เมื่อข้าพเจ้าตกงานตอน 40+

จขกท.เป็นมนุษย์เงินเดือนมาตลอด 20 ปี ตั้งแต่เรียนจบป.ตรีใหม่ๆ จำได้ว่ามีคนมาทาบทามงานให้ถึงหน้าห้องสอบในวิชาสุดท้าย งานนั้นได้เริ่มโดยไม่ต้องผ่านการสัมภาษณ์เลย

แม้จะเคยเปลี่ยนงานบ้าง แต่ก็เป็นไปเพื่อความก้าวหน้า เหมือนว่าเรามีสิทธิ์เลือกงาน และจขกท.ไม่เคยว่างงานในระหว่างที่หางานใหม่เลย

จึงประมาทในชีวิต ว่าชีวิตนี้มีความมั่นคง ทำงานไปสิ้นเดือนก็ได้เงิน วันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็หมดไปกับการทำงานบ้าน เที่ยว พักผ่อน หาของกินอร่อยๆ รักษาผิว ซื้อเสื้อผ้า ฯลฯ

จนกระทั่งวันที่โควิดมาเยือน..

...................................

ใครจะคิดว่าบริษัทข้ามชาติที่จขกท.ทำงานอยู่จะสั่นคลอนได้ ยอดขายตกต่ำจนน่าใจหาย บริษัทต้องหยุดงานเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

ครั้งแรกที่ทราบข่าวว่าบริษัทจะทำงานอาทิตย์เว้นอาทิตย์ จขกท.ก็เริ่มอยู่ไม่ติด ตัดสินใจเพิ่มเงินออมในสหกรณ์ให้มากขึ้น และเอาเวลาว่างทั้งหมดง่วนอยู่กับการฝึกหัดทำขนมตามคลิปในยูทูปต่างๆ

แน่แหล่ะว่ามันไม่ง่าย ขนมบางอย่างต้องดูเป็นร้อยคลิป กว่าจะได้สูตรที่ลงตัว เจอปัญหายิบย่อย ก็ต้องหาทางแก้ให้ได้ด้วยตัวเอง โดยมี google เป็นที่พึ่ง

จขกท.ลองเอาขนมที่แน่ใจว่าอร่อยดีแล้วมาขายเพื่อนร่วมงานในราคาถูกๆเพื่อลองตลาด ปรากฏว่าได้รับผลตอบรับดีมากๆ คนชอบกินกันมาก จขกท.ทำได้จำกัดปริมาณ เพราะทำเองคนเดียว จึงไม่เคยพอขายเลย..

ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีความสุขเหลือเกิน เงินเดือนก็ได้ รายได้พิเศษก็มี ..แต่ความสุขช่างแสนสั้น เพียงแค่สามเดือนต่อมา จขกท.ก็ถูกเลิกจ้างแบบสายฟ้าฟาด

........................................

วันนั้นไม่มีใครคิด ว่าบริษัทจะแจ้งข่าวการเลิกจ้างพนักงาน แม้จะได้รับเงินชดเชยตามกฏหมาย แต่ใครล่ะจะอยากได้ เงินก้อนนั้น มันจะดีกว่าการมีงานสบายๆทำ มีอาหารเที่ยงฟรี มีวันหยุดสองวันต่อสัปดาห์ได้หรือ ความใฝ่ฝันที่จะได้ทำงานจนเกษียณ มีเงินเก็บก้อนใหญ่จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มันพังทลายลงเสียแล้ว ด้วยวัยขนาดนี้เราจะไปหางานใหม่ได้ที่ไหน คงไม่มีใครรับ..

วินาทีที่โดนเรียกไปรับซองขาว คำพูดที่เสียดแทงใจไม่มีวันลืมคือ "...(ชื่อเล่นจขกท.) พ้นสภาพพนักงานตั้งแต่เมื่อวานเย็นแล้วนะ วันนี้ไม่ได้เป็นพนักงานของที่นี่แล้ว"

13 ปีที่ทำงานบริษัทนี้ มันยาวนานจนทำให้จขกท.รู้สึกเหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง แต่ตอนนี้เราต้องขนของทุกอย่างออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีเวลาแม้แต่จะเขียนเมล์ร่ำลา suppliers ที่เคยติดต่อกัน

จขกท.ทำได้เพียงกอดคอเพื่อนร่วมงานแล้วร้องไห้

มันเป็นวินาทีที่สะเทือนใจเหลือเกิน..

....................................

