G.K.Line
17.
ศักดารินกาแฟสีดำสนิทที่เพิ่งได้จากเครื่องชงกาแฟมาใหม่ๆ ลงในถ้วยกาแฟสองใบ กลิ่นไหม้หอมๆ ลอยฟุ้งเข้าจมูกจนเจ้าตัวยิ้มออกมาอย่างพึงใจ วางเหยือกกาแฟกลับเข้าที่ก่อนจะถือแก้วทั้งสองใบมานั่งที่โต๊ะอาหาร
“นี่ของวิ กาแฟดำ ไม่ใส่อะไรเลยเหมือนเดิม”
พูดพลางส่งแก้วในมือใบหนึ่งให้หญิงสาวที่กำลังนั่งรออยู่ เธอส่งยิ้มตอบ รับถ้วยเครื่องดื่มมาสูดเอากลิ่นหอมที่ระเหยขึ้นมาแล้วจิบน้ำสีดำร้อนๆ ในนั้นอึกหนึ่ง ก่อนจะวางมันลงไว้คู่กับแก้วน้ำ
จานตรงหน้าของทั้งคู่มีขนมปังปิ้งและไข่ดาว พร้อมด้วยมันฝรั่ง มะเขือเทศ กับผักอีกสองสามชนิดประดับดูน่าทานเป็นเครื่องเคียงไม่ให้รสชาติอาหารเลี่ยนจนเกินไป เป็นอาหารง่ายๆ หน้าตาธรรมดาที่คนส่วนใหญ่โปรดปราน
ไม่มีอะไรจะสุขไปกว่าการได้กินนอาหารถูกปาก จิบเครื่องดื่มแก้วโปรด และได้นั่งอยู่กับคนรู้ใจในเช้าอันสดใสอีกแล้ว
เช้าวันนี้อากาศถูกปกคลุมไปด้วยหมอกบางเบา ไอน้ำชุ่มฉ่ำที่อัดแน่นไปทั่วทุกอณูทำให้อะไรก็ตามที่อยู่ภายใต้แสงตะวันดูฟุ้งนุ่มนวล สวยราวกับภาพฝัน หยาดน้ำค้างที่ยังมีแรงยึดตัวเองไว้กับใบไม้ใบหญ้าพากันอวดแสงประกายวิบวับ
ช่างเป็นเช้าที่พิเศษ ดูอ่อนโยนและเป็นมิตรกับสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้
ศักดาตื่นเช้ากว่าทุกวันเพราะเดิมทีตั้งใจว่าจะออกไปยืดเส้นยืดสายรับอากาศบริสุทธิ์เสียหน่อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำอย่างที่วางแผนไว้ เพราะวิภาดามาหาเสียก่อนที่เขาจะพ้นประตูบ้านไปเพียงไม่กี่วินาที
“พี่ศักดิ์ไม่ทานเหรอคะ เดี๋ยวก็เย็นชืดหมดอร่อยกันพอดี”
วิภาดาชะงักมือจากอาหารตรงหน้า หลังสังเกตเห็นว่าจานอาหารของผู้ร่วมโต๊ะไม่พร่องลงไปเลยสักนิด ชายหนุ่มเอาแต่มองมาที่เธอไม่วางตา หลังตั้งคำถาม เธอสบตาเขาให้รู้ว่ากำลังรอฟังคำตอบอยู่
“ดูเหมือนวิจะคลายความกังวลลงไปแล้วนะ”
แทนที่จะตอบชายหนุ่มกลับย้อนถาม หญิงสาวยิ้มรับคำถามที่ฟังเผินๆ เหมือนเขาแสดงความห่วงใย แต่เธอรู้ดีว่าประโยคนั้นน่าจะหมายความถึงเรื่องที่เธอดูไม่ค่อยหวาดกลัวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่าใดมากกว่า
“ใช่ค่ะ วิค่อนข้างหายกลัวไปมากแล้ว แต่ดูเหมือนกับว่าพี่ศักดิ์จะไม่ใช่นะคะ”
