สวัสดีค่ะ เราจะมาเล่าประสบการณ์การผ่าตัดเนื้องอกมดลูกและซีสต์รังไข่แบบเปิดหน้าท้องของตัวเอง ตั้งแต่ที่เราตรวจเจอเนื้องอกจนถึงหลังผ่าตัด ซึ่งเราคิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับคนที่จะต้องผ่าตัดบ้างนะคะ
คำถามที่ถูกถามบ่อย "รู้ได้ยังไงว่ามีเนื้องอก ทำไมถึงได้ไปตรวจ"
เราเป็นคนที่ไม่กล้าและอายกับตรวจภายใน ทำให้ไม่เคยไปตรวจเลยจนถึงอายุ 40 แต่แล้ววันนึงในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2562 ขณะที่นอนลูบพุงพลุ้ยๆ เพราะรู้สึกว่าช่วงนี้เริ่มอ้วนขึ้น ปรากฏว่าลูบเจอก้อนอะไรแข็งๆ นูนๆ ลองลูบวนรอบก้อนนั้นเพื่อวัดขนาดก็ได้ขนาดประมาณลูกปิงปองหรือลูกมะนาวขนาดกลางได้ สุดท้ายเลยตัดสินใจไปตรวจในช่วงเดือนธันวาคม
และแล้วสิ่งที่คาดไว้ก็เป็นจริง
เราไปที่ รพ. เอกชนที่เราใช้สิทธิ์ประกันสังคมอยู่ เมื่อไปถึงคุณหมอก็ทำการตรวจด้วยการส่องกล้องผ่านทางช่องคลอด แล้วคุณหมอก็บอกว่า เรามีเนื้องอกในมดลูกอย่างที่เราคิดไว้จริงๆ แต่ที่เกินคาดไว้ก็คือ เรามีถึง 5 ก้อนด้วยกัน โดยก้อนที่ใหญ่สุดมีขนาด 7 เซนติเมตร ซึ่งคุณหมอก็อธิบายต่อว่าเนื้องอกที่พบเป็นเนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก วิธีการรักษาก็คือการผ่าตัด โดยคุณหมอแนะนำให้ผ่าตัดแบบตัดมดลูกทิ้งไปเลยจะดีกว่าผ่าแบบตัดเฉพาะเนื้องอก เนื่องจากเรามีเนื้องอกหลายก้อนเกินไป และการผ่าตัดเฉพาะเนื้องอกก็มีโอกาสที่เนื้องอกจะงอกขึ้นมาใหม่ได้อีก ซึ่งคุณหมอก็ขอนัดอีกทีในอีก 6 เดือนข้างหน้า ช่วงเดือนพฤษภาคม
ขอเล่าย้อนกลับไปช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เราเริ่มมีอาการปวดหน่วงๆ ปวดรำคาญในช่วงที่มีตกขาวใสเป็นวุ้นใสๆ ที่เค้าว่ากันว่าคือช่วงไข่ตก ก่อนที่จะมีประจำเดือน แต่หลังๆ เริ่มปวดมากขึ้นเรื่อยๆ จนช่วงก่อนผ่าตัดนี่จะปวดมากจนต้องกินยาคล้ายกับตอนที่ปวดประจำเดือน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยปวดท้องช่วงไข่ตกเลย ซึ่งตอนหลังที่ไปพบคุณหมอ เราก็เล่าเรื่องนี้ให้คุณหมอฟัง แต่คุณหมอก็บอกว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับที่มีเนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก
