป็นเสมือนสนามเด็กเล่นของเขา มันเป็นของจริงไม่ใช่ของที่ทำมาจากพลาสติก เห็นคนรุ่นพ่อของเขากำลังไถนาโดยใช้แรงวัวเตรียมนาดำอยู่ทั่วท้องทุ่ง ต้นตาลโตนดสูงสง่าโยกตัวล้อเล่นกับลม กลิ่นไอโคลนหอมชื่นติดปลายจมูกดีแท้ เหล่าแมลงนานาชนิดต่างเริงร่าอยู่บนยอดของต้นกล้าข้าวพันธุพื้นเมืองแลดูทางน้ำเล็กๆจากนาสู่นาจากคลองสู่ทะเลสาบและมหาสมุทร พลั้งเช้าของวันใหม่ก็มาถึงผู้เป็นพ่อปลุกเจ้าเด็กน้อยให้ตื่นนอน พร้อมทั้งบอกว่าเราจะไปเที่ยวทุ่งนาของหมู่บ้านเราด้วยกัน เจ้าเด็กน้อยไม่รอช้ารีบลุกขึ้นจากเตียงในทันที เท้า 2 คู่เดินออกทางมุ่งสู่บริเวณที่เป็นท้องทุ่งนาของหมู่บ้านซึ่งไปไกลมากนักว่าแล้วผู้เป็นพ่อก็ชี้นิ้วไปยังที่ๆเคยเป็นท้องทุ่งนาของหมู่บ้าน“ ตรงนี้ไงเมื่อหลาย ๑๐ ปีก่อนมันเคยเป็นท้องทุ่งนาอันกว้างใหญ่ของหมู่บ้านของเรา” ผู้เป็นพ่อบอกกับลูกน้อย“แต่มันมีแต่บ้านคนทั้งนั้นไม่เห็นจะมีสภาพเหมือนทุ่งนาเหมือนในหนังสือของผมเลยครับ” เจ้าเด็กน้อยเชิดหน้าขึ้นบอกกับพ่อของเขา ใช่แล้ว......วันนี้ท้องทุ่งนาของหมู่บ้านได้กลายเป็นที่ปลูกสร้างที่อยู่อาศัยไปจนหมดแล้ว เพราะการขยายตัวของความเจริญ การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรจากที่เมื่อก่อนมันคือพื้นที่ๆเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของบ้านเราพื้นที่ท้องทุ่งนาของหมู่บ้านกว้างใหญ่มาก ด้วยพื้นที่ขนาดนี้พวกเราจึงอยู่กันได้อย่างสบายตลอดทั้งปีเพราะมันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งอาหารนานาชนิดในวันแดดจ้าช่วงหน้าแล้งหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นลง สิ่งที่เด็กๆในหมู่บ้านปรารถนาที่ทำกันก็คือการทำว่าวแล้วออกไปเล่นกลางทุ่งนาอันกว้างใหญ่นั้น ลมเดือน ๕ กับแสงแดดแรงกลับไม่สามารถทำลายความทะเยอทะยานของเหล่าบรรยายเด็กน้อยที่ใคร่จะนำว่าว เสียงแอกว่าวดังแข่งกับเสียงลมที่พัดปะทะกับใบต้นตาลโตนดยังฝั่งอยู่ในโสตประสาทไม่เสื่อมคลาย แต่แล้วทุกสิ่งก็ถูกกลืนไปเมื่อความเจริญเข้ามา พวกเราเลิกทำนากันไปเมื่อไรนั้นจำไม่ค่อยได้ แต่พวกเราอยากที่จะจำแต่ความรู้สึกดีๆ แห่งท้องทุ่งนาที่เปรียบดั่งห้องเรียนราคาถูกที่ฉุดจินตนาการของเหล่าเด็กๆในชนบทกับภาพของท้องทุ่ง คนไถนา ภาพของการหว่านข้าว ถอดกล้า ดำนา ลงแขกเก็บข้าว ขนเรียงข้าว กลิ่นไอของมันช่างหอมหวนได้ความรู้สึกดีจริงๆ กลิ่นปลาน้ำแห้งปิ้ง มันยังติดปลายจมูกมิรู้ลืม ผู้เป็นพ่อเล่าเรื่องราวแต่หนหลังให้ลูกน้อยได้ฟังแล้วก้มหน้าลงมองพื้นดินอันเป็นพื้นนาเมื่อกาลก่อน.........