คราวนี้เป็นเธอบ้างที่ใช้ประโยคซ่อนความนัยอื่นเอาไว้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ศักดารู้สึกว่าหญิงสาวตรงหน้าจะถนัดเป็นพิเศษ เขาไม่มีทางซ่อนความรู้สึกหรือลวงเธอด้วยคำพูดและการกระทำได้เลยเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอคนนี้
“พี่ศักดิ์มีอะไรสงสัย อยากถามอะไรวิ หรืออยากให้วิตอบอะไรรึเปล่าคะ” เธอถามตรงไปตรงมา น้ำเสียงใบหน้าดูสดใสเป็นปกติ ท่าทางเป็นธรรมชาติแบบนี้ของเธอทำให้ศักดาคิดว่าหากตอนนี้เธอกำลังไม่พอใจอยู่ละก็ เธอก็เป็นคนที่เก็บอาการไว้ได้อย่างแนบเนียนทีเดียว
“สมกับเป็นวิจริงๆ วิมองพี่ออกตลอด จริงอย่างที่วิว่า พี่มีอะไรสงสัยอยากถามสักหน่อย” ชมเธอแล้วถอนหายใจ พยักหน้ารับก่อนตัดสินใจพูดออกไปตรงๆ ด้วยคิดว่าคงดีที่สุดสำหรับตอนนี้
“พี่สงสัยจริงๆ ว่าวิเป็นใคร ทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมีฝีมือซัดมีดขนาดนั้น แล้วเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนนั้น พี่เห็นวิไม่ได้ตื่นตกใจอะไรมากมายเมื่อเทียบกับคนทั่วไป อย่างเช่น...เอ่อ หมอบรรพต ถ้าเป็นคนปกติอื่นๆ จะต้องกลัวจนสติแตกแบบเขาไปแล้ว แต่วิกลับสงบอย่างไม่น่าเชื่อ”
เมื่อตัดสินใจถามก็ถามออกมาเป็นชุด คนถูกถามขำพรืดในลำคออย่างไม่ปิดบัง ทำเอาคนตั้งคำถามถึงกับงงว่าเธอขำเรื่องอะไร
“แหม ถ้าเรื่องนั้นทำให้พี่ศักดิ์ไม่สบายใจขนาดนี้ก็น่าจะบอกวิตั้งนานแล้วนะคะ วิยินดีตอบอยู่แล้วค่ะ”
เป็นปฏิกิริยาที่ค่อนข้างผิดคาดไปมากจากที่คิด หญิงสาวดูไม่สะทกสะท้านอะไรเลยกับคำถามเหล่านั้น แต่กลับกัน ท่าทางเธอออกจะผ่อนคลายลงเสียด้วยซ้ำ
“วิจะเล่าให้ฟังค่ะ ความจริงแล้ววิมาที่นี่เพราะมีคนติดต่อให้มาช่วยพี่ศักดิ์คลี่คลายคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง คดีที่พี่ศักดิ์กำลังตามสืบอยู่ไงคะ และที่สำคัญ คนๆ นั้นก็เป็นคนที่พี่ศักดิ์รู้จักดีอยู่แล้วด้วยค่ะ”
“มีคนติดต่อวิเรื่องคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เกิดจากเจ้าอสุรกายอย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า...” ชายหนุ่มพอเดาคำตอบได้แล้ว ว่าคนๆ นั้นคือใคร
“ถูกต้องแล้วค่ะ เป็นอย่างที่พี่ศักดิ์คิดนั่นแหละ” วิภาดายิ้มกริ่ม ชิงพูดตัดหน้าอย่างรู้ทันความคิดของอีกฝ่าย
“วิคือหนึ่งในทีมนักล่าอสุรกาย และคนที่ติดต่อวิให้มาช่วยคดีนี้ก็คือพี่พลค่ะ”
เป็นอย่างที่คิดไว้ พอเธอพูดออกมา เขาจึงเพิ่งนึกได้ว่าพี่พลเคยรับปากว่าจะหาใครมาช่วยในการสืบคดีนี้
