“มหาทวีปแพนเจีย” (Pangaea) ทวีปแรกเริ่มดั้งเดิม



แบบจำลองมหาทวีปแพนเจีย ตามแนวคิดทวีปเคลื่อน ของเวเจเนอร์
เดิมทีเวเจเนอร์ ตั้งชื่อ มหาทวีปแพนเจีย เป็นภาษาเยอรมันว่า UrkontinentUk แปลว่า แรกเริ่มดั้งเดิม ส่วน kontinent แปลว่า ทวีป
 

มหาทวีปแพนเจีย Pangaea (แพน หมายถึง ทั้งหมด และ เจีย หมายถึง โลก ในภาษากรีกโบราณ) เป็นมหาทวีปอยู่ในช่วงมหายุคพาลีโอโซอิกและมหายุคมีโซโซอิก มหาทวีปแพนเจียก่อตัวขึ้นจากหน่วยทวีปต่าง ๆ เมื่อประมาณ 335 ล้านปีที่แล้ว ก่อนที่จะเริ่มแยกตัวกันออกเป็นทวีปต่างๆอีกครั้งราว 175 ล้านปีก่อน เป็นทวีปลอเรเชีย Laurasia ทางตอนเหนือ-ออสเตรเลียและกอนด์วานา Gondwana ทางตอนใต้-อินเดีย-อเมริกาใต้-แอฟริกา

มหาทวีปแพนเจียตั้งอยู่ในซีกโลกทางใต้ ล้อมรอบโดยมหาสมุทรยักษ์ แพนธาลัสซา Panthallssa Ocean และทะเลเททิส Tethys Sea
แพนเจียเป็นการเกิดขึ้นของมหาทวีปครั้งล่าสุดนับแต่การอุบัติขึ้นของดาวเคราะห์โลก และเป็นมหาทวีปแรกที่นักธรณีวิทยาหาหลักฐานมายืนยันได้ว่ามีอยู่จริง
หลักฐานทางธรณีวิทยาบนแผ่นดินเพชรบูรณ์ในประเทศไทย ปรากฎร่องรอยของชั้นหินในยุคเพอร์เมียนของมหายุคพาลีโอโซอิก และยุคไทรแอสสิกของมหายุคมีโซโซอิก ที่เริ่มมีการชนกันของอนุทวีปอินโดไชน่า ทางตะวันออกและอนุทวีปชาน-ไทย ทางตะวันตก โดยมีทะเลเททิสอยู่ตรงกลาง จนแห้งหายไปเมื่ออนุทวีปทั้ง 2 ได้ปะทะเชื่อมต่อกันจนเป็นแผ่นดินเดียวกันในที่สุด


โลกมีทวีปรวมกันเป็นทวีปใหญ่เพียงแค่ทวีปเดียว


(ภาพเคลื่อนไหวที่แสดงการแยกตัวของมหาทวีปแพนเจีย สู่ทวีปในยุคปัจจุบัน)


ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1596 มีนักวิทยาศาสตร์นามว่า อับบราฮัม ออร์เตเลียส ได้นำเสนอทฤษฎีที่บอกว่า ทวีปบนโลกเรามีการเคลื่อนที่แยกออกจากกัน แต่ทฤษฎีดังกล่าวถูกปฏิเสธเนื่องจากขาดหลักฐานสนับสนุนที่เพียงพอ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1912 อัลเฟรด เวเจเนอร์ (Alfred Wegener) นักธรณีฟิสิกส์และนักอุตุนิยมวิทยาชาวเยอรมันได้เผยแพร่เอกสารที่น่าเชื่อถือที่มีชื่อว่า “ทฤษฎีทวีปเลื่อน” โดยเขาตั้งสมมุติฐานว่า แผ่นทวีปบนโลกเรามีการเคลื่อนที่ไปรอบโลกอย่างช้า ๆ
อัลเฟรทระบุว่า เมื่อนานมาแล้ว โลกของเรามีเพียงทวีปเดียวที่ถูกตั้งชื่อว่า “มหาทวีปแพนเจีย” โดยก่อตัวขึ้นเมื่อประมาณ 335 ล้านปีที่แล้ว ก่อนที่ 110 ล้านปีต่อมาพื้นที่ทางตอนใต้จะเริ่มแตกตัว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ถูกเรียกว่า “ยุคเพอร์เมียน”

