คน..ปากดี 3
เมื่อครั้งที่แล้ว เล่าไปถึงที่อาจารย์วิทยากรได้สอนหลักสำคัญ ๆ ที่ควรรู้บางอย่าง
คือ....ห้ามเคาะไมโครโฟน ก๊อก ๆๆๆ
ห้ามพูด ฮาโหลล....ฮา โ ห ล ล เพื่อเทสก์ไมค์ โดยเด็ดขาด
แต่สิ่งที่ต้องทำ คือ...ปรับระดับไมโครโฟน ให้เหมาะกับตัวเรา
และจะต้องไม่ลืมทักทายคนในที่ประชุมนั้น ก่อนอื่นเลย
เอาละอีทีนี้ ก็ถึงเวลาที่พวกเรา 9 คน จะต้องขึ้นไปต่อสู้กับความกลัวบนเวทียกพื้น
ต้องยืนต่อหน้าไมโครโฟน อย่างโดดเด่น
โจทย์ คือ เล่าเรื่องของตัวเอง ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน ยันอนาคต
อย่างที่ให้คนอื่นจดจำได้ ใน 3 นาที
คนแรก...คุณเสก หัวหน้าไปรษณีย์
ผู้มีบุคลิก เหี้ยมหาญ ชัดเจน ยืนแบบนักเลงเต็มตัว
ออกแนวเพื่อชีวิต เซอร์ ๆ มอม ๆ แต่ปากไว ใจตรง
ขึ้นมาแบบตื่นเต้นเหลือประมาณ กล่าวทักอาจารย์วิทยากรด้วยเสียงอันดัง
เออ...คนเรานี่เวลาตื่นเต้น มันควบคุมร่างกายไม่ค่อยได้จริง ๆ
ถ้าไม่เสียงดังเกิ้นน ก็เสียงค่อยอยู่ในลำคอไปเลย
พี่เสก ของเราก็ขึ้นมาลุยแบบรวดเดียว เล่าว่าเรียนจบที่ เชียงใหม่
แล้วมาสอบเข้าไปรษณีย์ ตั้งแต่วัยรุ่น
ปัจจุบันมีลูก 2 คน
และแถมบอกว่า...ไม่ถนัดในการพูดในที่ประชุม ต่อหน้าชุมชนอย่างเป็นทางการ
ถ้ากับบรรดาลูกน้องใกล้ชิด คุยกันได้ถึงไหนถึงกัน
แต่กับผู้ใหญ่ ผู้บริหาร หรืองานที่เป็นทางการ....ใช้วิธีวิ่งหนีอย่างเดียว
จนปัจจุบันนี้ บากบั่นก้าวขึ้นมาจนเป็นระดับหัวหน้า
มันจำเป็นแล้วที่ต้องเอาชนะตัวเอง และไมโครโฟนสักที
พี่เค้าพูดด้วยเสียงดัง ฟังชัด ห้วน ห้าว เร้าใจ รวดเดียวจบ
แล้ว...ก้าวพรวดลงจากเวทีไปเลย
คนที่สอง....คุณเบน ด๊อกเตอร์หนุ่มจากการไฟฟ้า
ขึ้นมาแบบคนละฟิลลิ่งกับ คุณเสก คนแรกโดยสิ้นเชิง
คุณเบน แกสงบนิ่งแบบคนที่ควบคุมสติได้ดี ดูน่าเลื่อมใส
ยืนเด่นเป็นเส้นตรงเท้าชิดกัน
เริ่มจากทักทายวิทยากร เพื่อน ๆ และผู้มีเกียรติทั้งหลาย ดีมาก
แต่...เสียงเบาเหลือเกิน ช่างตรงข้ามกับพี่เสก ที่แทบตะโกนเอาเลย
คุณเบน ค่อย ๆ ไล่เรียงเล่าเรื่องชีวิตของหนุ่มน้อยจาก อุทัยธานี
ตั้งใจว่าจะต้องประสบความสำเร็จในชีวิตให้ได้
พยายามเล่าเรียนสาย...วิศวกรรมโยธา
พอจบออกมา ก็ดิ้นรนเข้ามาทำงานใน การไฟฟ้า จนได้อย่างใจหมาย
ในส่วนงานที่ทำ ตำแหน่งที่รับผิดชอบ มันต้องออกงานสังคม งานประชุมสัมมนาอยู่เสมอ
แต่จนแล้วจนรอด ก็แพ้ใจ ตระหนกตกประหม่าอยู่เสมอ
ตลอดเวลาที่อยู่บนเวที พวกเราทุกคนเห็นความสงบ ราบเรียบ แต่....มือไม้สั่นเทา
