คน..ปากดี 4

คน..ปากดี 4

เล่าเรื่องการไปเรียน...ศิลปศาสตร์การพูด
คือการฝึกพูดต่อหน้าที่ชุมชน ต่อหน้าคนเยอะ ๆ ว่ามีพิธีการ และรูปแบบอย่างไร
การเอาชนะตัวเองไม่ให้ตื่นตระหนก ตกประหม่า แข้งขา มือไม้สั่น
การรวบรวมสติ เรียบเรียงเนื้อความ
และการเปล่งเสียงออกมา ผ่านไมโครโฟนอันเท่าไม้ตีพริก แต่อิทธิฤทธิ์เหลือร้าย
เมื่อวานเล่าไปถึงบทเรียนแรก ที่อาจารย์
ได้โปรยหัวไว้....การปรับระดับไมค์ การทักทายที่ประชุม
และบรรยากาศการขึ้นไปยืนเด่นเป็นสง่า อยู่บนเวทียกพื้น
โดยมีไอ้เจ้า ไมโครโฟน พร้อมขาตั้ง ทำท่าท้าทายนักพูดจิตอ่อนทั้งหลาย
ว่า...มันกับเรา ใครจะปราบใคร ใครจะแน่กว่ากัน
หรือใครจะยืนสั่น เสียสติสัมปชัญญะอยู่หลังมัน

พวกเราทั้งหมด 9 ขึ้นไปเสียท่าแล้ว 5 
มาต่อกัน นะ

คนที่หก....น้องแตงโม สาวน้อยน่ารักจากเมือง ตรัง
ดูภายนอกเป็นเด็กหน้าแป้น ยิ้มแย้มอารมณ์ดีตลอดเวลา
แต่ทำเป็นเล่นไป เธอจบปริญญาตรี และโท บัญชี
มีตำแหน่งเป็นถึงผู้ดูแลฝ่ายบัญชี ของบริษัทแปรรูปไม้ส่งออกขนาดไม่เบาเลยทีเดียว
น้องหมวยคนนี้ มีบางอย่างซ่อนอยู่ภายใต้รูปลักษณ์ที่หลอกตา
ข้างนอกดูหน้ารัก แต่...ข้างในมีภูเขาไฟซ่อนอยู่
คุยเคยเห็น...ภูเขาไฟ ฟูจิ ของญี่ปุ่น มั้ยล่ะ
ยังไงยังงั้นเลย สวยงามมีน้ำล้อมรอบดูชุ่มเย็น ส่วนบนมีหิมะปกคลุมดูชวนฝัน
แต่ข้างใต้ยังมีลาวาร้อน เดือดปุด ๆ รอการระเบิดออกมา
น้องแตงโม เธอขึ้นมาบนเวที แล้วก็เริ่มออกตัวด้วยเสียง...งุ้ง ๆ งิ้ง ๆ 
ว่าไม่ได้อยากจะมาเรียน แต่ถูกเจ้านายใหญ่บังคับ
งานที่ทำก็ปวดหัว ทว่าก็สนใจปฏิบัติธรรมอยู่ไม่ขาด
และจบคำพูดว่า...ทุกวันนี้เธอกำลังฝึก สิ้นคิด เพื่อให้สิ้นทุกข์
ด้วยน้ำเสียง งุ้งง ๆ งิ้งง ๆ ของเธอ

คนที่เจ็ด...คุณปลา สาวนักธุรกิจผู้มาดมั่น จากเมืองกาญจนบุรี
ก้าวฉับ ๆ ๆ ขึ้นมาอย่างนักรบผู้องอาจ ประกาศก้อง
กล่าวทักทายที่ประชุมอย่างมืออาชีพ
บอกว่า...เคยฝึกฝน ศิลปการพูด มาจากที่อื่นแล้ว
แต่มันไม่สะใจ ยังไม่ได้ ยังไม่โดน อยากตะเวณหาแก่นวิชาให้พบ
ทุกวันนี้เข้าสู่ยุทธจักรการค้า รถไถ...คูโบต้า และ ธุรกิจคอมพิวเตอร์
แอบหวังเล็ก ๆ ว่าเวทีแห่งสำนัก เดอะเบสท์สปีช นี้ จะให้ความสำเร็จกับเธอได้บ้าง
ถิ่นเกิดคือ ราชบุรี มีเป้าหมายจะฟาดฟันในโลกธุรกิจซะก่อน
แล้วค่อยพาครอบครัวย้อนกลับคืนสู่ ธรรมชาติ
โอ้วว.นี่มัน.... ซามูไรแม่ลูกอ่อน นี่หว่า
น่ากลัว.อ่ะ

