เราโคตรเกลียดร่างกายตัวเองเลย ไม่ใช่เพราะไม่สวยแต่เกลียดที่มัน 'อ่อนแอ' โกรธสวรรค์โกรธฟ้าโกรธโชคชะตาของตัวเองที่มันโคตรจะบัดซบ ให้เราเกิดมาพร้อมกับโรคติดตัวที่ไม่มีทางรักษาหาย ไม่มีวันหาย.. อาการของมันคล้ายๆกับ 'โรคธาลัสซีเมีย' หรือที่เรียกอีกอย่างว่า 'โรคเลือดจาง' แต่ไม่ใช่.. ไปตรวจที่ไหนผลเลือดของเราก็ ออกมาเป็นเลือดปกติ แต่อาการที่เป็นกลับเหมือนคนเป็นโรคธาลัสซีเมีย เราเหนื่อยง่าย ตอนเด็กๆเราต้องให้เลือดทุกๆเดือน และเราเป็นภูมิแพ้อากาศเย็น พออากาศเย็นทีไรก็มักจะไม่สบายตลอด และพอไม่สบายก็จะเหนื่อยจนต้องให้เลือดตลอด พออายุ13แม่พาเราไปพบกับหมอท่านหนึ่ง คุณหมอบอกว่าจะลองผ่าตัดเอาม้ามออกเพราะมันอาจเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เราซีดจนอาการเหมือนคนเป็นธาลัสซีเมีย ถ้าการผ่าตัดสำเร็จ เราอาจจะไม่ต้องให้เลือดอีกต่อไป จะได้กินแค่ยา แม่เราตกลงและเราก็พร้อมที่จะเข้ารับการรักษา เราต้องพักการเรียนไปในตอนนั้นเพราะต้องเข้ารับการผ่าตัด.. และมันก็สำเร็จ การผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยดีและเราก็ไม่ได้ให้เลือดอีกต่อไป เพียงแค่ต้องมาตามนัดคุณหมอทุกเดือนเหมือนเดิมเพื่อตรวจเช็คค่าเลือดและต้องกินยาไปตลอดชีวิต และก็รักษาไปตามอาการที่เป็น เราต้องพยายามไม่ให้ตัวเองไม่สบายเพราะกลัวว่าต้องกลับไปให้เลือดอีก ปากเราบอกว่าชิน ชินกับความเจ็บปวดชินกับคำว่าโรงพยาบาล แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าทุกครั้งที่ต้องไปโรงพยาบาลเราฝืนทนแค่ไหน เราเบื่อ เราเหนื่อย เราไม่อยากไปแล้ว เราเหนื่อยแล้วจริงๆ เราท้อ เราอยากยอมแพ้มัน...แต่ที่ยอมแพ้ไม่ได้ก็เพราะ 'ครอบครัว' พ่อแม่ของเราดิ้นรนให้เราอยู่รอดหาทุกวิถีทางหมอไหนเก่งโรงพยาบาลไหนดี ถึงจะรู้ว่ามันไม่มีทางรักษาหาย แต่พ่อกับแม่ก็ยังหวัง ขอแค่ดีขึ้นก็ยังดี ตั้งแต่เกิด.. ตั้งแต่เราเกิดมา พวกเขาทั้งสองต้องจ่ายทั้งค่าเดินทาง ค่ารักษาต่างๆ ค่ายา ค่าอะไรต่อมิอะไรเพื่อลูกที่ร่างกายอ่อนแออย่างเรา เรารู้ว่าทั้งชีวิตของเราก็คงตอบแทนให้พวกท่านไม่ได้เลย...