พี่พลที่วิภาดาอ้างถึงก็คือพิชิตพล ชายผู้มีบุคลิกสุขุมรอบคอบที่เป็นคนคิดอะไรรอบด้าน มีใจเป็นธรรมตรงไปตรงมา เขาเป็นทั้งหัวหน้าและผู้ชี้แนะสั่งสอน ตลอดจนคอยให้คำปรึกษาแก่ศักดาเสมอ การวางแผนและการตัดสินใจของพิชิตพลมักรอบคอบและถูกต้อง อีกทั้งยังเป็นคนมีจุดยืนอันมั่นคงไม่เคยเปลี่ยน
สำหรับศักดาแล้ว ชายที่เขาเรียกอย่างสนิทสนมว่าพี่พลคนนี้เป็นคนที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรม กับทั้งยังมีฝีมือทางการต่อสู้ชนิดหาตัวจับยากในยุคนี้เลยทีเดียว
ชื่อของพิชิตพลคงไม่ถูกวิภาดายกขึ้นมาอ้างลอยๆ เพราะหากเป็นเรื่องที่เธอกุขึ้นมา มันย่อมจะถูกตรวจสอบได้ภายในเวลาไม่กี่อึดใจ ถ้าหากเธอกล้าอ้างถึงนั่นก็แปลว่าเธอต้องรู้จักกับพี่พลจริงๆ และใครก็ตามที่พี่พลติดต่อด้วยย่อมต้องไม่ใช่คนร้ายอย่างแน่นอน พอคิดได้อย่างนั้นศักดาก็คลายความกังวลลง
“ถ้าอย่างนั้นทำไมวิถึงต้องปิดบังเรื่องที่เป็นนักล่าอสุรกายกับพี่ด้วยล่ะ” ยังไม่วายมีคำถามต่ออีก หญิงสาวอมยิ้ม แสร้งถอนหายใจออกมายาวๆ
“ตอนที่ตกปากรับคำว่าจะทำงานนี้ วิก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าคนที่ตัวเองจะได้ร่วมงานด้วยคือพี่ศักดิ์ ใครจะไปนึกว่านายตำรวจอนาคตไกลแบบพี่จะกลายมาเป็นนักล่าอสุรกายไปได้ พอมารู้ทีหลังก็ทั้งตกใจและนึกแปลกใจนิดหน่อย” เธอทิ้งระยะ แววตาและรอยยิ้มมีเลศนัยตามแบบฉบับของเธอเผยออกมาให้เห็นอีกครั้ง
“และนั่นละค่ะ วิเลยคิดว่าต้องมีอะไรมาเซอร์ไพรส์พี่ศักดิ์เสียหน่อยดีกว่า”
“โธ่ วิ...เล่นพิเรนทร์อะไรอย่างนี้ ถ้าเกิดพี่เข้าใจผิดแล้วมันกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาจะทำยังไง”
“เรื่องใหญ่อะไรล่ะคะ พี่ศักดิ์ไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่นแบบนั้นเสียหน่อย พี่ศักดิ์ของวิน่ะ ทั้งใจดี อบอุ่น และใช้เหตุผลในการตัดสินใจเสมอค่ะ”
พูดอ้อนเขาพร้อมส่งรอยยิ้มหวานให้ เท่านั้นความโกรธที่เริ่มกรุ่นของชายหนุ่มก็เป็นอันสลายลง ใจเกิดอ่อนยวบลงให้แฟนสาวทันที เสียงหัวเราะชอบใจจึงดังขึ้นจากสองหนุ่มสาว บรรยากาศอึมครึมชวนอึดอัดก่อนหน้ามลายหายไปหมดสิ้น
“คงหายสงสัยในตัววิแล้วนะคะ วิว่า แทนที่จะมาสนใจเรื่องของวิ พี่ศักดิ์ควรเอาเวลาไปคิดหนักกับเรื่องที่สำคัญกว่านี้ดีกว่า ทีนี้วิขอถามบ้าง...”
