JJNY : จับตาหนี้!ซ้ำโรงแรมภูเก็ต/จัดเก็บรายได้11ด.ต่ำเป้า12%/ชาวไร่ยาสูบค้านขึ้นภาษีบุหรี่40%/ผอ.บดินทร์ตั้งกก.สืบ

จับตาหนี้! 'ระเบิดเวลา' ลูกใหม่ ทุบซ้ำธุรกิจโรงแรมภูเก็ต
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/900089
  

 
โควิด-19 ทำให้ธุรกิจโรงแรมในสวรรค์บนดินอย่างภูเก็ตต้องดิ่งเหว จากเคยทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ กลายเป็นภาระ "หนี้" เข้ามาแทน ยิ่งเปิดยิ่งขาดทุน ครั้นไม่เปิด ก็ไม่เงินสดหมุนเวียนเข้ามา สุดท้ายต้องกู้แบงก์มาประคองธุรกิจ
   
เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมอย่าง “ภูเก็ต” ได้รับสมญานามเป็น “สวรรค์บนดิน” เพราะมีธรรมชาติที่สวยงาม โดยเฉพาะ “ทะเล” ที่เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องการมาเยือนสักครั้งในชีวิต แม้ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา จำนวนห้องพักของโรงแรมจะล้นตลาด แต่เมื่อเทียบกับโอกาสทำเงินจากนักเดินทาง ที่ยังมีอีกจำนวนไม่น้อย ที่ยังไม่เคยมาภูเก็ต ขณะที่ห้องพักมีหลากหลายคุณภาพ ทำให้มีผู้ประกอบการเข้ามาพัฒนาโรงแรมตอบโจทย์นักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง
  
เมื่อผู้ประกอบการอยู่ในจุดหอมหวาน สร้างรายได้จากธุรกิจพักผ่อนหย่อนใจ(Hospitality) แต่ทันทีที่โรคโควิด-19 ระบาด ทำให้เจ้าของกิจการทั้งรายเล็ก-ใหญ่ตกสวรรค์ ยิ่งกว่านั้นการล็อกดาวน์ นักท่องเที่ยวหยุดเดินทาง น่านฟ้าหยุดให้บิน ฉุดให้ผู้ประกอบการตกเหว ปัจจุบันโรงแรมในภูเก็ตเริ่มเปิดให้บริการบางส่วน แต่มาตรการรัดเข็มขัดต้องเข้มต่อ เพื่ออยู่รอด
   
“ธุรกิจถึงจุดต่ำสุดหรือยัง..คิดว่ายัง เพราะตราบใดที่ยังไม่มีอะไรจับต้องได้ วิกฤติยังคงอยู่” มุมมองจาก  นิวัฒน์    จันทร์ตระกูล  เจ้าของโรงแรม 6 แห่งในจังหวัดภูเก็ต เช่น โรงแรมเอทู รีสอร์ท โรงแรมแอคเซส รีสอร์ท แอนด์ วิลล่า และโรงแรมอิมเพรส รีสอร์ท
  
 ขณะที่การเอาตัวรอดบนเส้นทางธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมาตรการ “ลดต้นทุน” โรงแรมงัดทุกอย่างมาดำเนินการหมด จนไม่รู้จะลดจุดไหนได้อีก และเชื่อว่าทุกทางรอดผู้ประกอบการในธุรกิจเดียวกันทำมาหมดแล้ว นอกจากนี้ การเปิดโรงแรมท่ามกลางเมืองภูเก็ตที่ทำได้แค่ “แง้ม” ประตูรับนักท่องเที่ยว สุดท้ายต้นทุนในการบริหารจัดการหรือโอเปอเรชั่นคอสต์ยังมากกว่ารายได้ เรียกว่ายิ่งเปิดยิ่งขาดทุน “กลืนเลือด” ต่อไป
  
สถานการณ์ดังกล่าว ผู้ประกอบการจะยืนระยะไหวแค่ไหน นิวัฒน์ ตอบทันควัน “สิ้นปี 2563” เพราะ “ระเบิดเวลา” ลูกใหม่ที่จะซ้ำเติมธุรกิจ คือมาตรการผ่อนปรนให้เลื่อนชำระหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ซึ่งจะสิ้นสุดเดือนตุลาคมนี้ นั่นหมายความว่า “ลูกหนี้” สถาบันการเงินทั้งหลายเตรียมแบกภาระต้นทุนจาก “ดอกเบี้ย”
  
