watthakhanun - พระนันทะเถระบวชเพราะอยากได้นางฟ้าเป็นชายา ถาม : ......................... ตอบ : หลวงพ่อท่านย้ำอยู่เสมอว่า จรณะ ๑๕ ถ้าใครทำจะเข้าถึงมรรคผลได้เร็ว แค่อินทรียสังวรตัวเดียวนี่ พระนันทะเถระเป็นเอตทัคคะคือผู้เลิศกว่าภิกษุอื่น พระนันทะเถระท่านเป็นน้องชายพระพุทธเจ้า น้องคนละแม่ พระนันทะเถระกำลังจะแต่งงานพระพุทธเจ้าเสด็จไปบิณฑบาต สมัยก่อนนั้นพอบิณฑบาตท่านจะส่งบาตรให้ พอรับบาตรไปใส่อาหารเสร็จก็จะเอามาประเคนคืน แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่รับหรอก ท่านกลับหลังหันได้ก็เดินไปเลย พระนันทะเถระก็ถือบาตรตามไปเรื่อย ตามไปจนกระทั่งถึงเชตวันมหาวิหาร พระพุทธเจ้า
ถาม "นันทะ..เธอจะบวชไหม ?"
เกรงใจพระพุทธเจ้าก็... "บวชพระเจ้าข้า.." ๗ วันที่บวชอยู่ไม่ได้มีความสุขเลย โอ้..คนกำลังจะเข้าเรือนหอ ถูกลากไปบวช ...(หัวเราะ)... เป็นเราก็กลุ้ม..ใช่ไหม ? คราวนี้พระพุทธเจ้าท่านรู้อยู่ จึงตรัสเรียกพระนันทะไปด้วยกัน ไปก็ชี้ให้ดูลิงตัวเมียแก่ ๆ ตัวหนึ่ง หางก็ด้วน หูก็แหว่ง ขนก็หลุด นั่งอยู่บนตอไม้ที่ไฟไหม้ ตรัสว่า... "นันทะ..ภรรยาในอนาคตของเธอ งามกว่าลิงแก่ตัวนี้หรือว่าลิงแก่ตัวนี้งามกว่า ?" พระนันทะเถระบอกว่า "นางชนบทกัลยาณี งามกว่าจนเปรียบไม่ถูกพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดี..เดี๋ยวจะพาไปดูอะไรบางอย่าง" จับมือพระนันทะได้ก็พรึบขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไปเลย ไปถึงเทวดานางฟ้าก็มากันเพียบ พระพุทธเจ้าก็ชี้ให้พระนันทะดู ตรัสว่า "เธอเห็นเหล่านางสวรรค์เหล่านี้ เมื่อเปรียบกับชนบทกัลยาณีแล้วเป็นอย่างไร ?" พระนันทะบอกว่า "นางชนบทกัลยาณีเมื่อเปรียบเทียบกับนางฟ้าเหล่านี้ ก็เหมือนลิงแก่หางด้วนขนหลุดตัวนั้นพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "ถ้าหากว่าเธออยู่ปฏิบัติต่อไป แล้วตถาคตรับปากว่า จะให้นางฟ้าเหล่านี้แก่เธอ ๆ จะรับไหม ?