หลังเข้าใจกันแล้วก็รู้สึกผ่อนคลายลงครู่หนึ่ง แต่แล้วคำพูดของวิภาดาก็พาบรรยากาศเคร่งเครียดให้กลับมาแผ่ปกคลุมเหนือโต๊ะอาหารอีกครั้งหนึ่ง
ยังดีที่ช่วงนี้คุณไพบูลย์ไม่อยู่บ้าน เพราะได้รับเชิญให้ไปเป็นวิทยากรพิเศษบรรยายเกี่ยวกับงานศิลปะอะไรสักอย่างที่มหาวิทยาลัยต่างจังหวัด ซึ่งทำให้บิดาต้องไปค้างแรมที่นั่นหลายคืน
ศักดาจึงสามารถใช้บ้านหลังนี้เป็นที่นัดพบเพื่อช่วยกันวางแผนต่อกรกับอสุรกายได้ค่อนข้างสะดวกเนื่องจากคนที่เกี่ยวข้องล้วนเป็นคนในหมู่บ้านนี้ทั้งนั้น และถ้าบิดายังอยู่ที่นี่ด้วย เขาเองก็ไม่รู้จะอธิบายให้ท่านเข้าใจได้โดยง่ายถึงสิ่งที่จะต้องเผชิญในอนาคตอันใกล้นี้ได้อย่างไร
“เรื่องแรกเลย เราไม่รู้ว่าที่คุณสมานเล่าให้ฟังเป็นเรื่องจริงรึเปล่า เขาอาจกำลังโกหกหรือกำลังหลอกใช้เราเพื่อวัตถุประสงค์อะไรบางอย่างอยู่ก็ได้ เรื่องอื่นๆ ก็อย่างเช่น เรายังไม่รู้เลยว่าอสุรกายตนนั้นอยู่ที่ไหน จะหามันเจอได้ยังไง และมันจะทำอะไรต่อไป และเมื่อรู้แล้วเราจะจัดการกับเจ้าตัวอมตะนี้ได้ยังไง”
วิภาดารัวคำถามเป็นชุด แต่ทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่ศักดาคาดการณ์เอาไว้แล้วทั้งสิ้น
“พี่ตรวจสอบประวัติของคุณสมานและเรื่องราวทั้งหมดเรียบร้อยแล้วละ ไม่มีประวัติของชายคนนี้เก็บไว้ที่ฐานข้อมูลแห่งไหนเลย ชื่อของสถาบันวิจัย ข้อมูลงานวิจัย เรื่องของเอ็กซ์ศูนย์หนึ่งและศูนย์สอง ไม่มีเรื่องอะไรหลงเหลืออยู่สักเรื่อง”
ไม่ใช่ว่าไม่วิตกกังวล แต่เป็นเพราะความวิตกกังวลอย่างมากมายต่างหาก ที่ทำให้ศักดาสืบหาข้อมูลทุกอย่างได้รวดเร็วขนาดนี้ การหาข้อมูลและขบคิดจดจ่ออย่างบ้าคลั่งนั่นเอง ทำให้เขารู้เรื่องราวต่างๆ มากขึ้น และการได้รู้มากขึ้นก็ทำให้เขาพยายามประติดประต่อภาพทั้งหมดเข้าด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดนั้นเองส่งผลให้จิตใจเกิดสมาธิจนสงบเยือกเย็นลง
“การที่ข้อมูลของคนๆ หนึ่งจะหายไปขนาดนี้ก็มีอยู่เพียงสองอย่างเท่านั้น คือเขาคนนั้นโกหกทุกเรื่องที่ตนเองพูด หรือไม่ก็เป็นเพราะว่าข้อมูลนั้นสำคัญมากจนถึงขนาดที่ต้องลบมันออกไปจากสาระบบทั้งหมด ให้เหมือนกับว่าเรื่องเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้น คนๆ นี้ไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกนี้มาก่อน”
ถ้าหากชายชรากุเรื่องทั้งหมดขึ้นมา เขาทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร แต่ถ้าเรื่องที่สมานเล่ามาทั้งหมดเป็นความจริง และเขาต้องการหลอกใช้พวกตนจริงอย่างที่วิภาดาสงสัย ก็แล้วผู้เฒ่าจะแน่ใจได้อย่างไรว่า เรื่องราวในคืนนั้นจะออกมาอย่างที่ตัวเองคิดเอาไว้
รหัสลับรัตติกาล ตอนที่ 17
17.
