ดาบญี่ปุ่น (ดาบซามูไร) คือดาบที่ดีที่สุดในโลกจริงหรือไม่

***เนื้อหาในกระทู้นี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้และนำเสนอข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เท่านั้น มิได้มีเจตนาชี้นำหรือสร้างความขัดแย้งในสังคมแต่ประการใด***

         สำหรับคนที่ไม่ชอบอ่านบทความยาวๆ ก็สามารถไปฟังคลิปกันได้นะครับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
--------------------

         "ดาบญี่ปุ่น" หรือที่ใครๆ เรียกว่า "ดาบซามูไร" นั้นได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสุดยอดดาบที่ดีที่สุดของโลกเพราะความแข็งแกร่งและความคมกริบของดาบที่ฟาดฟันตัดหัวเหล่าศัตรูที่หาญกล้ามาต่อสู้กับเหล่าซามูไรสุดยอดนักรบแห่งแดนอาทิตย์อุทัยมานักต่อนัก

         ทว่ากว่าที่ดาบญี่ปุ่นจะกลายมาเป็นสุดยอดดาบที่ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดในโลกนั้นก็ต้องผ่านพ้นความผิดพลาดต่างๆ และนำไปสู่การพัฒนาครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งกลายมาเป็นยอดเทพศัสตราดังที่เราได้เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้

         และในวันนี้เราจะกล่าวถึงเรื่องราวของดาบญี่ปุ่นกันนะครับ

--------------------

ดาบญี่ปุ่นในยุคแรกเริ่ม (ก่อนศตวรรษที่ 9)

         ดาบญี่ปุ่นในยุคแรกเริ่มนั้นได้รับอิทธิพลมาจากจีน เนื่องจากบรรพบุรุษของชาวญี่ปุ่นนั้นมีถิ่นฐานเดิมอยู่บนแผ่นดินใหญ่ก่อนที่จะอพยพข้ามทะเลไปตั้งรกรากบนหมู่เกาะญี่ปุ่น อีกทั้งในฐานะที่เป็นหนึ่งในรัฐบรรณาการของจีน พวกเขาจึงได้รับเอาความรู้ด้านโลหวิทยาจากจีนมาสร้างอาวุธและเครื่องมือต่างๆ ด้วยเหตุนี้ หน้าตาของดาบญี่ปุ่นในยุคแรกเริ่มจึงไม่ต่างไปจากดาบแบบจีนซึ่งมีลักษณะใบดาบยาวตรงโดยมีสองแบบคือ แบบมีคมเดียวเรียกว่า "ดาบ" และแบบมีสองคมที่เรียกว่า "กระบี่" ในหนังจีนนั่นแล (แต่เพื่อความสะดวกในการเขียนบทความ ขออนุญาตพูดรวมๆ ว่าดาบนะครับ)

         ทว่าดาบแบบจีนที่ชาวญี่ปุ่นนิยมใช้ในยุคแรกเริ่มนั้นก็มีอันต้องถึงคราวตกรุ่นไปเมื่อชาวญี่ปุ่นได้ค้นพบจุดอ่อนของมันในการรบกับชาวไอนุซึ่งเป็นชนพื้นเมืองที่อยู่มาแต่เดิมบนหมู่เกาะญี่ปุ่น!

         เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อบรรพบุรุษของชาวญี่ปุ่นได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานบนหมู่เกาะญี่ปุ่นแล้ว พวกเขาก็ต้องสู้รบเพื่อแย่งชิงดินแดนกับชาวไอนุซึ่งเป็นเจ้าถิ่นเดิม ซึ่งชาวไอนุนั้นเป็นชาวป่าชาวเขาซึ่งใช้การรบแบบกองโจร ซุ่มซ่อนอยู่ในป่าจนเมื่อศัตรูเข้ามาในระยะประชิดก็โผล่ออกไปจ๊ะเอ๋แล้วกระหน่ำโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งรูปแบบการต่อสู้ของชาวไอนุได้เผยให้เห็นถึงจุดอ่อนของดาบแบบจีนนั่นก็คือ...