ก่อนที่มหาทวีปแพนเจียจะเริ่มแยกตัวออกเป็นทวีปต่าง ๆ อีกครั้งราว 200 ล้านปีก่อน โดยแบ่งเป็นทางตอนเหนือคือ “ลอเรเซีย” และตอนใต้คือ “กอนด์วานา” โดยเป็นช่วงที่เกิดใน “ยุคไทรแอสซิก” จนกระทั่ง 150 ปีก่อนซึ่งเป็นช่วง “ยุคจูราสสิก” ทั้ง 2 ทวีปนี้ก็แยกตัวออกมาเป็น 7 ทวีป  ก่อนที่จะมาถึง
 “ยุคครีเทเชียส” เมื่อประมาณ 65 ล้านปีก่อน ทวีปทั้ง 7 ก็เลื่อนออกห่างจากกันมาเรื่อย ๆ  จนในปัจจุบันทวีปได้แยกตัวห่างจากกัน

ทฤษฎีของอัลเฟรดแต่เดิมทีก็ยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งเข้าสู่ยุคทศวรรษ 1950 จึงมีหลักฐานและทฤษฎีอื่น ๆ มาสนับสนุนทำให้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น



แผนที่ประเทศต่างๆบน ทวีปแพนเจีย


(“Pangea Politico” ผลงานโดย Massimo Pietrobon นักเขียนแผนที่มือสมัครเล่น
ที่ทดลองนำเอาประเทศต่างๆ ในปัจจุบันมาวางลงบนมหาทวีปแพนเจีย)


ในอดีตนั้นทวีปต่างๆ ที่เห็นในปัจจุบันเคยเชื่อมต่อกันเป็นแผ่นทวีปก่อนจะแตกกระจายตามการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกและกลายมาเป็นหน้าตาของทวีปดังปัจจุบัน  ซึ่งกระบวนการทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างช้าๆ และใช้เวลาหลายร้อยล้านปี ทฤษฎีของ อัลเฟรด เวเจเนอร์   ได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานอื่นๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นซากฟอสซิลของสัตว์โบราณชนิดเดียวกันที่พบทั้งในแคนาดาและในออสเตรเลีย รวมไปถึงแอนตาร์กติกาและอินเดียซึ่งอยู่ห่างกันคนละมุมโลก

แผนที่ของประเทศต่างๆ บนทวีปแพนเจียนี้ถูกสร้างขึ้นโดย Massimo Pietrobon นักเขียนแผนที่มือสมัครเล่น โดยตั้งชื่อผลงานชิ้นนี้ว่า
“Pangea Politico” เพื่อแสดงให้เห็นว่าโลกจะมีหน้าตาเป็นเช่นไร หากมหาทวีปแพนเจียไม่ได้แยกตัวออกจากกัน แม้ว่าขนาดของประเทศต่างๆ จะไม่ตรงตามสัดส่วนของแผนที่ในปัจจุบันก็ตาม แต่ผลงานชิ้นนี้นับว่าน่าสนใจและให้ความรู้สึกแปลกใหม่อย่างมากเมื่อเขตแดนที่เราคุ้นเคยเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