ศักดารินกาแฟสีดำสนิทที่เพิ่งได้จากเครื่องชงกาแฟมาใหม่ๆ ลงในถ้วยกาแฟสองใบ กลิ่นไหม้หอมๆ ลอยฟุ้งเข้าจมูกจนเจ้าตัวยิ้มออกมาอย่างพึงใจ วางเหยือกกาแฟกลับเข้าที่ก่อนจะถือแก้วทั้งสองใบมานั่งที่โต๊ะอาหาร
“นี่ของวิ กาแฟดำ ไม่ใส่อะไรเลยเหมือนเดิม”
พูดพลางส่งแก้วในมือใบหนึ่งให้หญิงสาวที่กำลังนั่งรออยู่ เธอส่งยิ้มตอบ รับถ้วยเครื่องดื่มมาสูดเอากลิ่นหอมที่ระเหยขึ้นมาแล้วจิบน้ำสีดำร้อนๆ ในนั้นอึกหนึ่ง ก่อนจะวางมันลงไว้คู่กับแก้วน้ำ
จานตรงหน้าของทั้งคู่มีขนมปังปิ้งและไข่ดาว พร้อมด้วยมันฝรั่ง มะเขือเทศ กับผักอีกสองสามชนิดประดับดูน่าทานเป็นเครื่องเคียงไม่ให้รสชาติอาหารเลี่ยนจนเกินไป เป็นอาหารง่ายๆ หน้าตาธรรมดาที่คนส่วนใหญ่โปรดปราน
ไม่มีอะไรจะสุขไปกว่าการได้กินนอาหารถูกปาก จิบเครื่องดื่มแก้วโปรด และได้นั่งอยู่กับคนรู้ใจในเช้าอันสดใสอีกแล้ว
เช้าวันนี้อากาศถูกปกคลุมไปด้วยหมอกบางเบา ไอน้ำชุ่มฉ่ำที่อัดแน่นไปทั่วทุกอณูทำให้อะไรก็ตามที่อยู่ภายใต้แสงตะวันดูฟุ้งนุ่มนวล สวยราวกับภาพฝัน หยาดน้ำค้างที่ยังมีแรงยึดตัวเองไว้กับใบไม้ใบหญ้าพากันอวดแสงประกายวิบวับ
ช่างเป็นเช้าที่พิเศษ ดูอ่อนโยนและเป็นมิตรกับสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้
ศักดาตื่นเช้ากว่าทุกวันเพราะเดิมทีตั้งใจว่าจะออกไปยืดเส้นยืดสายรับอากาศบริสุทธิ์เสียหน่อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำอย่างที่วางแผนไว้ เพราะวิภาดามาหาเสียก่อนที่เขาจะพ้นประตูบ้านไปเพียงไม่กี่วินาที
“พี่ศักดิ์ไม่ทานเหรอคะ เดี๋ยวก็เย็นชืดหมดอร่อยกันพอดี”
วิภาดาชะงักมือจากอาหารตรงหน้า หลังสังเกตเห็นว่าจานอาหารของผู้ร่วมโต๊ะไม่พร่องลงไปเลยสักนิด ชายหนุ่มเอาแต่มองมาที่เธอไม่วางตา หลังตั้งคำถาม เธอสบตาเขาให้รู้ว่ากำลังรอฟังคำตอบอยู่
“ดูเหมือนวิจะคลายความกังวลลงไปแล้วนะ”
แทนที่จะตอบชายหนุ่มกลับย้อนถาม หญิงสาวยิ้มรับคำถามที่ฟังเผินๆ เหมือนเขาแสดงความห่วงใย แต่เธอรู้ดีว่าประโยคนั้นน่าจะหมายความถึงเรื่องที่เธอดูไม่ค่อยหวาดกลัวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่าใดมากกว่า
“ใช่ค่ะ วิค่อนข้างหายกลัวไปมากแล้ว แต่ดูเหมือนกับว่าพี่ศักดิ์จะไม่ใช่นะคะ”