“หากสิ้นสุดมาตรการเลื่อนชำระหนี้ ผู้ประกอบการที่อยู่ได้คือไม่กู้แบงก์ มีเงินเย็นในการบริหาร แต่ก็มีภาระต้องดูแลพนักงาน ค่าใช้จ่ายต่าง ซึ่งเหนื่อยมาก” ท่ามกลางโรคโควิดยังไม่จางหาย ประโยคให้กำลังใจที่ได้ยินบ่อยหนีไม่พ้นในวิกฤติมีโอกาส ทว่า “นิวัฒน์” กลับเห็นแต่วิกฤติอยู่บนวิกฤติ เพราะยุคที่ไวรัสทำลายล้างสูงเช่นนี้ หากใครมีโครงการยื่นกู้แบงก์ ยากจะอนุมัติ ต่างจากปี 2540 ยังมีโอกาสลุ้นก่อร่างสร้างกิจการได้ “อดีตจะประสบความสำเร็จต้องมีโอกาสและเงินทุน ตอนนี้ต่อให้มีโอกาสแต่ไม่มีทุนก็เป็นไปไม่ได้”
 
ธรรมรวี  จันทร์ตระกูล  ผู้ช่วยผู้บริหารการเงิน และทายาท “นิวัฒน์” เล่าว่า ห้วงเวลานี้โอกาสทางธุรกิจมีน้อยมาก เช่น ทำตลาดออนไลน์ โรงแรมมุ่งจับนักท่องเที่ยวชาวไทย แต่ผู้ประกอบการทุกรายหันมาทำแบบเดียวกันหมด อีกทั้งตลาดยังไม่ฟื้นตัว 100% ทุกอย่างเป็นความท้าทายมาก
 
ทั้งนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ ทั้งการแพร่ระบาดของโรคในต่างประเทศ รัฐเปิดให้ต่างชาติเข้าไทย ฯ ซึ่งกระทบธุรกิจโดยตรง และไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะส่งผล “ดี” หรือ “ลบ” ทำให้วางแผนทำงานยากขึ้น
  
“ทุกอย่างเหมือนระเบิดเวลา เรากู้แบงก์มาประคองธุรกิจ หากยังเลือดไหล ไม่รอดก็จะระเบิด หากมีคนมาตัดสายระเบิดทันก็รอด”
  
การกระจายความเสี่ยงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการรับรู้มาตลอด แต่ 3 ปีของการลุยธุรกิจโรงแรม ทำรายได้จนใกล้จะจ่ายเงินกู้ให้แบงก์ได้หมด และมีเงินทุน “กำไร” ไปหล่อเลี้ยงบริษัท แต่โควิดทำให้ทุกอย่างกลับไปสู่จุดตั้งต้นอีกครั้ง และอาจ “ติดลบ” ด้วย มุมมองจาก  เกรียงศักดิ์    กิติเกียรติศักดิ์  หนึ่งในหุ้นส่วนบริษัท เอ แอนด์ เอ ลากูน จำกัด ผู้บริหารโรงแรมสุพิชฌาย์ พูล แอคเชส ฉายภาพ
   
วันนี้การมีไข่ในตระกร้าหลายใบถูกนำมาใช้ เดิมโรงแรมมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเกือบ 100% ต้องไปขยายไปยังคนไทย การขายห้องพักผ่านเอเย่นต์ ต้องปรับมารุกออนไลน์ ส่งทีมงานเรียนรู้การทำตลาดดิจิทัลมากขึ้นเพื่อให้อยู่รอดและรับมือความเสี่ยงในอนาคต
   
“ผมเป็นคนที่ไปโรงแรมทุกวัน เคยเจอนักท่องเที่ยวคึกคัก แต่ 4 เดือนที่โควิดระบาดต้องปิดโรงแรม ปล่อยร้าง มียาม พนักงาน 1-2 คน มาทำความสะอาดห้อง สระน้ำ ดูแลสวนสลับกัน เป็นความปวดใจนะ”
  