เราไม่มีโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นเหมือนเพื่อนๆเพราะร่างกายที่มันอ่อนแอ เราเรียนจบแค่ม.6😞 เราเคยขอแม่ต่อมหาวิทยาลัย แม่เราเป็นห่วงมากเพราะไม่เคยปล่อยเราไปไหนไกลสายตาตั้งแต่เกิดมาแม่ไม่เคยให้เราได้ทำอะไรเองเลย ตอนที่เรียนอยู่มัธยมเรามีเพื่อนน้อยมากเพราะทุกวันเราแค่เรียน เรียนเสร็จก็กลับบ้าน งานกลุ่มก็ไม่ได้ไปทำกับเพื่อนๆแค่ออกเงินเพราะแม่ไม่อนุญาตให้ออกไปไหน กิจกรรมที่รร.ก็ไม่ได้ทำแม่เราไปพูดอะไรสักอย่างกับครูอันนี้เราก็ไม่รู้ กิจกรรมทุกอย่างในรร.เราไม่เคยได้เข้าร่วมเลยสักครั้ง มันเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงมีเพื่อนน้อย และทำไมแม่ถึงห่วงขนาดที่ไม่อยากให้เราไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย แต่ตอนนั้นเราอยากเรียน ถึงร่างกายจะไม่พร้อมแต่ใจเรามันสู้มาก เราอยากเรียนจบ มีงานทำ อยากเลี้ยงพ่อแม่ได้ ไม่อยากเป็นภาระของท่าน อยากตอบแทนท่านบ้าง เราขอแม่อยู่นานมากกว่าท่านจะใจอ่อน แต่ก็ไม่สุดหรอกท่านตามเราไปอยู่หอด้วยหนึ่งอาทิตย์ เรารับรู้ถึงสายตาที่ไม่อยากปล่อยเราออกจากอ้อมอก เรารู้ว่าแม่ห่วงเรามาก เรารู้ว่าทุกคนในครอบครัวไม่มีใครอยากให้เราห่างจากสายตา แต่เราอยากโตอยากยืนด้วยตัวเองดู อยากลองพยายามดูสักครั้ง และก็ถึงวันที่แม่เราต้องกลับบ้านเพราะต้องไปดูน้องชาย เราอยู่หอกับเพื่อนที่สนิทที่สุดตั้งแต่เรียนมา แล้วมันก็เกิดเหตุตอนที่เราไปเข้าค่ายรับน้อง เรารู้แล้วว่าร่างกายของเรามันไม่ไหวจริงๆ
ถ้าแค่ให้เรียนเราทำได้อยู่แล้ว แต่เราทำกิจกรรมไม่ไหวจริงๆ พอเรากลับจากค่ายเรารู้สึกท้อมากถ้ายังต้องทำกิจกรรมควบกับเรียนแบบนี้ต่อไป เราว่าร่างกายของเรามันไม่ไหว เพื่อนของเราก็ปลอบและบอกเราว่าให้บอกแม่ดีไหม ถามร่างกายตัวเองอีกครั้งว่าไหวรึป่าว อีกใจมันก็อยากสู้ แต่พอคิดไป กิจกรรมก็ต้องทำแบบนี้ร่างกายเราคงแย่แน่ๆ อีกใจเราก็ยังอยากเรียน ตอนนั้นเราสับสนมากร้องไห้ทุกวัน จนในที่สุดก็ตัดสินใจโทรหาแม่แล้วเล่าทุกอย่างให้ท่านฟัง ทันทีที่ท่านฟังจบ แม่แค่บอกว่า 'กลับบ้านเรากันนะเดี๋ยวแม่ไปรับ'
...เราอ่อนแอชะมัด😢 แค่นี้ก็ยอมแพ้จนได้ ได้แต่ปลงกับชีวิตตัวเอง
พอหลังจากที่แม่ไปรับกลับบ้านได้แค่ไม่กี่อาทิตย์เราก็ป่วยเราปวดท้องมากพอไปถึงรพ.คุณหมอบอกว่าเราต้องเข้าผ่าตัดเพื่อตัดถุงน้ำดีออก สาเหตุเพราะว่ามีนิ่วอยู่ในถุงน้ำดีจำนวนมากผลของการที่เรากินยามาตั้งแต่เกิดมันทำให้ยาที่กินไปตกตะกอนจนก่อตัวเป็นนิ่ว นั่นคือครั้งที่2ในชีวิตที่เราต้องเข้ารับการผ่าตัด มันไม่สนุกเลยสักนิด ทำไมชีวิตเราหนีไม่พ้นคำว่าโรงพยาบาลสักทีนะ บางครั้งก็น้อยใจในชีวิตเหมือนกัน.....
ฝันที่เราฝันไว้ว่าอยากเรียนจบมีงานทำเลี้ยงพ่อแม่ได้ มันก็คงเป็นได้แค่ความฝันต่อไปสินะ..