ผมเองชอบบุคลิก ท่าทางองอาจ สง่า ของคุณเบนเป็นอย่างมาก
แต่ก็อึดอัดกับสำเนียงเสียงที่อ่อนเบา ซะเหลือเกิน
ภาพลักษณ์....ดูดีมาก
แต่ฟังด้วยหู แล้ว....ขัดอกขัดใจ อ่ะ
คนที่สาม...คุณเชียร วิศวกรเจ้าของกิจการผู้รับเหมาก่อสร้าง
หนุ่มหล่อคนนี้ตั้งใจมาเรียนอย่างมาก อยากฝึกฝนเป็นอย่างยิ่ง
เพราะรู้ตัวเองเลยว่า...พูดต่อหน้าชุมชนทีไร จะเสียสติ เสียความทรงจำ
เรื่องราวที่เตรียมไว้ มันสลับกลับหัวหาง หาทางเรียบเรียงไม่ได้
พูดเป็นงานเป็นการทีไร ก็วนไป วนมา ยืนแกว่ง ๆ บอกไม่ถูก
ฟังตั้งนาน จำได้แค่มีลูกชาย 4 คน
แค่นั้นเอง
คนที่สี่....คุณครูปุ๋ม สตรีที่มั่นหน้าจากแดนอีสานเมือง สกลนคร
จบมาทางกราฟฟิคดีไซน์ แล้วมาต่อสายการศึกษาที่ ม.ราชภัฎ
ในที่สุดสอบติดได้เป็นครู ที่ จ.อุบล แล้วย้ายมา สกลนคร
ครูสาวคนนี้ ทำให้ผมแปลกมาก
เพราะโดยปรกติ คนที่เป็นครูมาตั้งหลายปี น่าจะเก่งกาจเรื่องวาจา
มันน่าจะต้องใช้ทักษะด้านนี้อยู่ทุกวัน
แต่ครูปุ๋ม เผยความในใจว่า....คิดลบมากมายเกี่ยวกับหลักการพูด
ใจมันช่างไม่ชอบ และไม่อยากพูดในที่ประชุมจริง ๆ
นอกจากที่เธอบอกด้วยปากแล้ว สีหน้าท่าทางยังบอกถึงการต่อต้านที่ออกมาจากใจอีกด้วย
ท่าทางการยืน ก็ออกแนวไม่แยแส ไม่อยากแสดงตัวตนต่อหน้าคนอื่นใดทั้งสิ้น
มาเรียนก็เพราะอยากจะลบอคติ และเอาชนะสิ่งที่อยู่ในใจให้ได้
คนที่ห้า...คุณสน หนุ่มโลจิสติก มาดนิ่ง นิ่ง...สนิท
มาจากหล่มสัก เพชรบูรณ์
บุคลิกทีแรกที่พบเจอ คือแปลกแยก ตีตัวออกห่างจากสังคม
แสดงออกชัดว่า...อย่ามายุ่งกับข้า
ไม่ชอบพูดจา ไม่ชอบผู้คน ไม่ชอบสังคมประชุมชน
รู้ตัวว่า เป็นจุดอ่อนของตัวเองที่ส่งความเสียหายในหน้าที่การงาน
เพราะไต่เต้าขึ้นเป็นระดับหัวหน้า ต้องคุมคน ต้องพูดจา ต้องเข้าที่ประชุม
กัดฟันมาเรียน ก็เพราะจะมาสู้กับตัวเองนี่แหละ
เป็นไงครับ 5 ท่านแรกที่ได้ออกไปต่อสู้กับความตื่นกลัว ความตกประหม่าแข้งขาสั่น
ท่านวิทยากร คืออาจารย์อลิษา ได้ออกมา...คอมเม้นท์
คือ...แสดงข้อคิด วิจารณ์ ย้อนอธิบาย ให้พวกเราเห็น จุดแข็ง จุดอ่อน
ข้อเด่นข้อด้อยของแต่ละคน
ตั้งแต่ท่ายืน น้ำเสียง สำเนียง กริยาท่าทางในขณะที่พูดออกไมค์
และให้แต่ละคน จดจำเก็บไว้เพื่อแก้ไข
รวมไปถึงเสื้อผ้า ทรงผม ที่เราน่าจะแก้ไขได้ง่าย ๆ
ที่เหลืออีก 4 คน ไว้เล่าในตอนต่อไปดีกว่า
เพราะเดี๋ยวจะยาวเกินไป กลัวจะเบื่อกันซะก่อน น่ะครับ
อนณ นิศารัตน์
โทร. - ไลน์
0931499564
คน..ปากดี 4
https://ppantip.com/topic/40168695