หลังจากไปตรวจและผ่านข้ามมาถึงเดือนมกราคม 2563 ในช่วงที่ไข่ตก จู่ๆ เราก็ปวดท้องคล้ายๆ กับปวดประจำเดือนแต่รอบนี้รู้สึกปวดมาก เราก็เลยทานยาแก้ปวดประจำเดือนไป แต่ก็ยังไม่หายปวด ช่วงบ่ายก็ยังปวดอยู่และเหมือนว่าจะปวดมากขึ้นเราก็เลยทานยาไปอีกเม็ดแล้วลงไปนอนที่ห้องพยาบาล เพราะปวดมากจนเดินตัวงอ พอเลิกงานเราก็เลยไปหาหมอ คราวนี้ไม่ได้เจอคุณหมอคุณเดิม คุณหมอคนนี้เลยฉีดยาแก้ปวดให้และทำเรื่องส่งตัวให้เราได้ผ่าตัด แต่เพราะเราใช้ประกันกลุ่มของที่ทำงานทำไว้ให้คู่กับประกันสังคม ทางโรงพยาบาลจึงต้องส่งเรื่องไปที่บริษัทประกันและประกันสังคม แล้วถึงจะนัดเราอีกที นอกจากนี้ตุณหมอยังบอกเราว่า ในช่วงผ่าตัดเราต้องลางานเพื่อหยุดพักฟื้นเป็นเวลา 30 วัน หลังจากนั้นเราก็ไปเกริ่นๆ กับหัวหน้างานว่าเราจะต้องลางาน 1 เดือน ในช่วงที่ไปผ่าตัด
พอเดือนกุมภาก็เหมือนเดิม ในช่วงไข่ตกเราก็ปวดท้องอีก แต่คราวนี้ปวดมากจนเดินแทบไม่ไหว ปวดจนนอนร้องไห้ ซึ่งก็ไปให้คุณหมอฉีดยาอีก ซึ่งเราก็ถามถึงผลการติดตามเรื่องการผ่าตัด ทางเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ยังไม่ทราบผล ต้องรอคิวผ่าตัดของคนไข้ประกันสังคม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเราจะได้คิวผ่าเมื่อไร แต่ถ้าเราจ่ายเงินสด ไม่ใช้สิทธิ์ประกันกลุ่มของที่ทำงานและประกันสังคม เราก็สามารถทำการนัดวันผ่าตัดได้เลย (เราคิดในใจ ลำเอียงชัดๆ 55)
ในระหว่างที่รอ มีเพื่อนแนะนำว่าให้ลองไปตรวจที่ รพ. อื่นดู เพื่อเปรียบเทียบผลตรวจ และเผื่อได้คิวผ่าตัดเร็ว เพราะตอนนั้นเราปวดท้องบ่อย ปวดแต่ละทีรู้สึกหมดสิ้นเรี่ยวแรง เราเลยเลือกไปตรวจที่ รามา พรีเมี่ยม ตอนที่ไปตรวจเป็นช่วงต้นเดือนมีนาคม ยอดผู้ป่วยโควิดก็เพิ่มขึ้นทุกวัน ซึ่งที่รามาพรีเมี่ยมนี้อาจารย์แพทย์จะเป็นผู้ตรวจ ที่สำคัญคือ ที่รามาตรวจให้ละเอียดและให้ข้อมูลและคำแนะนำมากกว่า รพ. เอกชนที่เราทำประกันสังคมที่ไปในตอนแรกซะอีก คือคุณหมอตรวจทั้งการส่องกล้องทางช่องคลอด และอัลตราซาวนด์ทางหน้าท้อง ซึ่งผลตรวจก็เหมือนกันกับ รพ.เอกชนที่เราเลือกใช้สิทธิ์ประกันสังคม นอกจากนี้คุณหมอยังบอกเราเพิ่มเติมว่า ตอนนี้มดลูกของเรามีขนาดเท่าคนท้อง 4 เดือน แล้วคุณหมอก็ทำเรื่องส่งตัวผ่าตัดให้เรา โดยคาดว่าเราน่าจะได้คิวผ่าช่วงเดือนเมษายน แล้วเราก็ได้คิวนัดให้ไปตรวจเลือด ตรวจปอด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเผื่อเตรียมตัวผ่าตัด ในวันที่ 16 มีนาคม
ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่น แต่ไม่ค่ะ วันที่เราไปตรวจนั้นไปถึงเราก็ไปยื่นใบนัดตรวจ พยาบาลก็ส่งเราไปตามจุดตรวจต่างๆ จนเสร็จ เจ็บตัวก็เจ็บแล้ว เวลาก็เสียไปแล้วเกือบครึ่งวัน พอเข้าห้องตรวจคุณหมอบอกกับเราว่า ด้วยสถานการณ์โควิดที่กำลังทวีความรุนแรงอยู่ในขณะนั้น ผอ. รพ. จึงมีคำสั่งให้งดรับเคสผ่าตัดทั่วไปก่อน รับเฉพาะเคสเร่งด่วน เพื่อเตรียมแพทย์และโรงพยาบาลในการรับมือกับผู้ป่วยโควิดที่กำลังเพิ่มขึ้น
หลังกลับจากโรงพยาบาลวันนั้น สัปดาห์ถัดไปที่ทำงานก็มีคำสั่งให้เราและเพื่อนๆ work from home ซึ่งเราก็ทำงานอยู่ที่บ้านเรื่อยมา จนเดือนเมษาช่วงก่อนสงกรานต์ ก็มีเจ้าหน้าจากโรงพยาบาลเอกชนที่เราใช้สิทธิ์ประกันสังคมโทรมาแจ้งว่าเราได้คิวผ่าตัดแล้ว ให้นัดวันไปตรวจร่างกายเตรียมตัวขึ้นเขียงได้ ซึ่งเราก็ไปตรวจร่างกายในวันที่ 21 เมษา ซึ่งวันนั้นเราก็ได้ตรวจเลือด เอกซเรย์ปอด แล้วก็ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ซึ่งผลคลื่นไฟฟ้าหัวใจเรามีปัญหานิดหน่อย คุณหมอเลยส่งเราไป consult กับคุณหมอแผนกโรคหัวใจ ซึ่งคุณหมอก็ได้ทำการอัลตราซาวนด์หัวใจอย่างละเอียดอีกที ซึ่งผลก็ไม่มีปัญหาอะไร คุณหมอโรคหัวใจอนุญาตให้ผ่าตัดได้
ทางคุณหมอสูติก็นัดวันผ่าตัดให้เราเป็นวันที่ 30 เมษายน 2563 โดยอธิบายรายละเอียดว่าการผ่าตัดของเราจะเป็นการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องโดยการบล็อคหลัง แต่เพื่อไม่ให้เราเจ็บจากการบล็อคหลังและเกิดความกลัวระหว่างผ่าตัด ก็จะให้ยานอนหลับเราก่อนที่จะบล็อคหลัง ซึ่งการผ่าตัดนี้จะตัดออกไปทั้งมดลูกเลย ส่วนรังไข่ทั้งสองข้างคุณหมอมองไม่เห็นเพราะเนื้องอกโตขยายออกด้านข้างจนบังรังไข่ทั้งสองเลย จึงต้องไปดูเอาหน้างาน จากนั้นคุณหมอก็สั่งให้เรางดน้ำงดอาหารในวันที่จะผ่าตัดตั้งแต่ 7 โมงเช้าเป็นต้นไป โดยจะผ่าตัดตอนบ่าย 2 โมงครึ่ง และให้มาถึงโรงพยาบาลก่อนเวลา 8 โมงเช้าในวันผ่าตัด และถ้าใส่คอนแทคเลนส์ ทาเล็บก็ให้เอาออกให้หมด รวมถึงพวกวิตามินต่างๆ ก็ให้งดด้วย ซึ่งเราไม่ได้ใส่คอนแทคเลนส์ ทาเล็บ และทานวิตามินอะไรทั้งสิ้น ก็เลยไม่ต้องทำอะไรในส่วนนี้
ในช่วง 10 วันก่อนผ่าตัดนี้ มีหลายคนถามเราว่าตื่นเต้นมั้ย กังวลมั้ย ซึ่งเราก็ไม่ได้กังวลเรื่องผ่านะ เพราะจากที่คุณหมอประเมินว่าลักษณะก้อนเนื้อน่าจะเป็นแค่เนื้องอกธรรมดา ไม่ใช่เนื้อร้าย เราก็เบาใจคลายกังวลไปได้ส่วนนึง แต่ที่เรากังวลคือ เรากลัวหิว เพราะต้องอดอาหารตั้งแต่ 7 โมง กว่าจะได้ผ่าก็บ่าย 2 กว่า 55
จริงๆ แล้วที่ไม่กังวล ไม่ใช่อะไร เราต้องรีบเคลียร์งานเพื่อส่งต่อให้เพื่อนดูแลช่วงที่เราไปผ่าตัด ทำให้งานยุ่งมากจนไม่มีเวลากังวล จำได้ว่าส่งอีเมล์ฉบับสุดท้ายตอน 5 ทุ่ม แล้วเช้าวันรุ่งขึ้นก็เป็นวันผ่าตัดเลย