จนถึงวันนี้เราเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันเรียนจบและมีงานทำสามารถเลี้ยงพ่อแม่ได้ เราอิจฉา เราเจ็บปวดที่ชีวิตเราต้องเป็นแบบนี้ เสียใจที่ไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้พ่อแม่ได้ ต่อหน้าพ่อแม่และทุกคนเรามักจะบอกว่า เราไม่เป็นไร เราโอเค อยู่แบบนี้มันก็ดี ที่พูดแบบนั้นออกไปก็เพราะไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วง และอีกอย่าง.. เรารู้สึกผิดกับน้องชายของเรามากที่เป็นพี่สาวที่ไม่ได้เรื่อง เป็นพี่สาวที่อ่อนแอ อยากขอโทษน้องที่ทำให้ต้องมารับภาระแทนพี่ น้องคือความหวังของครอบครัว น้องต้องแบกรับความหวังคนเดียวว่าต้องเรียนให้จบมีงานทำเลี้ยงพี่สาวได้ พ่อมักจะบอกน้องแบบนี้เสมอ และมันก็ดีเหลือเกินที่น้องชายเราเข้าใจทุกอย่างและรักเรา เราอยากขอบคุณและขอโทษเขาในเวลาเดียวกัน ในความโชคร้ายในชีวิตเรามันก็ยังดีที่มีครอบครัวที่ดีและรักเรา และน้องก็คือความโชคดีของครอบครัว ต่อไปถึงไม่มีเรา เราก็หมดห่วง ยังไงพ่อกับแม่ก็ยังมีน้องที่สามารถเลี้ยงท่านได้.. ส่วนชีวิตของเราก็คงปล่อยไปตามโชคชะตา เราไม่หวังอะไรแล้ว 'คนรัก' เป็นสิ่งที่เราไม่อาจจะคิดไม่กล้าจะคิดด้วยซ้ำว่าจะมีใครรักเราจริงนอกจากครอบครัว ใครจะรับได้ เราไม่กล้ารักใคร ไม่กล้ามองใคร เพราะเราเจียมตัวเองตลอด...
ปล.ที่พูดมาทั้งหมดนี้เราเพียงแค่อยากระบาย แต่ไม่รู้จะระบายกับใครเลยมาระบายในนี้ ขอบคุณทุกคนที่รับฟัง
ขอพื้นที่ระบายเรื่องราวในชีวิตหน่อยค่ะ
เราไม่มีโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นเหมือนเพื่อนๆเพราะร่างกายที่มันอ่อนแอ เราเรียนจบแค่ม.6😞 เราเคยขอแม่ต่อมหาวิทยาลัย แม่เราเป็นห่วงมากเพราะไม่เคยปล่อยเราไปไหนไกลสายตาตั้งแต่เกิดมาแม่ไม่เคยให้เราได้ทำอะไรเองเลย ตอนที่เรียนอยู่มัธยมเรามีเพื่อนน้อยมากเพราะทุกวันเราแค่เรียน เรียนเสร็จก็กลับบ้าน งานกลุ่มก็ไม่ได้ไปทำกับเพื่อนๆแค่ออกเงินเพราะแม่ไม่อนุญาตให้ออกไปไหน กิจกรรมที่รร.ก็ไม่ได้ทำแม่เราไปพูดอะไรสักอย่างกับครูอันนี้เราก็ไม่รู้ กิจกรรมทุกอย่างในรร.เราไม่เคยได้เข้าร่วมเลยสักครั้ง มันเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงมีเพื่อนน้อย และทำไมแม่ถึงห่วงขนาดที่ไม่อยากให้เราไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย แต่ตอนนั้นเราอยากเรียน ถึงร่างกายจะไม่พร้อมแต่ใจเรามันสู้มาก เราอยากเรียนจบ มีงานทำ อยากเลี้ยงพ่อแม่ได้ ไม่อยากเป็นภาระของท่าน อยากตอบแทนท่านบ้าง เราขอแม่อยู่นานมากกว่าท่านจะใจอ่อน แต่ก็ไม่สุดหรอกท่านตามเราไปอยู่หอด้วยหนึ่งอาทิตย์ เรารับรู้ถึงสายตาที่ไม่อยากปล่อยเราออกจากอ้อมอก เรารู้ว่าแม่ห่วงเรามาก เรารู้ว่าทุกคนในครอบครัวไม่มีใครอยากให้เราห่างจากสายตา แต่เราอยากโตอยากยืนด้วยตัวเองดู อยากลองพยายามดูสักครั้ง และก็ถึงวันที่แม่เราต้องกลับบ้านเพราะต้องไปดูน้องชาย เราอยู่หอกับเพื่อนที่สนิทที่สุดตั้งแต่เรียนมา แล้วมันก็เกิดเหตุตอนที่เราไปเข้าค่ายรับน้อง เรารู้แล้วว่าร่างกายของเรามันไม่ไหวจริงๆ