คนที่แปด...พี่โรจน์  หนุ่มใหญ่ อบต. ฝ่ายป้องกันสาธารณะภัย จากชัยภูมิ
ก้าวขึ้นเวทีมา อย่างไม่มั่นคง ยืนส่งสายตาดูผู้คนข้างล่างแล้วถอนหายใจ
เอ่ยเสียงเบาบาง อุบ ๆ อิบ ๆ ว่าไม่ชอบพูดกับผู้คน เกลียดนักหนากับการต้องขึ้นเวที
ยกเว้นนั่งสนทนาในวงเหล้า อันนี้ไม่มีถอย ถึงไหนถึงกัน
ไม่เข้าใจว่ามาที่นี้ทำไม และยังไง ก็ยัง งง ๆ
มองจากข้างล่างขึ้นไปแล้ว พี่โรจน์นี่ จะไหวมั้ยหนอ
ยังแฮ้งค์โอเวอร์ค้างอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้
สภาพเหมือน รถกระบะที่ขับส่ายไป ส่ายมา
อาจารย์จะทำยังไงกับพี่เค้าล่ะ..เนี่ยะ

คนที่เก้า...คือผมเอง 
ขึ้นบนเวทีอย่างที่คิดว่า...ไม่น่ายากเย็นอะไร กะอีแค่มาพูดบนเวที
ชีวิตที่ผ่านมานี้ เคยเป็นผู้บริหารในธุรกิจขนาดใหญ่มาแล้ว
ต้องพูด ต้องประชุม รวมถึงสอนพนักงานใหม่ทั่วประเทศอยู่ทุกปี
กะอีแค่ขึ้นพูดต่อหน้าคนแค่หยิบมือ มันจะยากอะไร
แต่พอมายืนเด่นบนเวที เผชิญหน้ากับ ไมโครโฟน คู่ปรับเก่า
พลันก็ให้ระลึกได้ถึงอดีตอันชอกช้ำทุกครั้งที่ต้องเข้าประชุมใหญ่ประจำปี
ทุกครั้งที่ต้องพูดบนโพเดี่ยม ต่อหน้าเจ้านายผู้นำองค์กร และผู้บริหารทุกระดับ
บรรยากาศมันช่างโหดหิน ถูกจับตา หาจุดอ่อนของเรา และเยาะเย้ยตลอดเวลา

แว่บบ..นั้นเอง ความกลัว ความตื่นตระหนกมันก็วิ่งพล่านไปทั่ว
รู้สึกได้ถึงมือไม้ ที่เริ่มสั่น สติ สัมปชัญญะ เริ่มรวนเร
เรื่องราวที่เตรียมมา มันสับสนปนเปไม่เรียงลำดับขึ้นมาซะอย่างนั้น
ที่ย่ำแย่ไปกว่า คือเรื่องราวความล้มเหลวต่อหน้าไมค์ ในอดีตกาลนานมาแล้ว
ตั้งสมัย ประถม 7 มันโผล่ผุดขึ้นมา........

เมื่อตอนอายุสัก 12 ขวบเองมั้ง
ที่โรงเรียนประถม กำลังจัดงานฉลองปีใหม่ วันนั้นจะไม่มีการเรียนการสอน
แต่จะเอาอาหารมาปาร์ตี้กันอย่างสนุกสนาน มีการแข่งกีฬา การแข่งขันร้องเพลง
เรียกว่า สนุกกันทั้งวันทั้งคุณครู และนักเรียน
คุณครูประจำชั้นของผม ท่านเป็นโฆษกประจำแทบตลอดวัน
ในฐานที่เราเป็นนักเรียนของท่าน เลยต้องวิ่งช่วยงานสารพัด มากกว่านักเรียนห้องอื่น
ท่านจะสั่งให้ไปทำโน่น หยิบนี่เป็นระยะ ๆ ต้องอยู่ใกล้ ๆ เวที