1) กระบี่จีนบิ่นหักได้ง่ายเป็นอย่างมากเมื่อถูกกระแทกอย่างรุนแรง

         กระบี่จีนมีสองคม ดังนั้นจึงมีใบดาบที่เรียวบางมากๆ มีส่วนหนาแค่ตรงกลางใบดาบเท่านั้น แม้การมีสองคมจะช่วยให้ฟาดฟันได้อย่างรวดเร็วเพราะไม่ต้องเสียเวลาพลิกดาบไปมาเหมือนกับดาบคมเดียว แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความอ่อนแอของใบดาบที่ไม่สามารถต้านรับการโจมตีที่หนักหน่วงได้ ดังนั้นกระบี่จีนจึงไม่เหมาะกับการต่อสู้แบบที่ต้องเข้าปะทะกันอย่างรุนแรงได้

2) ดาบแบบจีนชักออกมาจากฝักได้ช้า

         ด้วยความที่ดาบมีรูปร่างยาวตรง การชักดาบออกจากฝักแต่ละครั้งจึงค่อนข้างเสียเวลาเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นักรบชาวญี่ปุ่นหลายคนถูกชาวไอนุฆ่าตายโดยที่ยังไม่ทันได้ชักดาบออกจากฝักเลย

         จากจุดอ่อนที่กล่าวมาข้างต้นจึงนำไปสู่การพัฒนาครั้งที่ 1 ของดาบญี่ปุ่นนั่นเองครับผม!

--------------------

พัฒนาการของดาบญี่ปุ่นครั้งที่ 1 (ศตวรรษที่ 9 - ศตวรรษที่ 13)

         เมื่อได้เล็งเห็นว่าดาบแบบจีนไม่เหมาะกับสถานการณ์การสู้รบที่เผชิญอยู่ ช่างเหล็กญี่ปุ่นจึงต้องออกแบบและพัฒนาดาบที่จะสามารถใช้ต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นมา และนั่นเองที่ทำให้ดาบญี่ปุ่นหรือดาบซามูไรได้ถือกำเนิดขึ้น!

         ช่างเหล็กญี่ปุ่นได้ออกแบบดาบให้มีด้านคมเพียงด้านเดียวและมีความโค้ง เพื่อแก้ไขจุดอ่อนของดาบแบบจีนในยุคก่อนหน้านี้ เพราะดาบที่มีด้านคมเพียงด้านเดียวจะทำให้ใบดาบมีความหนาขึ้น สามารถต้านรับการจู่โจมได้ดีกว่าใบดาบแบบสองคม และดาบที่มีรูปร่างโค้งก็สามารถชักออกจากฝักได้ง่ายและเร็วกว่าดาบที่มีรูปร่างยาวตรง

         อีกทั้งกรรมวิธีการหล่อเหล็กและตีขึ้นรูปตัวดาบนั้นก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเคล็ดลับในการหล่อและตีขึ้นรูปตัวดาบนั้นก็คือ...

1) การควบคุมปริมาณคาร์บอน

         ธาตุคาร์บอนคือสิ่งที่ควบคุมความอ่อนและแข็งของเหล็ก หากมีคาร์บอนสูงเหล็กจะแข็งและคมแต่บิ่นหักได้ง่าย หากมีคาร์บอนต่ำเหล็กจะอ่อนและยืดหยุ่นแต่ไม่คม ช่างเหล็กญี่ปุ่นได้นำเหล็กทั้งสองแบบนี้มาสร้างเป็นดาบที่มีความสมดุล โดยใช้เหล็กแข็งที่มีปริมาณคาร์บอนสูงมาทำเป็นตัวดาบด้านนอกเพื่อให้ดาบมีความคม สามารถฟาดฟันศัตรูให้คอขาดกระเด็นได้ในพริบตาเดียว ส่วนเหล็กอ่อนที่มีปริมาณคาร์บอนต่ำได้ถูกนำมายัดไส้เป็นส่วนแกนในของใบดาบเพื่อให้มีความยืดหยุ่นและรับแรงกระแทกที่หนักหน่วงได้

2) การตีเหล็กแบบทบกันและวนไปซ้ำๆ

         นอกจากการควบคุมปริมาณคาร์บอนแล้ว ช่างเหล็กญี่ปุ่นยังได้เพิ่มความแข็งแกร่งของเหล็กด้วยการใช้วิธีตีเหล็กแบบทบกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้เหล็กที่มีมวลความหนาแน่นสูง โดยวิธีการก็คือการเอาเหล็กไปเผาให้แดงจนสามารถตีขึ้นรูปได้ จากนั้นก็นำมาตีให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้วก็พับครึ่งทบเข้าหากันก่อนจะตีซ้ำลงไปจนเป็นเนื้อเดียวกัน นำไปเผาไฟอีกรอบแล้วก็นำออกมาตีพับครึ่งทบเข้าหากันและตีซ้ำลงไปจนเป็นเนื้อเดียวกันอีกรอบ ทำซ้ำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้เหล็กที่มีความแข็งแกร่งมากพอจึงค่อยนำมายืดออกตีเป็นใบดาบ