เกรียงศักดิ์ มีโรงแรม 2 แห่ง และอัตราการเข้าพักสูงเฉลี่ย 90-95% มาโดยตลอด แม้อยากเห็นการกลับไปสู่จุดเดิม แต่นาทีนี้คงยาก เพราะโรคโควิดยังคงอยู่ โรงแรมปัจจุบันหาทางฟื้นตัว ยังมีโปรเจคที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และเงินทุนมาจากการกู้แบงก์ จึงต้องการเห็นมาตรการช่วยเหลือด้าน “ลดดอกเบี้ย” ช่วยผู้ประกอบการดีกว่าการพักชำระหนี้ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีเงินทุนบริหารธุรกิจในภาวะวิกฤติเช่นนี้ได้อีก 2 ปี หากเกิดเหตุซ้ำยอมรับว่าผลกระทบเป็นลูกโซ่จะฉายซ้ำอีกระลอกแน่นอน
  
“ผมทำธุรกิจค้าขายทองคำมา 20 ปี เพิ่งเข้ามารุกธุรกิจโรงแรม ถามว่าวิกฤติโควิดทำให้เข็ดไหม..ไม่เข็ด แต่หากใครต้องการซื้อโรงแรมก็ขาย” เขาหัวเราะทิ้งท้าย
   

 
รัฐบาลจัดเก็บรายได้11เดือนต่ำเป้า12%
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/900147
 
คลังเผยผลจัดเก็บรายได้รัฐบาล 11 เดือนต่ำเป้าหมาย 2.93 แสนล้านบาท หรือ 12% ผลจากเศรษฐกิจหดตัวจากสถานการณ์โควิด-19 และ การผ่อนปรนมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือประชาชน
 
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยผลจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ต.ค.25562 – ส.ค.2563)ว่า รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิจำนวน 2.15 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 2.93 แสนล้านบาท หรือ 12.0%
 
ทั้งนี้ การจัดเก็บรายได้ที่ต่ำกว่าประมาณการเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) และการดำเนินนโยบายและมาตรการทางภาษีของรัฐบาลเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชนและผู้ประกอบการ
 
ส่งผลให้การจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 ไม่เป็นไปตามรอบระยะเวลาการชำระภาษีในช่วงสถานการณ์ปกติ
โดยเฉพาะมาตรการขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีเงินได้นิติบุคคล ดังนั้น ในการนำข้อมูลไปใช้ในการวิเคราะห์พึงคำนึงถึงผลของมาตรการทางภาษีดังกล่าวเป็นสำคัญด้วย
 
สำหรับหน่วยงานที่จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการเป็นสำคัญ​ ได้แก่ กรมสรรพากร จัดเก็บรายได้รวม 1.61 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 2.33 แสนล้านบาท หรือ 12.7% โดยภาษีที่จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการที่สำคัญ ได้แก่ 
 
1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการเป็นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการค้าที่หดตัวเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
  
2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ เนื่องจาก มีการขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลจากประมาณการกำไรสุทธิในช่วงครึ่งแรกของปี2563 (ภ.ง.ด. 51) ออกไป​เป็นภายในเดือนก.ย.2563 และการลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย จากอัตรา 3% เหลืออัตรา
1.5% ตั้งแต่เดือนเม.ย.-ก.ย.2563
 
3. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการส่วนใหญ่เป็นผลจากภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย จากเงินเดือน (ภ.ง.ด.1) ขยายตัวต่ำกว่าที่ประมาณการไว้เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
 
กรมสรรพสามิต จัดเก็บรายได้รวม 5.03 แสนล้านบาทต่ำกว่าประมาณการ 8.78 หมื่นล้านบาท หรือ 14.9% โดยภาษีที่จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีสรรพสามิตรถยนต์​ ภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน และภาษียาสูบ เนื่องจากปริมาณสินค้าที่ชำระภาษีขยายตัวต่ำกว่าที่ประมาณการไว้​ ซึ่งเป็นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
 
กรมศุลกากร จัดเก็บรายได้รวม 8.59 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 1.57 หมื่นล้านบาท หรือ 15.5% เนื่องจาก ได้รับผลกระทบจากการหดตัวของมูลค่าการนำเข้า
 
อย่างไรก็ดี​ การจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่นและการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ สูงกว่าประมาณการ​ 1.6 หมื่นล้านบาท และ 1.06 หมื่นล้านบาท หรือ 9.4% และ 6.2% ตามลำดับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่