“สหรัฐอเมริกาหันหน้าเข้าหากลุ่มประเทศอาหรับ ในขณะที่ตอนใต้ติดกับคิวบาและโคลอมเบีย แม้ยุโรปจะไม่เปลี่ยนมากนักแต่ก็ใกล้ชิดแอฟริกามากๆ จนแทบจะปั่นจักรยานไปได้ เช่นเดียวกับชาวแอฟริกาที่แทบจะนั่งรถบัสเข้าอเมริกาได้เลย เกาหลีใต้อยู่จุดหนาวสุด ส่วนอินเดียกับแอนตาร์กติกามีสภาพอากาศเหมือนกัน” Pietrobon กล่าวถึงผลงานของเขา ซึ่งสะท้อนความจริงที่ว่าเขตแดนนั้นไม่เคยมีอยู่จริง


(หลักฐานที่ทำให้นักธรณีวิทยาเชื่อว่าเมื่อก่อนทวีปต่างๆ ของโลกเคยเป็นทวีปเดียวกันมาก่อนนั้นเช่น การพบพืชและฟอสซิลของสัตว์ที่มีอายุประมาณเดียวกัน บนบริเวณฝั่งของทวีปสองทวีป เช่น การค้นพบฟอสซิลของจระเข้น้ำจืดในประเทศบราซิล และแอฟริกาใต้ เป็นต้น)


Richard Morden นักวาดภาพประกอบอิสระชาวออสเตรเลียได้รวบรวมแผนที่ Pangea ซึ่งเป็นมหาทวีปขนาดใหญ่ที่ครองโลกกว่าหลายล้านปีก่อน ด้วยคำบรรยายภาพ "โลกของเราเมื่อไม่นานมานี้พร้อมกับดินแดนต่างๆมารวมกันเมื่อปรากฏสัตว์ร้ายเป็นครั้งแรก" แผนที่นี้มีสัตว์ต่าง ๆ ที่เป็นของยุคมหาทวีป Pangaea พร้อมกับมหาสมุทร Tethys ในยุค Triassic 



ประเทศไทยในมหาทวีปแพนเจีย Cr.en.protothema.gr


ทุกวันนี้แผ่นเปลือกโลกเองก็กำลังเคลื่อนที่อย่างช้าๆ ซึ่งทวีปแอฟริกาและยุโรปเองกำลังเคลื่อนเข้าหากันเรื่อยๆ ออสเตรเลียเองก็เช่นกัน ในอีกร้อยล้านปีมันจะชนเข้ากับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และรวมกันเป็นเนื้อเดียว และนี่คือทฤษฎีที่บรรดานักวิทยาศาสตร์คาดการณ์หน้าตาของแผ่นทวีปบนโลกในอีก 250 ล้านปีเอาไว้ ดูเหมือนว่าความหวังของ Pietrobon เองจะได้ผล เพราะทวีปทั้งหลายกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ในแบบมหาทวีปแพนเจีย



พันเจียพรอกซิมา (Pangaea Proxima) มหาทวีปใหม่


ทวีปต่างๆ เคลื่อนที่ตลอดเวลา กล่าวคือแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่เข้าชนกันและแยกออกจากกัน ก่อให้เกิดเปลือกโลกใหม่ ขณะที่เปลือกโลกเก่าถูกดึงลงไปใต้ผิว กระบวนการนี้ทำให้มหาสมุทรหดตัวและขยายตัว ดันเทือกเขาให้ยกตัวขึ้นและจัดเรียงมวลแผ่นดินใหม่อีกครั้ง

ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน มหาสมุทรแอตแลนติกขยายตัวกว้างขึ้นราวๆ ปีละ 2.5 เซนติเมตร หมายความว่าโลกจะใช้เวลาอีกราวๆ 250 ล้านปีในการทำให้ทวีปทั้งหมดกลับมารวมกัน  ดังนั้นในอีกราว 250 ล้านปี พันเจียพรอกซิมา (Pangaea Proxima) มหาทวีปใหม่จะก่อตัวขึ้น
 