         ดาบญี่ปุ่นที่ได้รับการพัฒนาในช่วงแรกจะมีความใหญ่และโค้งเป็นอย่างมากเพื่อพลังโจมตีและเหมาะกับการสู้รบบนหลังม้า (บรรพบุรุษของชาวญี่ปุ่นเป็นชาวแผ่นดินใหญ่ที่มีความสามารถในการขี่ม้าทำศึก แต่ในเวลาต่อมาทหารม้าเริ่มลดบทบาทและจำนวนลงเนื่องจากภูมิประเทศของญี่ปุ่นเป็นเกาะและภูเขา ม้าจึงหายากและมีราคาแพง) แต่ในภายหลังดาบได้ลดความใหญ่และโค้งลงเพื่อให้สะดวกในการใช้มากขึ้นจนกลายมาเป็นดาบคาตานะที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน

--------------------

พัฒนาการของดาบญี่ปุ่นครั้งที่ 2 (ศตวรรษที่ 13 - ศตวรรษที่ 19)

         ในเวลาต่อมา ญี่ปุ่นได้เผชิญหน้ากับการรุกรานจากชนชาติภายนอกนั่นก็คือ "ชาวมองโกล" ชนชาติที่ยิ่งใหญ่ของเจงกิสข่านซึ่งแผ่ขยายอาณาเขตปกคลุมดินแดนไปทั่วทั้งเอเชียและยุโรป โดยกุบไลข่าน หลานของเจงกิสข่านซึ่งเป็นจักรพรรดิของมองโกลในเวลานั้นต้องการที่จะยึดครองญี่ปุ่น จึงได้ทำการกรีฑาทัพบุกเข้ามาโจมตีญี่ปุ่นถึง 2 ครั้งใน ค.ศ.1274 และ 1281

         แม้ว่าในท้ายที่สุดญี่ปุ่นจะรอดพ้นจากการถูกยึดครองโดยได้สายลมแห่งเทพเจ้าที่ถูกขนานนาม "คามิคาเซ่" มาช่วยเอาไว้ได้ทั้งสองครั้ง ทว่านั่นก็ทำให้ชาวญี่ปุ่นตระหนักถึงการพัฒนาอาวุธของพวกเขาให้แข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้น และนั่นก็นำไปสู่การพัฒนาครั้งที่ 2 ของดาบญี่ปุ่นอันนำไปสู่จุดสูงสุดของดาบญี่ปุ่น

         ช่างเหล็กจากตระกูล "มาซามุเนะ" ได้คิดค้นวิธีการสร้างดาบที่แข็งแกร่งจากเหล็ก 3 ชนิด โดยเหล็กชนิดแรกก็คือเหล็กแข็งที่ถูกนำมาสร้างเป็นใบดาบด้านนอก เหล็กอ่อนที่ถูกนำมาใช้เป็นแกนกลางของใบดาบ และสุดท้ายก็คือเหล็กที่แข็งที่สุดซึ่งถูกนำมาทำเป็นส่วนคมของดาบ!

         และด้วยเหตุนี้เองดาบญี่ปุ่นที่ว่านี้จึงถูกเรียกว่า "ดาบมาซามุเนะ" ตามชื่อของผู้ที่คิดค้นมันขึ้นมา

         ดาบมาซามุเนะนับเป็นดาบที่ถูกพัฒนาจนถึงขั้นสูงสุด เป็นสุดยอดดาบแห่งดินแดนอาทิตย์อุทัยที่ไม่มีดาบใดๆ เสมอเหมือน ซึ่งนอกจากช่างดาบของตระกูลมาซามุเนะแล้วก็มีเพียงช่างดาบจากตระกูล "มุรามาสะ" เท่านั้นที่สามารถสร้างดาบแบบเดียวกันนี้ได้

         หลังจากศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา เมื่อญี่ปุ่นได้ทำการเปิดประเทศและรับเอาศิลปวิทยาการแบบตะวันตกเข้าไป ยุคสมัยของซามูไรจึงได้สิ้นสุดลง เฉกเช่นการสร้างดาบแบบดั้งเดิมนี้ด้วย... กองทัพญี่ปุ่นได้ถูกปฏิรูปให้กลายเป็นกองทัพแบบตะวันตก ดาบที่พวกเขาใช้ก็มีวิธีการผลิตตามแบบตะวันตกเช่นกัน

--------------------

         และนี่ก็คือเรื่องราวของดาบญี่ปุ่นที่ผมได้นำมาเล่าสู่กันฟังนะครับ

        ก็ขอขอบคุณทุกๆ ท่านนะครับที่มารับชมกระทู้นี้ หากมี comment อะไรก็เชิญพูดคุยกันได้เลยนะครับ หัวเราะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่