คราวนี้เป็นเธอบ้างที่ใช้ประโยคซ่อนความนัยอื่นเอาไว้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ศักดารู้สึกว่าหญิงสาวตรงหน้าจะถนัดเป็นพิเศษ เขาไม่มีทางซ่อนความรู้สึกหรือลวงเธอด้วยคำพูดและการกระทำได้เลยเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอคนนี้
“พี่ศักดิ์มีอะไรสงสัย อยากถามอะไรวิ หรืออยากให้วิตอบอะไรรึเปล่าคะ” เธอถามตรงไปตรงมา น้ำเสียงใบหน้าดูสดใสเป็นปกติ ท่าทางเป็นธรรมชาติแบบนี้ของเธอทำให้ศักดาคิดว่าหากตอนนี้เธอกำลังไม่พอใจอยู่ละก็ เธอก็เป็นคนที่เก็บอาการไว้ได้อย่างแนบเนียนทีเดียว
“สมกับเป็นวิจริงๆ วิมองพี่ออกตลอด จริงอย่างที่วิว่า พี่มีอะไรสงสัยอยากถามสักหน่อย” ชมเธอแล้วถอนหายใจ พยักหน้ารับก่อนตัดสินใจพูดออกไปตรงๆ ด้วยคิดว่าคงดีที่สุดสำหรับตอนนี้
“พี่สงสัยจริงๆ ว่าวิเป็นใคร ทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมีฝีมือซัดมีดขนาดนั้น แล้วเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนนั้น พี่เห็นวิไม่ได้ตื่นตกใจอะไรมากมายเมื่อเทียบกับคนทั่วไป อย่างเช่น...เอ่อ หมอบรรพต ถ้าเป็นคนปกติอื่นๆ จะต้องกลัวจนสติแตกแบบเขาไปแล้ว แต่วิกลับสงบอย่างไม่น่าเชื่อ”
เมื่อตัดสินใจถามก็ถามออกมาเป็นชุด คนถูกถามขำพรืดในลำคออย่างไม่ปิดบัง ทำเอาคนตั้งคำถามถึงกับงงว่าเธอขำเรื่องอะไร
“แหม ถ้าเรื่องนั้นทำให้พี่ศักดิ์ไม่สบายใจขนาดนี้ก็น่าจะบอกวิตั้งนานแล้วนะคะ วิยินดีตอบอยู่แล้วค่ะ”
เป็นปฏิกิริยาที่ค่อนข้างผิดคาดไปมากจากที่คิด หญิงสาวดูไม่สะทกสะท้านอะไรเลยกับคำถามเหล่านั้น แต่กลับกัน ท่าทางเธอออกจะผ่อนคลายลงเสียด้วยซ้ำ
“วิจะเล่าให้ฟังค่ะ ความจริงแล้ววิมาที่นี่เพราะมีคนติดต่อให้มาช่วยพี่ศักดิ์คลี่คลายคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง คดีที่พี่ศักดิ์กำลังตามสืบอยู่ไงคะ และที่สำคัญ คนๆ นั้นก็เป็นคนที่พี่ศักดิ์รู้จักดีอยู่แล้วด้วยค่ะ”
“มีคนติดต่อวิเรื่องคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เกิดจากเจ้าอสุรกายอย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า...” ชายหนุ่มพอเดาคำตอบได้แล้ว ว่าคนๆ นั้นคือใคร
“ถูกต้องแล้วค่ะ เป็นอย่างที่พี่ศักดิ์คิดนั่นแหละ” วิภาดายิ้มกริ่ม ชิงพูดตัดหน้าอย่างรู้ทันความคิดของอีกฝ่าย
“วิคือหนึ่งในทีมนักล่าอสุรกาย และคนที่ติดต่อวิให้มาช่วยคดีนี้ก็คือพี่พลค่ะ”
เป็นอย่างที่คิดไว้ พอเธอพูดออกมา เขาจึงเพิ่งนึกได้ว่าพี่พลเคยรับปากว่าจะหาใครมาช่วยในการสืบคดีนี้