คน..ปากดี 3
เมื่อครั้งที่แล้ว เล่าไปถึงที่อาจารย์วิทยากรได้สอนหลักสำคัญ ๆ ที่ควรรู้บางอย่าง
คือ....ห้ามเคาะไมโครโฟน ก๊อก ๆๆๆ
ห้ามพูด ฮาโหลล....ฮา โ ห ล ล เพื่อเทสก์ไมค์ โดยเด็ดขาด
แต่สิ่งที่ต้องทำ คือ...ปรับระดับไมโครโฟน ให้เหมาะกับตัวเรา
และจะต้องไม่ลืมทักทายคนในที่ประชุมนั้น ก่อนอื่นเลย
เอาละอีทีนี้ ก็ถึงเวลาที่พวกเรา 9 คน จะต้องขึ้นไปต่อสู้กับความกลัวบนเวทียกพื้น
ต้องยืนต่อหน้าไมโครโฟน อย่างโดดเด่น
โจทย์ คือ เล่าเรื่องของตัวเอง ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน ยันอนาคต
อย่างที่ให้คนอื่นจดจำได้ ใน 3 นาที
คนแรก...คุณเสก หัวหน้าไปรษณีย์
ผู้มีบุคลิก เหี้ยมหาญ ชัดเจน ยืนแบบนักเลงเต็มตัว
ออกแนวเพื่อชีวิต เซอร์ ๆ มอม ๆ แต่ปากไว ใจตรง
ขึ้นมาแบบตื่นเต้นเหลือประมาณ กล่าวทักอาจารย์วิทยากรด้วยเสียงอันดัง
เออ...คนเรานี่เวลาตื่นเต้น มันควบคุมร่างกายไม่ค่อยได้จริง ๆ
ถ้าไม่เสียงดังเกิ้นน ก็เสียงค่อยอยู่ในลำคอไปเลย
พี่เสก ของเราก็ขึ้นมาลุยแบบรวดเดียว เล่าว่าเรียนจบที่ เชียงใหม่
แล้วมาสอบเข้าไปรษณีย์ ตั้งแต่วัยรุ่น
ปัจจุบันมีลูก 2 คน
และแถมบอกว่า...ไม่ถนัดในการพูดในที่ประชุม ต่อหน้าชุมชนอย่างเป็นทางการ
ถ้ากับบรรดาลูกน้องใกล้ชิด คุยกันได้ถึงไหนถึงกัน
แต่กับผู้ใหญ่ ผู้บริหาร หรืองานที่เป็นทางการ....ใช้วิธีวิ่งหนีอย่างเดียว
จนปัจจุบันนี้ บากบั่นก้าวขึ้นมาจนเป็นระดับหัวหน้า
มันจำเป็นแล้วที่ต้องเอาชนะตัวเอง และไมโครโฟนสักที
พี่เค้าพูดด้วยเสียงดัง ฟังชัด ห้วน ห้าว เร้าใจ รวดเดียวจบ
แล้ว...ก้าวพรวดลงจากเวทีไปเลย
คนที่สอง....คุณเบน ด๊อกเตอร์หนุ่มจากการไฟฟ้า
ขึ้นมาแบบคนละฟิลลิ่งกับ คุณเสก คนแรกโดยสิ้นเชิง
คุณเบน แกสงบนิ่งแบบคนที่ควบคุมสติได้ดี ดูน่าเลื่อมใส
ยืนเด่นเป็นเส้นตรงเท้าชิดกัน
เริ่มจากทักทายวิทยากร เพื่อน ๆ และผู้มีเกียรติทั้งหลาย ดีมาก
แต่...เสียงเบาเหลือเกิน ช่างตรงข้ามกับพี่เสก ที่แทบตะโกนเอาเลย
คุณเบน ค่อย ๆ ไล่เรียงเล่าเรื่องชีวิตของหนุ่มน้อยจาก อุทัยธานี
ตั้งใจว่าจะต้องประสบความสำเร็จในชีวิตให้ได้
พยายามเล่าเรียนสาย...วิศวกรรมโยธา
พอจบออกมา ก็ดิ้นรนเข้ามาทำงานใน การไฟฟ้า จนได้อย่างใจหมาย
ในส่วนงานที่ทำ ตำแหน่งที่รับผิดชอบ มันต้องออกงานสังคม งานประชุมสัมมนาอยู่เสมอ
แต่จนแล้วจนรอด ก็แพ้ใจ ตระหนกตกประหม่าอยู่เสมอ
ตลอดเวลาที่อยู่บนเวที พวกเราทุกคนเห็นความสงบ ราบเรียบ แต่....มือไม้สั่นเทา