ประสบการณ์ผ่าตัดมดลูกและซีสต์รังไข่
คำถามที่ถูกถามบ่อย "รู้ได้ยังไงว่ามีเนื้องอก ทำไมถึงได้ไปตรวจ"
เราเป็นคนที่ไม่กล้าและอายกับตรวจภายใน ทำให้ไม่เคยไปตรวจเลยจนถึงอายุ 40 แต่แล้ววันนึงในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2562 ขณะที่นอนลูบพุงพลุ้ยๆ เพราะรู้สึกว่าช่วงนี้เริ่มอ้วนขึ้น ปรากฏว่าลูบเจอก้อนอะไรแข็งๆ นูนๆ ลองลูบวนรอบก้อนนั้นเพื่อวัดขนาดก็ได้ขนาดประมาณลูกปิงปองหรือลูกมะนาวขนาดกลางได้ สุดท้ายเลยตัดสินใจไปตรวจในช่วงเดือนธันวาคม
และแล้วสิ่งที่คาดไว้ก็เป็นจริง
เราไปที่ รพ. เอกชนที่เราใช้สิทธิ์ประกันสังคมอยู่ เมื่อไปถึงคุณหมอก็ทำการตรวจด้วยการส่องกล้องผ่านทางช่องคลอด แล้วคุณหมอก็บอกว่า เรามีเนื้องอกในมดลูกอย่างที่เราคิดไว้จริงๆ แต่ที่เกินคาดไว้ก็คือ เรามีถึง 5 ก้อนด้วยกัน โดยก้อนที่ใหญ่สุดมีขนาด 7 เซนติเมตร ซึ่งคุณหมอก็อธิบายต่อว่าเนื้องอกที่พบเป็นเนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก วิธีการรักษาก็คือการผ่าตัด โดยคุณหมอแนะนำให้ผ่าตัดแบบตัดมดลูกทิ้งไปเลยจะดีกว่าผ่าแบบตัดเฉพาะเนื้องอก เนื่องจากเรามีเนื้องอกหลายก้อนเกินไป และการผ่าตัดเฉพาะเนื้องอกก็มีโอกาสที่เนื้องอกจะงอกขึ้นมาใหม่ได้อีก ซึ่งคุณหมอก็ขอนัดอีกทีในอีก 6 เดือนข้างหน้า ช่วงเดือนพฤษภาคม
ขอเล่าย้อนกลับไปช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เราเริ่มมีอาการปวดหน่วงๆ ปวดรำคาญในช่วงที่มีตกขาวใสเป็นวุ้นใสๆ ที่เค้าว่ากันว่าคือช่วงไข่ตก ก่อนที่จะมีประจำเดือน แต่หลังๆ เริ่มปวดมากขึ้นเรื่อยๆ จนช่วงก่อนผ่าตัดนี่จะปวดมากจนต้องกินยาคล้ายกับตอนที่ปวดประจำเดือน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยปวดท้องช่วงไข่ตกเลย ซึ่งตอนหลังที่ไปพบคุณหมอ เราก็เล่าเรื่องนี้ให้คุณหมอฟัง แต่คุณหมอก็บอกว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับที่มีเนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก
หลังจากไปตรวจและผ่านข้ามมาถึงเดือนมกราคม 2563 ในช่วงที่ไข่ตก จู่ๆ เราก็ปวดท้องคล้ายๆ กับปวดประจำเดือนแต่รอบนี้รู้สึกปวดมาก เราก็เลยทานยาแก้ปวดประจำเดือนไป แต่ก็ยังไม่หายปวด ช่วงบ่ายก็ยังปวดอยู่และเหมือนว่าจะปวดมากขึ้นเราก็เลยทานยาไปอีกเม็ดแล้วลงไปนอนที่ห้องพยาบาล เพราะปวดมากจนเดินตัวงอ พอเลิกงานเราก็เลยไปหาหมอ คราวนี้ไม่ได้เจอคุณหมอคุณเดิม คุณหมอคนนี้เลยฉีดยาแก้ปวดให้และทำเรื่องส่งตัวให้เราได้ผ่าตัด แต่เพราะเราใช้ประกันกลุ่มของที่ทำงานทำไว้ให้คู่กับประกันสังคม ทางโรงพยาบาลจึงต้องส่งเรื่องไปที่บริษัทประกันและประกันสังคม แล้วถึงจะนัดเราอีกที นอกจากนี้ตุณหมอยังบอกเราว่า ในช่วงผ่าตัดเราต้องลางานเพื่อหยุดพักฟื้นเป็นเวลา 30 วัน หลังจากนั้นเราก็ไปเกริ่นๆ กับหัวหน้างานว่าเราจะต้องลางาน 1 เดือน ในช่วงที่ไปผ่าตัด
พอเดือนกุมภาก็เหมือนเดิม ในช่วงไข่ตกเราก็ปวดท้องอีก แต่คราวนี้ปวดมากจนเดินแทบไม่ไหว ปวดจนนอนร้องไห้ ซึ่งก็ไปให้คุณหมอฉีดยาอีก ซึ่งเราก็ถามถึงผลการติดตามเรื่องการผ่าตัด ทางเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ยังไม่ทราบผล ต้องรอคิวผ่าตัดของคนไข้ประกันสังคม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเราจะได้คิวผ่าเมื่อไร แต่ถ้าเราจ่ายเงินสด ไม่ใช้สิทธิ์ประกันกลุ่มของที่ทำงานและประกันสังคม เราก็สามารถทำการนัดวันผ่าตัดได้เลย (เราคิดในใจ ลำเอียงชัดๆ 55)
ในระหว่างที่รอ มีเพื่อนแนะนำว่าให้ลองไปตรวจที่ รพ. อื่นดู เพื่อเปรียบเทียบผลตรวจ และเผื่อได้คิวผ่าตัดเร็ว เพราะตอนนั้นเราปวดท้องบ่อย ปวดแต่ละทีรู้สึกหมดสิ้นเรี่ยวแรง เราเลยเลือกไปตรวจที่ รามา พรีเมี่ยม ตอนที่ไปตรวจเป็นช่วงต้นเดือนมีนาคม ยอดผู้ป่วยโควิดก็เพิ่มขึ้นทุกวัน ซึ่งที่รามาพรีเมี่ยมนี้อาจารย์แพทย์จะเป็นผู้ตรวจ ที่สำคัญคือ ที่รามาตรวจให้ละเอียดและให้ข้อมูลและคำแนะนำมากกว่า รพ. เอกชนที่เราทำประกันสังคมที่ไปในตอนแรกซะอีก คือคุณหมอตรวจทั้งการส่องกล้องทางช่องคลอด และอัลตราซาวนด์ทางหน้าท้อง ซึ่งผลตรวจก็เหมือนกันกับ รพ.เอกชนที่เราเลือกใช้สิทธิ์ประกันสังคม นอกจากนี้คุณหมอยังบอกเราเพิ่มเติมว่า ตอนนี้มดลูกของเรามีขนาดเท่าคนท้อง 4 เดือน แล้วคุณหมอก็ทำเรื่องส่งตัวผ่าตัดให้เรา โดยคาดว่าเราน่าจะได้คิวผ่าช่วงเดือนเมษายน แล้วเราก็ได้คิวนัดให้ไปตรวจเลือด ตรวจปอด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเผื่อเตรียมตัวผ่าตัด ในวันที่ 16 มีนาคม
ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่น แต่ไม่ค่ะ วันที่เราไปตรวจนั้นไปถึงเราก็ไปยื่นใบนัดตรวจ พยาบาลก็ส่งเราไปตามจุดตรวจต่างๆ จนเสร็จ เจ็บตัวก็เจ็บแล้ว เวลาก็เสียไปแล้วเกือบครึ่งวัน พอเข้าห้องตรวจคุณหมอบอกกับเราว่า ด้วยสถานการณ์โควิดที่กำลังทวีความรุนแรงอยู่ในขณะนั้น ผอ. รพ. จึงมีคำสั่งให้งดรับเคสผ่าตัดทั่วไปก่อน รับเฉพาะเคสเร่งด่วน เพื่อเตรียมแพทย์และโรงพยาบาลในการรับมือกับผู้ป่วยโควิดที่กำลังเพิ่มขึ้น