พี่พลที่วิภาดาอ้างถึงก็คือพิชิตพล ชายผู้มีบุคลิกสุขุมรอบคอบที่เป็นคนคิดอะไรรอบด้าน มีใจเป็นธรรมตรงไปตรงมา เขาเป็นทั้งหัวหน้าและผู้ชี้แนะสั่งสอน ตลอดจนคอยให้คำปรึกษาแก่ศักดาเสมอ การวางแผนและการตัดสินใจของพิชิตพลมักรอบคอบและถูกต้อง อีกทั้งยังเป็นคนมีจุดยืนอันมั่นคงไม่เคยเปลี่ยน
สำหรับศักดาแล้ว ชายที่เขาเรียกอย่างสนิทสนมว่าพี่พลคนนี้เป็นคนที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรม กับทั้งยังมีฝีมือทางการต่อสู้ชนิดหาตัวจับยากในยุคนี้เลยทีเดียว
ชื่อของพิชิตพลคงไม่ถูกวิภาดายกขึ้นมาอ้างลอยๆ เพราะหากเป็นเรื่องที่เธอกุขึ้นมา มันย่อมจะถูกตรวจสอบได้ภายในเวลาไม่กี่อึดใจ ถ้าหากเธอกล้าอ้างถึงนั่นก็แปลว่าเธอต้องรู้จักกับพี่พลจริงๆ และใครก็ตามที่พี่พลติดต่อด้วยย่อมต้องไม่ใช่คนร้ายอย่างแน่นอน พอคิดได้อย่างนั้นศักดาก็คลายความกังวลลง
“ถ้าอย่างนั้นทำไมวิถึงต้องปิดบังเรื่องที่เป็นนักล่าอสุรกายกับพี่ด้วยล่ะ” ยังไม่วายมีคำถามต่ออีก หญิงสาวอมยิ้ม แสร้งถอนหายใจออกมายาวๆ
“ตอนที่ตกปากรับคำว่าจะทำงานนี้ วิก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าคนที่ตัวเองจะได้ร่วมงานด้วยคือพี่ศักดิ์ ใครจะไปนึกว่านายตำรวจอนาคตไกลแบบพี่จะกลายมาเป็นนักล่าอสุรกายไปได้ พอมารู้ทีหลังก็ทั้งตกใจและนึกแปลกใจนิดหน่อย” เธอทิ้งระยะ แววตาและรอยยิ้มมีเลศนัยตามแบบฉบับของเธอเผยออกมาให้เห็นอีกครั้ง
“และนั่นละค่ะ วิเลยคิดว่าต้องมีอะไรมาเซอร์ไพรส์พี่ศักดิ์เสียหน่อยดีกว่า”
“โธ่ วิ...เล่นพิเรนทร์อะไรอย่างนี้ ถ้าเกิดพี่เข้าใจผิดแล้วมันกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาจะทำยังไง”
“เรื่องใหญ่อะไรล่ะคะ พี่ศักดิ์ไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่นแบบนั้นเสียหน่อย พี่ศักดิ์ของวิน่ะ ทั้งใจดี อบอุ่น และใช้เหตุผลในการตัดสินใจเสมอค่ะ”
พูดอ้อนเขาพร้อมส่งรอยยิ้มหวานให้ เท่านั้นความโกรธที่เริ่มกรุ่นของชายหนุ่มก็เป็นอันสลายลง ใจเกิดอ่อนยวบลงให้แฟนสาวทันที เสียงหัวเราะชอบใจจึงดังขึ้นจากสองหนุ่มสาว บรรยากาศอึมครึมชวนอึดอัดก่อนหน้ามลายหายไปหมดสิ้น
“คงหายสงสัยในตัววิแล้วนะคะ วิว่า แทนที่จะมาสนใจเรื่องของวิ พี่ศักดิ์ควรเอาเวลาไปคิดหนักกับเรื่องที่สำคัญกว่านี้ดีกว่า ทีนี้วิขอถามบ้าง...”