ขณะที่ขับรถออกมาจากบริษัทเวลาเที่ยงวัน ยังรู้สึกมึนชาอยู่ จึงไม่เจ็บปวดมากนักในตอนนั้นยังมีแรงขับรถไปจัดการเรื่องเงินก้อนใหญ่ที่ได้มา และหาซื้อ computer เครื่องใหม่มาใช้งาน (จขกท.ไม่เคยมี computer เป็นของตัวเองเลย เพราะที่ทำงานมี laptop ให้ใช้)

วันนั้นยังประหลาดใจในความเข้มแข็งของตนเอง แต่ไม่หรอก แผลมันกำลังชาเฉยๆ..

ค่ำวันนั้น ไม่รู้ความทุกข์ใจมันมาจากไหนมากมาย มันท่วมท้นจิตใจจนนอนไม่ได้ น้ำตาไหลไม่หยุด เสียใจจนกลัวจะทนไม่ไหว กลัวจะลุกขึ้นทำร้ายตัวเองให้พ้นจากความทรมานใจนั้น

เพื่อนร่วมงานสองสามคนส่งข้อความหาจขกท.ด้วยความเป็นห่วง แต่เขาเหล่านั้นไม่สามารถฉุดให้จขกท.หลุดออกจากความรู้สึกโศกาอาดูรได้เลย มวลความคิดแง่ลบทะลักเข้ามาในหัวมากมาย

..ทำไมต้องเป็นเราที่ถูกคัดออก
..เงินก้อนนี้คือก้อนสุดท้ายของชีวิตที่เหลือใช่ไม๊
..เราจะมีชีวิตต่อไปยังไงเมื่อไม่มีงาน ไม่มีเงิน
..อายุขนาดนี้แล้ว ใครจะรับเราเข้าทำงาน
..เราแย่มากเลยเหรอ ทำไมจึงคัดเราออกฯลฯ

ไม่มีใครสามารถห้ามความคิดได้หรอก เพราะความคิดเป็นอนัตตา เป็นไปตามเหตุปัจจัยและการสั่งสม จขกท.ทุกข์ใจเหลือเกิน ยิ่งพยายามฝืนว่าไหว ก็ยิ่งทรมาน จึงปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ให้เต็มที่ นอนเงียบสงบอยู่ในห้องสามวัน กินน้อย พูดน้อย แต่คิดมาก..

................................

แต่บางทีการปล่อยตัวเองให้ร้องไห้โฮ มันก็ไม่ได้แย่หรอก เพราะพอน้ำตาแห้งแล้ว วันที่สี่จขกท.ก็เริ่มมีแรงลุกขึ้น และคิดอะไรๆออกได้บ้าง แม้มันจะเข้าท่าบ้างไม่เข้าท่าบ้างก็ตาม อาทิ

จขกท.ถนัดด้านการเขียนฐานข้อมูล ก็อยากจะสอนพิเศษ ทำคลิปสอน สอนผ่าน Zoom ..ใข้เวลาทำสไลด์สอนอยู่เกือบอาทิตย์ แต่พอไปดูคลิปของคนที่เปิดสอนอยู่แล้ว ก็รู้สึกท้อใจ เราเพิ่งเริ่มมาได้แค่ก้าวเดียว ในขณะที่คนอื่นๆเค้ามีคลิปสอนเป็นร้อยๆ ดูแล้วไม่มีหวังเลย..

อาทิตย์ถัดมาจขกท.ก็วิ่งวนสมัครงาน วันแรกๆก็เจองานที่ดีมาก เป็นระดับบริหาร และเป็นสายงานที่จขกท.ถนัด มุ่งมั่นตกแต่ง resume ด้วยความภาคภูมิใจมาก ซ้อมสัมภาษณ์งานเป็นภาษาอังกฤษอยู่สองอาทิตย์ แต่ก็ไร้ซึ่งการตอบรับ..

จขกท.เริ่มสติแตก ร่อนใบสมัครเพิ่มขึ้น คราวนี้งานอะไรก็ได้ ขอให้เข้าข่ายการวางแผนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมเพราะเราทำได้ ลืมดูอายุตัวเอง อายุขนาดนี้คนก็คงไม่อยากได้เป็นลูกน้องหรอก คงไปทำให้เค้าอึดอัดแย่

..แน่นอน มันไร้ซึ่งการตอบรับเหมือนเคย

....................................