ผมเองชอบบุคลิก ท่าทางองอาจ สง่า ของคุณเบนเป็นอย่างมาก
แต่ก็อึดอัดกับสำเนียงเสียงที่อ่อนเบา ซะเหลือเกิน
ภาพลักษณ์....ดูดีมาก
แต่ฟังด้วยหู แล้ว....ขัดอกขัดใจ อ่ะ
คนที่สาม...คุณเชียร วิศวกรเจ้าของกิจการผู้รับเหมาก่อสร้าง
หนุ่มหล่อคนนี้ตั้งใจมาเรียนอย่างมาก อยากฝึกฝนเป็นอย่างยิ่ง
เพราะรู้ตัวเองเลยว่า...พูดต่อหน้าชุมชนทีไร จะเสียสติ เสียความทรงจำ
เรื่องราวที่เตรียมไว้ มันสลับกลับหัวหาง หาทางเรียบเรียงไม่ได้
พูดเป็นงานเป็นการทีไร ก็วนไป วนมา ยืนแกว่ง ๆ บอกไม่ถูก
ฟังตั้งนาน จำได้แค่มีลูกชาย 4 คน
แค่นั้นเอง
คนที่สี่....คุณครูปุ๋ม สตรีที่มั่นหน้าจากแดนอีสานเมือง สกลนคร
จบมาทางกราฟฟิคดีไซน์ แล้วมาต่อสายการศึกษาที่ ม.ราชภัฎ
ในที่สุดสอบติดได้เป็นครู ที่ จ.อุบล แล้วย้ายมา สกลนคร
ครูสาวคนนี้ ทำให้ผมแปลกมาก
เพราะโดยปรกติ คนที่เป็นครูมาตั้งหลายปี น่าจะเก่งกาจเรื่องวาจา
มันน่าจะต้องใช้ทักษะด้านนี้อยู่ทุกวัน
แต่ครูปุ๋ม เผยความในใจว่า....คิดลบมากมายเกี่ยวกับหลักการพูด
ใจมันช่างไม่ชอบ และไม่อยากพูดในที่ประชุมจริง ๆ
นอกจากที่เธอบอกด้วยปากแล้ว สีหน้าท่าทางยังบอกถึงการต่อต้านที่ออกมาจากใจอีกด้วย
ท่าทางการยืน ก็ออกแนวไม่แยแส ไม่อยากแสดงตัวตนต่อหน้าคนอื่นใดทั้งสิ้น
มาเรียนก็เพราะอยากจะลบอคติ และเอาชนะสิ่งที่อยู่ในใจให้ได้
คนที่ห้า...คุณสน หนุ่มโลจิสติก มาดนิ่ง นิ่ง...สนิท
มาจากหล่มสัก เพชรบูรณ์
บุคลิกทีแรกที่พบเจอ คือแปลกแยก ตีตัวออกห่างจากสังคม
แสดงออกชัดว่า...อย่ามายุ่งกับข้า
ไม่ชอบพูดจา ไม่ชอบผู้คน ไม่ชอบสังคมประชุมชน
รู้ตัวว่า เป็นจุดอ่อนของตัวเองที่ส่งความเสียหายในหน้าที่การงาน
เพราะไต่เต้าขึ้นเป็นระดับหัวหน้า ต้องคุมคน ต้องพูดจา ต้องเข้าที่ประชุม
กัดฟันมาเรียน ก็เพราะจะมาสู้กับตัวเองนี่แหละ
เป็นไงครับ 5 ท่านแรกที่ได้ออกไปต่อสู้กับความตื่นกลัว ความตกประหม่าแข้งขาสั่น
ท่านวิทยากร คืออาจารย์อลิษา ได้ออกมา...คอมเม้นท์
คือ...แสดงข้อคิด วิจารณ์ ย้อนอธิบาย ให้พวกเราเห็น จุดแข็ง จุดอ่อน
ข้อเด่นข้อด้อยของแต่ละคน
ตั้งแต่ท่ายืน น้ำเสียง สำเนียง กริยาท่าทางในขณะที่พูดออกไมค์
และให้แต่ละคน จดจำเก็บไว้เพื่อแก้ไข
รวมไปถึงเสื้อผ้า ทรงผม ที่เราน่าจะแก้ไขได้ง่าย ๆ
ที่เหลืออีก 4 คน ไว้เล่าในตอนต่อไปดีกว่า
เพราะเดี๋ยวจะยาวเกินไป กลัวจะเบื่อกันซะก่อน น่ะครับ
อนณ นิศารัตน์
โทร. - ไลน์
0931499564
คน..ปากดี 4
https://ppantip.com/topic/40168695