หลังเข้าใจกันแล้วก็รู้สึกผ่อนคลายลงครู่หนึ่ง แต่แล้วคำพูดของวิภาดาก็พาบรรยากาศเคร่งเครียดให้กลับมาแผ่ปกคลุมเหนือโต๊ะอาหารอีกครั้งหนึ่ง
ยังดีที่ช่วงนี้คุณไพบูลย์ไม่อยู่บ้าน เพราะได้รับเชิญให้ไปเป็นวิทยากรพิเศษบรรยายเกี่ยวกับงานศิลปะอะไรสักอย่างที่มหาวิทยาลัยต่างจังหวัด ซึ่งทำให้บิดาต้องไปค้างแรมที่นั่นหลายคืน
ศักดาจึงสามารถใช้บ้านหลังนี้เป็นที่นัดพบเพื่อช่วยกันวางแผนต่อกรกับอสุรกายได้ค่อนข้างสะดวกเนื่องจากคนที่เกี่ยวข้องล้วนเป็นคนในหมู่บ้านนี้ทั้งนั้น และถ้าบิดายังอยู่ที่นี่ด้วย เขาเองก็ไม่รู้จะอธิบายให้ท่านเข้าใจได้โดยง่ายถึงสิ่งที่จะต้องเผชิญในอนาคตอันใกล้นี้ได้อย่างไร
“เรื่องแรกเลย เราไม่รู้ว่าที่คุณสมานเล่าให้ฟังเป็นเรื่องจริงรึเปล่า เขาอาจกำลังโกหกหรือกำลังหลอกใช้เราเพื่อวัตถุประสงค์อะไรบางอย่างอยู่ก็ได้ เรื่องอื่นๆ ก็อย่างเช่น เรายังไม่รู้เลยว่าอสุรกายตนนั้นอยู่ที่ไหน จะหามันเจอได้ยังไง และมันจะทำอะไรต่อไป และเมื่อรู้แล้วเราจะจัดการกับเจ้าตัวอมตะนี้ได้ยังไง”
วิภาดารัวคำถามเป็นชุด แต่ทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่ศักดาคาดการณ์เอาไว้แล้วทั้งสิ้น
“พี่ตรวจสอบประวัติของคุณสมานและเรื่องราวทั้งหมดเรียบร้อยแล้วละ ไม่มีประวัติของชายคนนี้เก็บไว้ที่ฐานข้อมูลแห่งไหนเลย ชื่อของสถาบันวิจัย ข้อมูลงานวิจัย เรื่องของเอ็กซ์ศูนย์หนึ่งและศูนย์สอง ไม่มีเรื่องอะไรหลงเหลืออยู่สักเรื่อง”
ไม่ใช่ว่าไม่วิตกกังวล แต่เป็นเพราะความวิตกกังวลอย่างมากมายต่างหาก ที่ทำให้ศักดาสืบหาข้อมูลทุกอย่างได้รวดเร็วขนาดนี้ การหาข้อมูลและขบคิดจดจ่ออย่างบ้าคลั่งนั่นเอง ทำให้เขารู้เรื่องราวต่างๆ มากขึ้น และการได้รู้มากขึ้นก็ทำให้เขาพยายามประติดประต่อภาพทั้งหมดเข้าด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดนั้นเองส่งผลให้จิตใจเกิดสมาธิจนสงบเยือกเย็นลง
“การที่ข้อมูลของคนๆ หนึ่งจะหายไปขนาดนี้ก็มีอยู่เพียงสองอย่างเท่านั้น คือเขาคนนั้นโกหกทุกเรื่องที่ตนเองพูด หรือไม่ก็เป็นเพราะว่าข้อมูลนั้นสำคัญมากจนถึงขนาดที่ต้องลบมันออกไปจากสาระบบทั้งหมด ให้เหมือนกับว่าเรื่องเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้น คนๆ นี้ไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกนี้มาก่อน”
ถ้าหากชายชรากุเรื่องทั้งหมดขึ้นมา เขาทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร แต่ถ้าเรื่องที่สมานเล่ามาทั้งหมดเป็นความจริง และเขาต้องการหลอกใช้พวกตนจริงอย่างที่วิภาดาสงสัย ก็แล้วผู้เฒ่าจะแน่ใจได้อย่างไรว่า เรื่องราวในคืนนั้นจะออกมาอย่างที่ตัวเองคิดเอาไว้