นักเรียนห้องอื่น ๆ ชั้นอื่น ๆ เค้าก็ไปสนุกกันสุด ๆ ทั้งปาร์ตี้ ทั้งเชียร์กีฬา
หรือมาเชียร์เพื่อนที่เข้าประกวดร้องเพลง
ห้องของผม ก็ไม่น้อยหน้า  มีเพื่อนบางคนสมัครเข้าประกวดด้วย
เค้าร้องเพลงเก่ง เสียงดี จังหวะดี มีการฝึกฝนอย่างหนัก
ไอ้ความรักพวกพ้อง ผมก็ไปยืนเชียร์เพื่อนเหย็ง ๆ อยู่หน้าเวที
แถมคอยช่วยโห่ ซ้ำเติม ตัดคะแนนคู่แข่งอยู่เป็นระยะ ๆ
ไม่ได้ดูเลยว่า คุณครูประจำชั้นของเรา และคุณครูของนักร้องคู่แข่งคนอื่น
เค้าจับตามอง ด้วยความไม่พอใจในการเชียร์แบบออกนอกหน้าของพวกเรา

พอจบการร้องเพลงของผู้เข้าประกวดครบทุกคนแล้ว....
คุณครูท่านหนึ่ง ซึ่งก็คงเป็นครูประจำชั้นของคู่แข่งคนไหนสักคนนี่แหละ
ชี้นิ้วมาที่ผม ประกาศออกไมค์ว่า ...ให้ขึ้นมาที่เวที
ไอ้เราก็นึกว่า จะเรียกใช้อะไรมั้ง รีบวิ่งจู๊ดไปทันที
แล้วทันไดนั้น คุณครูท่านนั้นก็หันไปหาคุณครูประจำชั้นของผมที่ทำหน้าที่โฆษก
สั่งให้ผม....ขึ้นไปร้องเพลง เป็นการทำโทษที่มายืนโห่ นักร้องคนอื่น
คุณครูประจำชั้นของผม ท่านหัวเราะก๊าก...แล้วสั่งให้ผมขึ้นไปร้องเพลงเดี๋ยวนี้

โอ้...คุณเอ๊ยยย ถ้าเป็นสมัยนี้เด็กมันไม่ค่อยกลัวครูกันแล้ว
คงขัดขืนวิ่งหนีไป
แต่เมื่อ 50 ปีก่อน...ครู เป็นยิ่งกว่าพ่อแม่
คำสั่งของครู คือประกาศิต 
ผมเองมีอันตกใจ แต่ก็ต้องยอมขึ้นไปร้องเพลงแต่โดยดี
โธ่....ทั้งชีวิตไม่เคยซ้อมร้องเพลงมาก่อนเล๊ยย
นอกจากชั่วโมงวิชา ขับร้อง
ซึ่งก็ห่วยแตก สุนัขไม่รับประทาน สำเนียงเสียง จังหวะอะไรก็ไม่เอาไหน
จำได้แต่ขึ้นไปยืนเหมือนคนเสียสติ อ้าปากค้าง
จนได้ยินคุณครูบอกให้ร้องเพลง....หลังคาแดง ซึ่งกำลังฮิตติดปากในสมัยนั้น

ผมก็เหมือนหุ่นยนต์ ที่ได้รับคำสั่ง ร้องออกมาอย่างไม่มีสติ
เนื้อเพลงมันผุดพรายขึ้นมาเอง ก็ร้องส่งเดชไปตามนั้น
แต่....ผมดั้นด้นร้องไปตามคำสั่งเกือบ 10 นาที ถึงได้รู้ตัวว่า
ทั้งครู และนักเรียนทุกคนในโรงเรียนแห่งนั้นกำลัง ฟังผมร้องเพลง พร้อมกับหัวเราะกันยกใหญ่
หัวเราะกันแบบไม่ต้องยั้ง......

เหตุเพราะผมร้อง วนไป วนมา ไม่จบสักที ไม่รู้กี่สิบเที่ยวแล้ว
ผมจำท่อนจบมันไม่ได้ ร้องเท่าไหร่ ในหัวมันก็ส่งแต่เนื้อเพลงที่ไม่มีท่อนจบมาให้
จนในที่สุด คุณครูต้องมาลากผมลงไปจากเวที
เพื่อน ๆ ที่รู้จัก และไม่รู้จักชี้ชวนกันมาที่ผม แล้วก็หัวเราะกันไม่หยุด
ยังดีนะ ที่เป็นวันเกือบสุดท้ายของการเรียนในโรงเรียนแห่งนั้นแล้ว
อับอาย...แทบขาดใจตาย

ทุกวันนี้ ผ่านไปโรงเรียนเก่าครั้งใด
จำอะไรไม่ได้เลย นอกจากเพลง....หลังคาแดง
แต่ก็ยังหาท่อนจบไม่ได้สักที
โมโหตัวเองเป็นที่สุด

อนณ นิศารัตน์
โทร. - ไลน์ 
0931499564

คน..ปากดี 5
https://ppantip.com/topic/40170385
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่