ถ้าแค่ให้เรียนเราทำได้อยู่แล้ว แต่เราทำกิจกรรมไม่ไหวจริงๆ พอเรากลับจากค่ายเรารู้สึกท้อมากถ้ายังต้องทำกิจกรรมควบกับเรียนแบบนี้ต่อไป เราว่าร่างกายของเรามันไม่ไหว เพื่อนของเราก็ปลอบและบอกเราว่าให้บอกแม่ดีไหม ถามร่างกายตัวเองอีกครั้งว่าไหวรึป่าว อีกใจมันก็อยากสู้ แต่พอคิดไป กิจกรรมก็ต้องทำแบบนี้ร่างกายเราคงแย่แน่ๆ อีกใจเราก็ยังอยากเรียน ตอนนั้นเราสับสนมากร้องไห้ทุกวัน จนในที่สุดก็ตัดสินใจโทรหาแม่แล้วเล่าทุกอย่างให้ท่านฟัง ทันทีที่ท่านฟังจบ แม่แค่บอกว่า 'กลับบ้านเรากันนะเดี๋ยวแม่ไปรับ'
...เราอ่อนแอชะมัด😢 แค่นี้ก็ยอมแพ้จนได้ ได้แต่ปลงกับชีวิตตัวเอง
พอหลังจากที่แม่ไปรับกลับบ้านได้แค่ไม่กี่อาทิตย์เราก็ป่วยเราปวดท้องมากพอไปถึงรพ.คุณหมอบอกว่าเราต้องเข้าผ่าตัดเพื่อตัดถุงน้ำดีออก สาเหตุเพราะว่ามีนิ่วอยู่ในถุงน้ำดีจำนวนมากผลของการที่เรากินยามาตั้งแต่เกิดมันทำให้ยาที่กินไปตกตะกอนจนก่อตัวเป็นนิ่ว นั่นคือครั้งที่2ในชีวิตที่เราต้องเข้ารับการผ่าตัด มันไม่สนุกเลยสักนิด ทำไมชีวิตเราหนีไม่พ้นคำว่าโรงพยาบาลสักทีนะ บางครั้งก็น้อยใจในชีวิตเหมือนกัน.....
ฝันที่เราฝันไว้ว่าอยากเรียนจบมีงานทำเลี้ยงพ่อแม่ได้ มันก็คงเป็นได้แค่ความฝันต่อไปสินะ..
จนถึงวันนี้เราเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันเรียนจบและมีงานทำสามารถเลี้ยงพ่อแม่ได้ เราอิจฉา เราเจ็บปวดที่ชีวิตเราต้องเป็นแบบนี้ เสียใจที่ไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้พ่อแม่ได้ ต่อหน้าพ่อแม่และทุกคนเรามักจะบอกว่า เราไม่เป็นไร เราโอเค อยู่แบบนี้มันก็ดี ที่พูดแบบนั้นออกไปก็เพราะไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วง และอีกอย่าง.. เรารู้สึกผิดกับน้องชายของเรามากที่เป็นพี่สาวที่ไม่ได้เรื่อง เป็นพี่สาวที่อ่อนแอ อยากขอโทษน้องที่ทำให้ต้องมารับภาระแทนพี่ น้องคือความหวังของครอบครัว น้องต้องแบกรับความหวังคนเดียวว่าต้องเรียนให้จบมีงานทำเลี้ยงพี่สาวได้ พ่อมักจะบอกน้องแบบนี้เสมอ และมันก็ดีเหลือเกินที่น้องชายเราเข้าใจทุกอย่างและรักเรา เราอยากขอบคุณและขอโทษเขาในเวลาเดียวกัน ในความโชคร้ายในชีวิตเรามันก็ยังดีที่มีครอบครัวที่ดีและรักเรา และน้องก็คือความโชคดีของครอบครัว ต่อไปถึงไม่มีเรา เราก็หมดห่วง ยังไงพ่อกับแม่ก็ยังมีน้องที่สามารถเลี้ยงท่านได้.. ส่วนชีวิตของเราก็คงปล่อยไปตามโชคชะตา เราไม่หวังอะไรแล้ว 'คนรัก' เป็นสิ่งที่เราไม่อาจจะคิดไม่กล้าจะคิดด้วยซ้ำว่าจะมีใครรักเราจริงนอกจากครอบครัว ใครจะรับได้ เราไม่กล้ารักใคร ไม่กล้ามองใคร เพราะเราเจียมตัวเองตลอด...
ปล.ที่พูดมาทั้งหมดนี้เราเพียงแค่อยากระบาย แต่ไม่รู้จะระบายกับใครเลยมาระบายในนี้ ขอบคุณทุกคนที่รับฟัง