ในอนาคต จะมีเพียงร่องรอยของมหาสมุทรแอตแลนติกที่ยังคงอยู่ เมื่อมวลแผ่นดินต่อติดเข้าด้วยกันเป็นมหาทวีปใหม่ เทือกเขาสูงแห่งใหม่ๆ บ่งบอกถึงตำแหน่งของการชนกันครั้งใหญ่ (Cr.https://ngthai.com/history/11314/pangaea-proxima/)

อย่างไรก็ตามเรื่องที่ว่ามหาทวีปในอนาคตจะมีรูปร่างหน้าตาออกมาแบบไหนนั้น ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในหมู่นักวิทยาศาสตร์ และนักธรณีวิทยา โดยมีแนวคิดที่ได้รับความนิยม 4 รูปแบบใหญ่ๆ ดังนี้
 

(Cr.ภาพ brightside)
แบบที่ 1 มหาทวีป “Novopangea”
เป็นมหาทวีปที่คาดกันว่าจะเกิดขึ้นในกรณีที่อัตราการขยายตัวของมหาสมุทรแอตแลนติกจะคงที่ต่อไปเช่นในปัจจุบัน  มหาทวีปนี้จะมีลักษณะเด่นที่ทวีปทั้งหมดจะจับตัวอยู่เป็นก้อนกลางมหาสมุทรโดยมีทวีปอเมริกาอยู่ทางตะวันออกแทนที่จะเป็นตะวันตก

แบบที่ 2 มหาทวีป “Pangea Ultima”
เป็นรูปร่างของมหาทวีปที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่ มหาสมุทรแอตแลนติกหยุดขยายตัว และกลับกลายเป็นฝ่ายที่หดตัวเสียเอง โดยมหาทวีปนี้จะมีลักษณะเด่นที่ทวีปทั้งหมดจะจับตัวกันคล้ายวงแหวนที่มีทะเลอยู่ตรงกลาง

แบบที่ 3 มหาทวีป “Aurica”
เป็นรูปร่างของมหาทวีปที่อาจจะเกิดขึ้นในกรณีที่มหาสมุทรแอตแลนติกมีลักษณะการขยายตัวที่เปลี่ยนไปจนทำให้ทั้ง มหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิกหายไปทั้งคู่ และเกิดเป็นมหาสมุทรใหม่ขึ้นมาแทน  ในกรณีนี้มหาทวีปใหม่จะมีลักษณะเด่นที่ทวีปยุโรปรวมกับแอฟริกา ก่อนที่จะเคลื่อนที่มารวมกับ ทวีปเอเชียที่รวมกับโอเชียเนีย และอเมริกาอีกที

แบบที่ 4 มหาทวีป “Amasia”
เป็นแนวคิดเกี่ยวกับมหาทวีปที่แตกต่างไปจากแนวคิดอื่นๆ มาก เพราะนี่เป็นแนวคิดที่มาจากความเป็นไปได้ที่ว่าความผิดปกติจากที่ทวีปแพนเจียแยกตัวในอดีตจะทำให้ทวีปของโลกเคลื่อนที่ไปทางเหนือ  ทำให้ในอนาคตมีแนวโน้มที่ว่าทวีบทั้งหมดนอกจากแอนตาร์กติกา จะไปกองกันอยู่ที่ด้านบนของเส้นสูตรศูนย์

แม้ว่าการที่ทวีปกลับมารวมกันจะดูเป็นเรื่องใหญ่ที่ส่งผลกระทบกับสภาวะอากาศโลกมากก็ตาม แต่เป็นเรื่องที่ไกลตัวมนุษย์ในปัจจุบันมาก เพราะแม้แต่นักวิทยาศาสตร์หลายคนที่บอกว่า กว่าที่ทวีปจะกลับมารวมกันอีกครั้งมนุษย์ในปัจจุบันก็อาจจะสูญพันธุ์ไปแล้ว 
ที่มา allthatsinteresting, sciencealert




Cr.http://www.mitrearth.org/3-1-continental-drift/ โดย  สันติ ภัยหลบลี้
 

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่