คลังขอกู้ชนเพดาน 6.3 แสนล้าาน ทำไม ?

คลังขอกู้ชนเพดานอีกแล้ว ?  เม่าตกอับ

  คลังถังแตก เงินเกือบเกลี้ยง รายได้หดขอกู้ชนเพดาน 6.3 แสนล้าน
          ข่าวด่วน 20 ส.ค. 2563-13:43 น.
 
 
 
           เงินคงคลังใกล้หมด คลังขอกู้ชนเพดาน 6.3 แสนล้าน โปะรายได้ปีนี้หาย 3 แสนล้าน ดันหนี้ต่อจีดีพีชน 58% ออกพันธบัตรออมทรัพย์ เดือน ก.ย.
เมื่อวันที่ 20 ส.ค. นางแพตริเซีย มงคลวานิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 ส.ค. ได้เห็นชอบปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2563 ครั้งที่ 2 โดยให้กระทรวงการคลังกู้เงินปีงบประมาณ 2563 เพิ่มอีก 2.14 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการกู้ในกรณีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ เพราะมีการคาดว่ารายได้ปีนี้ จะจัดเก็บได้ต่ำกว่า 9% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ หรือ กว่า 3 แสนล้านบาท

ดังนั้น เงินคงคลังอาจจะมีไม่เพียงพอในการใช้จ่ายของประเทศ ซึ่งล่าสุดได้รับรายงานว่าเงินคงคลังเหลือน้อยมาก เนื่องจากไม่มีรายได้ เพราะมีการเลื่อนการยื่นแบบชำระภาษีเงินได้ ทำให้คลังคาดว่าจะเริ่มมีเงินเข้าในช่วงเดือน ก.ย. จึงจำเป็นต้องให้คลังให้เปิดวงเงินกู้ดังกล่าว โดย สบน.จะประเดิมกู้ส่วนแรก 5 หมื่นล้านบาท โดยการออกเป็นพันธบัตรออมทรัพย์ขายให้ประชาชนทั่วไปในเดือน ก.ย.

วงเงินกู้ 2.14 แสนล้านบาทที่เพิ่มขึ้น เป็นคนละส่วนการกู้เพื่อชดเชยขาดดุลงบประมาณ 2563 จำนวน 4.69 แสนล้านบาท ซึ่งมีการกู้ไปจนเต็มหมดแล้ว และการกู้เงินเพื่อมาใช้จ่ายกรณีที่รายจ่ายมากกว่ารายได้ในปี 2563 ไม่ได้ทำเป็นครั้งแรกของประเทศ โดยเคยกู้เงินลักษณะนี้ในปีที่ไทยจะวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์มาแล้ว เนื่องจากตอนนั้นรายจ่ายมากกว่ารายได้ที่เก็บได้เช่นกัน

นางแพตริเซีย กล่าวว่า ตามกฎหมาย คลังสามารถกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณได้ 20% ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย บวกกับอีก 80% ของต้นเงินชำระเงินกู้ ซึ่งในปี 2563 จะสามารถกู้ได้ 6.38 แสนล้านบาท ซึ่งการกู้เงินเพื่อชดเชยขาดดุล และการกู้กรณีรายจ่ายมากกว่ารายได้ ดังกล่าว ถือว่าเป็นการกู้เต็มจำนวนตามกรอบที่กฎหมายกำหนดไว้
 
ทั้งนี้ การกู้เงินเพิ่มกรณีรายจ่ายมากกว่ารายได้ ไม่ได้ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะมีปัญหา โดยล่าสุดอยู่ที่ 45.83% ของจีดีพี และคาดว่าสิ้นปีงบประมาณนี้จะอยู่ที่ 51-52% ของจีดีพี และสิ้นปีงบประมาณ 2564 อยู่ที่ 57-58% ของจีดีพี ส่วนการกู้เงินตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ขณะนี้คลังกู้ไปแล้ว 3.18 แสนล้านบาท ส่วนที่เหลือคาดว่าจะกู้ในปีงบประมาณ 2564 ตามความต้องการใช้เงินของรัฐบาลในแต่ละโครงการ

สำหรับวงเงินประเดิมกู้ส่วนแรก 5 หมื่นล้านบาท จะทำการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ 2 รุ่น 2 อายุ 2 ช่องทาง คือ 1.รุ่นวอลเล็ต สบม. ครั้งที่ 2 วงเงินจำหน่าย 5,000 ล้านบาท รุ่นอายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1.70% ต่อปี จำหน่ายผ่านวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง รายละไม่เกิน 5 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค.– 11 ก.ย.2563