" พระนันทะก็ตกลง พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนกรรมฐานให้ กลายเป็นพระอรหันต์ไป ตกลงพระนันทะบวชเพราะอยากได้เมียเป็นนางฟ้า พอท่านบรรลุมรรคผลแล้ว ท่านก็รู้ว่า ที่แล้ว ๆ มาท่านเห็นโทษของการไม่สำรวมอินทรีย์ คำว่าอินทรีย์ คือการเป็นใหญ่ คือตาเป็นใหญ่ในการเห็น หูเป็นใหญ่ในการได้ยิน จมูกเป็นใหญ่ในการได้กลิ่น ลิ้นเป็นใหญ่ในการได้รส กายเป็นใหญ่ในการสัมผัส แล้วก็ใจเป็นใหญ่ในการรับอารมณ์ทั้งมวล การไม่สำรวมอินทรีย์ทำให้สิ่งต่าง ๆ เข้ามาทางตา กระทบตา ชอบใจ ถูกใจ ..เสร็จแล้ว.. โดนกิเลสตีบ้านตีเมืองยึดไปเรียบร้อยแล้ว กระทบหูได้ยินแล้วชอบใจหรือไม่ชอบใจ ก็เสร็จแล้ว โดนยึดบ้านยึดเมืองไปเรียบร้อย ดังนั้น..พอท่านเห็นโทษในตรงจุดนี้ ก่อนหน้านี้ท่านเป็นเจ้าชาย เรื่องรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่าง ๆ ที่กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ท่านได้รับเป็นปกติ
เมื่อเป็นพระอรหันต์ ท่านก็เลยระมัดระวังเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จนกระทั่งพระพุทธเจ้าตั้งไว้เป็นเอตทัคคะ คือเป็นเลิศกว่าผู้อื่นในทางสำรวมอินทรีย์ รู้จักระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้คำว่า เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ได้รสก็สักแต่ว่าได้รส สัมผัสก็สักแต่ว่าได้สัมผัส ให้อยู่แค่นั้น อย่าไปคิดต่อ ตัวคิดต่อภาษาพระเขาเรียกว่าสังขาร คือการปรุงแต่ง คิดเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น พอเริ่มคิดก็จะเป็นไปใน ๒ อารมณ์ คือ อิฏฐารมณ์ ชอบใจ อนิฏฐารมณ์ ไม่ชอบใจ ซึ่งพาให้ทุกข์ทั้งคู่ ชอบใจต้องตะเกียกตะกายไปหามา ลำบากไหม ? เวลาไม่ชอบใจก็ต้องขวนขวายหนีให้ห่าง ลำบากทั้งคู่ ทุกข์ทั้งคู่ ดังนั้น
..ท่านถึงว่า รู้สักแต่ว่าให้รู้ พอเราหยุดลงได้ทัน กิเลสเข้าไปในใจของเราไม่ได้ เราก็ปลอดภัย เมื่อเราปลอดภัย จิตใจของเราผ่องใสสะอาด กิเลสกินเราไม่ได้ ถ้าจิตสะอาดถึงที่สุดจะไปไหน ? ก็ไปพระนิพพาน ฟังดูแล้วไม่น่ายาก..ใช่ไหม ? เอาไหม..? เดี๋ยวน้องป๊อบจะกลายเป็นลิงแก่ ๆ ขนหลุดหูแหว่งตัวนั้น เสร็จแล้วเราก็ไปหานางฟ้าแทน พระพุทธเจ้าไม่ได้โกหก เพราะถ้าหากท่านทำได้แค่ขั้นแรก ๆ เท่านั้น กำลังใจทรงตัวนี่ได้แน่ ๆ อย่างน้อยนางฟ้า ๕๐๐ เป็นบริวารอยู่แล้ว ไม่ได้โกหก ให้จริง ๆ ให้เยอะด้วย แต่บังเอิญว่าท่านเก่ง ท่านทำเลยขึ้นไป กลายเป็นพระอรหันต์ไป เลยไม่ได้สักคน ...(หัวเราะ)... สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ เดือนกันยายน ๒๕๔๔ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ | Facebook
พระนันทะเถระบวชเพราะอยากได้นางฟ้าเป็นชายา
ถาม : .........................
ตอบ : หลวงพ่อท่านย้ำอยู่เสมอว่า จรณะ ๑๕ ถ้าใครทำจะเข้าถึงมรรคผลได้เร็ว แค่อินทรียสังวรตัวเดียวนี่ พระนันทะเถระเป็นเอตทัคคะคือผู้เลิศกว่าภิกษุอื่น พระนันทะเถระท่านเป็นน้องชายพระพุทธเจ้า น้องคนละแม่
พระนันทะเถระกำลังจะแต่งงานพระพุทธเจ้าเสด็จไปบิณฑบาต สมัยก่อนนั้นพอบิณฑบาตท่านจะส่งบาตรให้ พอรับบาตรไปใส่อาหารเสร็จก็จะเอามาประเคนคืน แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่รับหรอก ท่านกลับหลังหันได้ก็เดินไปเลย พระนันทะเถระก็ถือบาตรตามไปเรื่อย ตามไปจนกระทั่งถึงเชตวันมหาวิหาร
พระพุทธเจ้าถาม "นันทะ..เธอจะบวชไหม ?"
เกรงใจพระพุทธเจ้าก็... "บวชพระเจ้าข้า.."