ความทุกข์ทรมานใจ บีบคั้นให้จขกท.พยายามหาทางออกให้ใจตัวเองก่อน ใจเรามันเจ็บ ทำให้มันหายเจ็บก่อน ไม่งั้นมันจะทำร้ายกายให้เจ็บไปด้วย

ที่พึ่งสุดท้าย และเป็นที่พึ่งมาตลอด คือวัดร่ำเปิง(ตโปทาราม) ที่จขกท.ชอบไปแฝงอยู่กับโยคีเป็นประจำ เพื่อสวดมนต์ทำวัตร และอยู่ทำสมาธิวันละแค่ชม.ครึ่ง เพราะไม่สามารถไปเต็มกำหนดสามคืนสี่วันได้

เพียงไม่นาน เมฆหมอกแห่งความทุกข์ใจก็จางคลายอย่างรวดเร็ว แม้ฝนจะตกทุกวัน แต่ทุกครั้งที่ไปที่นั่น จขกท.ก็พบกับแสงแดดอุ่นๆในหัวใจเสมอ มีความสุขสงบจนบางทีถึงกับคิดว่าโชคดีจริงๆที่ตกงาน

"ตกงานในตอนนี้ .. มันแค่จุดเล็กๆในสังสารวัฏอันยาวนาน ยังมีทุกข์อีกมากมายร้อยแปดประการที่เราจะต้องไปพบเจอ เตรียมใจให้พร้อมเถิด สุขทุกข์ไม่มีจีรัง" ... เสียงในใจดังขึ้นมา

........................................

เมื่อสบายใจแล้ว จขกท.ก็ออกไปพบปะพูดคุยกับเพื่อนมากขึ้น ได้รับคำแนะนำดีๆ จนลองตัดสินใจโพสต์ขายขนมของตัวเองในกลุ่มสถานศึกษาแห่งหนึ่ง

ไม่น่าเขื่อ เพียงแค่โพสต์นั้นโพสต์เดียว จขกท.ขายขนมได้เกือบสามพันบาท และยังมีระลอกคลื่นของคำสั่งซื้อเล็กๆตามมาอีกเรื่อยๆ

จขกท.เริ่มจากการขอ pre order ก่อน เพราะไม่กล้าทำทิ้งไว้ กลัวจะเหลือไม่ได้ขายต้องทิ้ง ดีใจเหลือเกินที่มีคนยอมรอกินขนมวันถัดไป บางคนอยู่ตจว.ก็ยอมจ่ายค่าส่งขนมแพงๆ ทั้งๆที่ไม่เคยกินฝีมือจขกท.มาก่อนเลย

บางคนกินขนมแล้วก็ส่งข้อความมาชมว่าขนมอร่อย ทำให้มีกำลังใจมากเหลือเกิน ช่วงเวลาสั้นๆนั้น จขกท.นอนเพียง 2 ชม.เพื่อ่ปั่นออเดอร์ขนมให้ได้มากที่สุด ครบที่สุด ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย

แม้การทำงานหน้าเตาร้อนๆ จะไม่สบายเหมือนการนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ในห้องแอร์เย็นๆ แต่การมีงานสุจริตทำ ถือเป็นคุณค่าอย่างหนึ่งของขีวิต จขกท.ภูมิใจเหลือเกิน ที่มีคนชอบขนมที่ทำ และมันสร้างรายได้ให้ด้วย แม้ว่าคนอาจจะไม่กินขนมจขกท.ทุกวัน หรือพรุ่งนี้จะไม่มีคำสั่งซื้อเข้ามาเลย แต่นี่คืออีกก้าวหนึ่งที่ชีวิตได้เคลื่อนไป

การขายสมัยนี้ก็มีหลายช่องทางโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน แต่เราต้องยอมรับในการแข่งขันที่มีมาก เพราะใครๆเขาก็ขายกัน

...........................................

จขกท.คิดว่า ชีวิตตัวเองคงมาถึงทางลงแล้ว ความสุขในวัยเยาว์เริ่มเหือดหายไป ไม่ว่าจะเป็นความรักที่สดใส รายได้ที่มั่นคง แม้แต่สมาชิกในครอบครัวก็ทยอยจากไป

แต่มันก็คือสัจธรรม เหมือนพระท่านว่า ทุกสิ่งที่มีย่อมต้องหมดไป

แต่นั่นแหล่ะ มันก็แค่จุดเล็กๆในสังสารวัฏ เราเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ได้เพียงเกิดมาเพื่อใช้กรรม แต่เกิดมาเพื่อสร้างบุญกุศลด้วย ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ตราบนั้นเราก็ยังมีโอกาสสร้างความดีเพื่อชีวิตหน้าต่อไปเสมอ

แม้ว่าจขกท.จะถูกให้พ้นสภาพพนักงานจากบริษัทมั่นคง

..แต่สถานะความเป็นมนุษย์ที่พบพุทธศาสนายังคงมีอยู่อย่างเต็มภาคภูมิ..
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่