2. รุ่นก้าวไปด้วยกัน (Moving Forward) วงเงินจำหน่าย 45,000 ล้านบาท รุ่นอายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ 2.22% ต่อปี จำหน่ายผ่าน 4 ธนาคารตัวแทนจำหน่าย โดยเปิดการจำหน่ายเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงที่ 1 วันที่ 26 ส.ค. – 3 ก.ย. 2563 ให้บุคคลธรรมดาสัญชาติไทย ไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อราย และช่วงที่ 2 วันที่ 4 – 11 ก.ย.จำหน่ายเป็นการทั่วไป

https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_4744716
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 10
ได้คำตอบจาก ก.คลังแล้วครับ .. สรุปง่ายๆ ว่าเงินมีเยอะ แต่ยังเก็บมาไม่ได้ กู้มากระตุ้น ศก.และจ่ายให้งบภาครัฐ ปี 64

กระทรวงการคลังย้ำ "เงินคงคลัง" ยังมีเยอะเพียงพอต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เจ้าหอบเงิน
ข่าวเศรษฐกิจ ไทยรัฐออนไลน์
21 ส.ค. 2563 10:22 น.

      กระทรวงการคลังย้ำ "เงินคงคลัง" ยังมีเยอะเพียงพอต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ หลังเกิดวิกฤติโควิด-19 เผยที่ต้องอนุมัติกู้เงินเพิ่มอีก 2.41 แสนล้านบาทนั้น จะพิจารณากู้เงินตามความจำเป็นเท่านั้น

     เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงการคลัง ได้ออกหนังสือชี้แจงกรณีมีกระแสข่าวว่า คลังถังแตก เงินคงคลังไม่พอใช้ จนคณะรัฐมนตรีต้องอนุมัติกู้เงินเพิ่มเติมอีก 2.14 แสนล้านบาทนั้น


ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง ชี้แจงว่า การขออนุมัติกรอบการกู้เงินกรณีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 วงเงิน 214,093 ล้านบาท เป็นผลสืบเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจทั่วโลก

     โดยเศรษฐกิจไทย ซึ่งพึ่งพิงต่างประเทศค่อนข้างมาก ทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง รวมทั้งผลที่เกิดขึ้นต่อการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการประกอบอาชีพของประชาชนในทุกสาขาอาชีพ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม การหดตัวของเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ตลอดจนการดำเนินมาตรการด้านการคลังต่างๆ ของรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ โควิด-19 ประกอบกับการเลื่อนระยะเวลาชำระภาษีได้ส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563


     ดังนั้น เพื่อเตรียมการรองรับการใช้จ่ายของรัฐบาลในช่วงต้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และเพื่อให้การดำเนินมาตรการกระตุ้น และฟื้นฟูเศรษฐกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง กระทรวงการคลังจึงจำเป็นต้องขออนุมัติกรอบการกู้เงินเพื่อรองรับกรณีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ วงเงิน 214,093 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังจะพิจารณากู้เงินตามความจำเป็นเท่านั้น

      ทั้งนี้ ระดับเงินคงคลังของรัฐบาลในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่เพียงพอต่อการใช้จ่ายของรัฐบาล โดยสถานะเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนก.ค. 63 อยู่ที่ระดับ 282,141 ล้านบาท และคาดว่า ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 63 เงินคงคลังจะอยู่ในระดับที่เพียงพอที่จะรองรับการเบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยงานภาครัฐ และดำเนินมาตรการที่จำเป็นในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทยในระยะต่อไป

ในกรณีที่รัฐบาลมีความจำเป็นจะต้องกู้เงินเพิ่มเติมเต็มกรอบวงเงิน 2.14 แสนล้านบาท จะส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะคงค้างต่อ GDP ณ สิ้นปีงบประมาณ 63 อยู่ที่ระดับ 51.64% ซึ่งไม่เกิน 60% ตามกรอบการบริหารหนี้สาธารณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด

       ทั้งนี้ กระทรวงการคลังคาดว่า มาตรการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาอนุมัติแล้วจะเริ่มส่งผลต่อการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจในช่วงต้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และสามารถดูแลประชาชนและประคับประคองผู้ประกอบการให้ผ่านช่วงวิกฤติครั้งนี้ไปได้

https://www.thairath.co.th/news/business/1915039
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่