เงินกู้ 4 แสนล้านจะช่วยให้คนไทยรอดพ้นวิกฤติไปได้ไกลสักแค่ไหนกัน?


          อย่าหาว่าเขียนกระทู้มาเพื่อดูถูกความสามารถกันเลย แต่ ณ เวลานี้ต้องบอกตรงๆ ว่าประชาชนอย่างเราเกิดความหวั่นใจกับการบริหารจัดการของรัฐบาลเป็นอย่างมาก เพราะที่ผ่านมาถึงแม้ว่ารัฐบาลจะจัดการเรื่องโควิดได้เป็นอย่างดีเยี่ยม แต่ในเรื่องของเศรษฐกิจนั้น....มันยังวิกฤติอยู่นะครับ มันจึงเชื่อมั่นยาก เพราะที่ผ่านมารัฐบาลชอบมีมาตรการที่เน้นการแจก แต่ไม่ได้เน้นการหาเพิ่มเติมให้ประชาชนสามารถเอาไปต่อยอดยืนด้วยลำแข้งของตนเองได้
และที่ผ่านมาก็มีงบเงินกู้สี่แสนล้าน ที่จะถูกนำไปกับโครงการต่างๆ โดย ครม.ก็มีความเห็นชอบอนุมัติมาแล้วโดยรอบแรก
186 โครงการ กรอบวงเงิน 92,400 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 แผนงาน ได้แก่ 
          · แผนงานสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก 111 โครงการ วงเงิน 51,328.68 ล้านบาท 
          · แผนงานสร้างความเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน 83 โครงการ วงเงิน 20,340.43 ล้านบาท 
          · โครงการแผนงานกระตุ้นการอุปโภค บริโภค และกระตุ้นการท่องเที่ยว 2 โครงการ วงเงิน 22,400 ล้านบาท 
          (แหม่...รอบแรกก็เกือบจะ 1 แสนล้านเข้าไปแล้ว ตีเป็นเลขง่ายๆ ก็เหลืออีก 3 แสนล้านกับอีกกี่โครงการหละ?)

อย่างไรก็ตาม ครม.อนุมัติให้เบิกจ่ายเงินให้กับ 5 โครงการที่มีการเสนอเข้ามาในวันที่ 8 ก.ค.นี้ก่อน ซึ่งเน้นเรื่องการจ้างงาน สร้างอาชีพ และให้ความรู้ประชาชนเพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานราก วงเงินรวม 15,520.096 ล้านบาท 
5 โครงการ ประกอบด้วย
          1. โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่ม เกษตรทฤษฎีใหม่ เสนอโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน 9,805 ล้านบาท เป็นการฝึกอบรมเกษตรกรเกี่ยวกับเกษตรทฤษฎีใหม่ เพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ำเพื่อการเกษตร มีเป้าหมายในการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร 44,099 รายเพิ่มการจ้างงานเกษตรกร 8,018 ราย

          2. โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์ “โคก หนอง นา โมเดล” เสนอโดยกรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย วงเงิน 4,787 ล้านบาท จะเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร และประชาชน 25,179 ครัวเรือน/เพิ่มการจ้างงานเกษตรกร 6,492 ราย เพิ่มพื้นที่ปลูกป่าไม่น้อยกว่า 25,759 ไร่

          3. โครงการพัฒนาธุรกิจบริการดินและปุ๋ย เพื่อชุมชน เสนอโดยกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน 169.88 ล้านบาท จะเพิ่มการจ้างงานในธุรกิจบริการดินและปุ๋ยเพื่อชุมชน 2,364 คน/ลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยเคมีในพืชเศรษฐกิจต่างๆไม่น้อยกว่า 20% หรือประมาณ 18,000 ตัน โดยสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกประมาณ 253 ล้านบาท

           4. โครงการพื้นที่ท่องเที่ยวปลอดภัยสำหรับ นักท่องเที่ยว (safety zone) เสนอโดยกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา วงเงิน 15 ล้านบาท ดำเนินการ 5 พื้นที่ ได้แก่ย่านเมืองเก่าน่าน หาดบางแสน จ.ชลบุรี เอเชียทีค ชุมชนบ้านไร่ กองขิง เชียงใหม่ และเยาวราช โดยมีเป้าหมายสร้างต้นแบบพื้นที่ท่องเที่ยว และกระจายรายได้กระจายสู่เศรษฐกิจฐานราก

          5. โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ ด้านสัตว์ป่า เสนอโดย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม วงเงินรวม 741.5 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงและยกระดับสถานที่ท่องเที่ยวเชิงคุณภาพของอุทยานแห่งชาติ ช่วยจ้างงานในพื้นที่อนุรักษ์สัตว์ป่า 1,250 คนโดยพัฒนาให้เป็นมัคคุเทศก์ท้องถิ่นสร้างผู้ประกอบการก่อสร้างในท้องถิ่นจำนวน 125 ราย

https://bit.ly/3gzv31E
          3 ใน 5 โครงการเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเกษตร แต่ตอนนี้ภาคส่วนที่เดือดร้อนมากที่สุดคือภาคส่วนของการท่องเที่ยว และประเทศไทยก็พึ่งพาต่างชาติขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ อย่างการส่งออกที่ตอนนี้ก็ทำได้น้อยลง ค่าเงินบาทก็แข็ง แล้วอุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็วายวอดมากที่สุด 
Travel bubble ก็หมดความหวังถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดแล้ว ต่างชาติที่เป็นกำลังหลักก็เข้ามาไม่ได้ ครั้นจะพึ่งพากำลังการท่องเที่ยวจากคนไทยกันเองก็ทำได้ยาก ทำได้ยากไม่เท่าไหร่ แต่พอมาเจอเรื่องทหารอิยิปต์ไประยองโอ้โห เหมือนคนทั้งประเทศถูกกระทืบซ้ำ เข้าใจหัวอีกคนระยองที่เวลาผ่าน ไป 3 เดือน รอเวลาให้มาตรการผ่อนคลายเพื่อจะทะยานพุ่งขึ้นมาหายใจเหนือน้ำ แต่ก็โดนดึงกลับลงไปอีก 

          ส่วนตัวแล้วอยากให้โครงการแรกๆ เน้นไปที่การท่องเที่ยวก่อน เพราะเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ของประเทศ เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจ อย่างน้อยคนที่ตกงานตอนนี้ก็น่าจะทำอะไรก่อกๆ แก่กๆ มาขายให้กับนักท่องเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวของแต่ละจังหวัดกันได้ ส่วนในเรื่องของการสนับสนุนเกษตรกรก็เห็นว่าหลายๆ รัฐบาลก็ทำกันมาตลอดอยู่แล้วก็ต้องควบคู่กันไป เพียงแต่ว่าจะเป็นไปได้ไหม ถ้าให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวมากกว่านี้ 
ในฐานะประชาชนผู้ที่ต้องรับผิดชอบหนี้ที่เกิดขึ้น และการนำเงินส่วนนี้ไปทำโครงการไหน หรือสนับสนุนภาคส่วนไหนก็ตาม ขอเถอะครับ ขอให้มันเกิดการกระตุ้นแบบยั่งยืน ทั่วถึงไปยังกลุ่มประชาชนจริงๆ  ไม่ใช่แจกเงิน แจกส่วนลด ใช้แล้วหมดไป เหมือนอย่างที่รัฐบาลชุดนี้เคยทำกันมา 

          อย่าให้เงินสี่แสนล้านนี้ ต้องเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำอีกเลย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่