หลังกลับจากโรงพยาบาลวันนั้น สัปดาห์ถัดไปที่ทำงานก็มีคำสั่งให้เราและเพื่อนๆ work from home ซึ่งเราก็ทำงานอยู่ที่บ้านเรื่อยมา จนเดือนเมษาช่วงก่อนสงกรานต์ ก็มีเจ้าหน้าจากโรงพยาบาลเอกชนที่เราใช้สิทธิ์ประกันสังคมโทรมาแจ้งว่าเราได้คิวผ่าตัดแล้ว ให้นัดวันไปตรวจร่างกายเตรียมตัวขึ้นเขียงได้ ซึ่งเราก็ไปตรวจร่างกายในวันที่ 21 เมษา ซึ่งวันนั้นเราก็ได้ตรวจเลือด เอกซเรย์ปอด แล้วก็ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ซึ่งผลคลื่นไฟฟ้าหัวใจเรามีปัญหานิดหน่อย คุณหมอเลยส่งเราไป consult กับคุณหมอแผนกโรคหัวใจ ซึ่งคุณหมอก็ได้ทำการอัลตราซาวนด์หัวใจอย่างละเอียดอีกที ซึ่งผลก็ไม่มีปัญหาอะไร คุณหมอโรคหัวใจอนุญาตให้ผ่าตัดได้
ทางคุณหมอสูติก็นัดวันผ่าตัดให้เราเป็นวันที่ 30 เมษายน 2563 โดยอธิบายรายละเอียดว่าการผ่าตัดของเราจะเป็นการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องโดยการบล็อคหลัง แต่เพื่อไม่ให้เราเจ็บจากการบล็อคหลังและเกิดความกลัวระหว่างผ่าตัด ก็จะให้ยานอนหลับเราก่อนที่จะบล็อคหลัง ซึ่งการผ่าตัดนี้จะตัดออกไปทั้งมดลูกเลย ส่วนรังไข่ทั้งสองข้างคุณหมอมองไม่เห็นเพราะเนื้องอกโตขยายออกด้านข้างจนบังรังไข่ทั้งสองเลย จึงต้องไปดูเอาหน้างาน จากนั้นคุณหมอก็สั่งให้เรางดน้ำงดอาหารในวันที่จะผ่าตัดตั้งแต่ 7 โมงเช้าเป็นต้นไป โดยจะผ่าตัดตอนบ่าย 2 โมงครึ่ง และให้มาถึงโรงพยาบาลก่อนเวลา 8 โมงเช้าในวันผ่าตัด และถ้าใส่คอนแทคเลนส์ ทาเล็บก็ให้เอาออกให้หมด รวมถึงพวกวิตามินต่างๆ ก็ให้งดด้วย ซึ่งเราไม่ได้ใส่คอนแทคเลนส์ ทาเล็บ และทานวิตามินอะไรทั้งสิ้น ก็เลยไม่ต้องทำอะไรในส่วนนี้
ในช่วง 10 วันก่อนผ่าตัดนี้ มีหลายคนถามเราว่าตื่นเต้นมั้ย กังวลมั้ย ซึ่งเราก็ไม่ได้กังวลเรื่องผ่านะ เพราะจากที่คุณหมอประเมินว่าลักษณะก้อนเนื้อน่าจะเป็นแค่เนื้องอกธรรมดา ไม่ใช่เนื้อร้าย เราก็เบาใจคลายกังวลไปได้ส่วนนึง แต่ที่เรากังวลคือ เรากลัวหิว เพราะต้องอดอาหารตั้งแต่ 7 โมง กว่าจะได้ผ่าก็บ่าย 2 กว่า 55
จริงๆ แล้วที่ไม่กังวล ไม่ใช่อะไร เราต้องรีบเคลียร์งานเพื่อส่งต่อให้เพื่อนดูแลช่วงที่เราไปผ่าตัด ทำให้งานยุ่งมากจนไม่มีเวลากังวล จำได้ว่าส่งอีเมล์ฉบับสุดท้ายตอน 5 ทุ่ม แล้วเช้าวันรุ่งขึ้นก็เป็นวันผ่าตัดเลย