๗ วันที่บวชอยู่ไม่ได้มีความสุขเลย โอ้..คนกำลังจะเข้าเรือนหอ ถูกลากไปบวช ...(หัวเราะ)... เป็นเราก็กลุ้ม..ใช่ไหม ? คราวนี้พระพุทธเจ้าท่านรู้อยู่ จึงตรัสเรียกพระนันทะไปด้วยกัน ไปก็ชี้ให้ดูลิงตัวเมียแก่ ๆ ตัวหนึ่ง หางก็ด้วน หูก็แหว่ง ขนก็หลุด นั่งอยู่บนตอไม้ที่ไฟไหม้
ตรัสว่า... "นันทะ..ภรรยาในอนาคตของเธอ งามกว่าลิงแก่ตัวนี้หรือว่าลิงแก่ตัวนี้งามกว่า ?"
พระนันทะเถระบอกว่า "นางชนบทกัลยาณี งามกว่าจนเปรียบไม่ถูกพระเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดี..เดี๋ยวจะพาไปดูอะไรบางอย่าง" จับมือพระนันทะได้ก็พรึบขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไปเลย ไปถึงเทวดานางฟ้าก็มากันเพียบ พระพุทธเจ้าก็ชี้ให้พระนันทะดู ตรัสว่า
"เธอเห็นเหล่านางสวรรค์เหล่านี้ เมื่อเปรียบกับชนบทกัลยาณีแล้วเป็นอย่างไร ?"
พระนันทะบอกว่า "นางชนบทกัลยาณีเมื่อเปรียบเทียบกับนางฟ้าเหล่านี้ ก็เหมือนลิงแก่หางด้วนขนหลุดตัวนั้นพระเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "ถ้าหากว่าเธออยู่ปฏิบัติต่อไป แล้วตถาคตรับปากว่า จะให้นางฟ้าเหล่านี้แก่เธอ ๆ จะรับไหม ? "
พระนันทะก็ตกลง
พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนกรรมฐานให้ กลายเป็นพระอรหันต์ไป ตกลงพระนันทะบวชเพราะอยากได้เมียเป็นนางฟ้า
พอท่านบรรลุมรรคผลแล้ว ท่านก็รู้ว่า ที่แล้ว ๆ มาท่านเห็นโทษของการไม่สำรวมอินทรีย์ คำว่าอินทรีย์ คือการเป็นใหญ่ คือตาเป็นใหญ่ในการเห็น หูเป็นใหญ่ในการได้ยิน จมูกเป็นใหญ่ในการได้กลิ่น ลิ้นเป็นใหญ่ในการได้รส กายเป็นใหญ่ในการสัมผัส แล้วก็ใจเป็นใหญ่ในการรับอารมณ์ทั้งมวล
การไม่สำรวมอินทรีย์ทำให้สิ่งต่าง ๆ เข้ามาทางตา กระทบตา ชอบใจ ถูกใจ ..เสร็จแล้ว.. โดนกิเลสตีบ้านตีเมืองยึดไปเรียบร้อยแล้ว กระทบหูได้ยินแล้วชอบใจหรือไม่ชอบใจ ก็เสร็จแล้ว โดนยึดบ้านยึดเมืองไปเรียบร้อย ดังนั้น..พอท่านเห็นโทษในตรงจุดนี้ ก่อนหน้านี้ท่านเป็นเจ้าชาย เรื่องรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่าง ๆ ที่กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ท่านได้รับเป็นปกติ
เมื่อเป็นพระอรหันต์ ท่านก็เลยระมัดระวังเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จนกระทั่งพระพุทธเจ้าตั้งไว้เป็นเอตทัคคะ คือเป็นเลิศกว่าผู้อื่นในทางสำรวมอินทรีย์ รู้จักระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา
ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้คำว่า เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ได้รสก็สักแต่ว่าได้รส สัมผัสก็สักแต่ว่าได้สัมผัส ให้อยู่แค่นั้น อย่าไปคิดต่อ ตัวคิดต่อภาษาพระเขาเรียกว่าสังขาร คือการปรุงแต่ง คิดเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น
พอเริ่มคิดก็จะเป็นไปใน ๒ อารมณ์ คือ อิฏฐารมณ์ ชอบใจ อนิฏฐารมณ์ ไม่ชอบใจ ซึ่งพาให้ทุกข์ทั้งคู่ ชอบใจต้องตะเกียกตะกายไปหามา ลำบากไหม ? เวลาไม่ชอบใจก็ต้องขวนขวายหนีให้ห่าง ลำบากทั้งคู่ ทุกข์ทั้งคู่
ดังนั้น..ท่านถึงว่า รู้สักแต่ว่าให้รู้ พอเราหยุดลงได้ทัน กิเลสเข้าไปในใจของเราไม่ได้ เราก็ปลอดภัย เมื่อเราปลอดภัย จิตใจของเราผ่องใสสะอาด กิเลสกินเราไม่ได้ ถ้าจิตสะอาดถึงที่สุดจะไปไหน ? ก็ไปพระนิพพาน ฟังดูแล้วไม่น่ายาก..ใช่ไหม ? เอาไหม..? เดี๋ยวน้องป๊อบจะกลายเป็นลิงแก่ ๆ ขนหลุดหูแหว่งตัวนั้น เสร็จแล้วเราก็ไปหานางฟ้าแทน
พระพุทธเจ้าไม่ได้โกหก เพราะถ้าหากท่านทำได้แค่ขั้นแรก ๆ เท่านั้น กำลังใจทรงตัวนี่ได้แน่ ๆ อย่างน้อยนางฟ้า ๕๐๐ เป็นบริวารอยู่แล้ว ไม่ได้โกหก ให้จริง ๆ ให้เยอะด้วย แต่บังเอิญว่าท่านเก่ง ท่านทำเลยขึ้นไป กลายเป็นพระอรหันต์ไป เลยไม่ได้สักคน ...(หัวเราะ)...
สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกันยายน ๒๕๔๔ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
https://m.facebook.com/watthakhanun/photos/a.229872150396807/1363245747059436/?type=3#_=_
บวชพระแล้วจะได้นางฟ้าเป็นเมีย ทำไมถึงไม่อยากบวชกัน
ถาม "นันทะ..เธอจะบวชไหม ?"
เกรงใจพระพุทธเจ้าก็... "บวชพระเจ้าข้า.." ๗ วันที่บวชอยู่ไม่ได้มีความสุขเลย โอ้..คนกำลังจะเข้าเรือนหอ ถูกลากไปบวช ...(หัวเราะ)... เป็นเราก็กลุ้ม..ใช่ไหม ? คราวนี้พระพุทธเจ้าท่านรู้อยู่ จึงตรัสเรียกพระนันทะไปด้วยกัน ไปก็ชี้ให้ดูลิงตัวเมียแก่ ๆ ตัวหนึ่ง หางก็ด้วน หูก็แหว่ง ขนก็หลุด นั่งอยู่บนตอไม้ที่ไฟไหม้ ตรัสว่า... "นันทะ..ภรรยาในอนาคตของเธอ งามกว่าลิงแก่ตัวนี้หรือว่าลิงแก่ตัวนี้งามกว่า ?" พระนันทะเถระบอกว่า "นางชนบทกัลยาณี งามกว่าจนเปรียบไม่ถูกพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดี..เดี๋ยวจะพาไปดูอะไรบางอย่าง" จับมือพระนันทะได้ก็พรึบขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไปเลย ไปถึงเทวดานางฟ้าก็มากันเพียบ พระพุทธเจ้าก็ชี้ให้พระนันทะดู ตรัสว่า "เธอเห็นเหล่านางสวรรค์เหล่านี้ เมื่อเปรียบกับชนบทกัลยาณีแล้วเป็นอย่างไร ?" พระนันทะบอกว่า "นางชนบทกัลยาณีเมื่อเปรียบเทียบกับนางฟ้าเหล่านี้ ก็เหมือนลิงแก่หางด้วนขนหลุดตัวนั้นพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "ถ้าหากว่าเธออยู่ปฏิบัติต่อไป แล้วตถาคตรับปากว่า จะให้นางฟ้าเหล่านี้แก่เธอ ๆ จะรับไหม ?
" พระนันทะก็ตกลง พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนกรรมฐานให้ กลายเป็นพระอรหันต์ไป ตกลงพระนันทะบวชเพราะอยากได้เมียเป็นนางฟ้า พอท่านบรรลุมรรคผลแล้ว ท่านก็รู้ว่า ที่แล้ว ๆ มาท่านเห็นโทษของการไม่สำรวมอินทรีย์ คำว่าอินทรีย์ คือการเป็นใหญ่ คือตาเป็นใหญ่ในการเห็น หูเป็นใหญ่ในการได้ยิน จมูกเป็นใหญ่ในการได้กลิ่น ลิ้นเป็นใหญ่ในการได้รส กายเป็นใหญ่ในการสัมผัส แล้วก็ใจเป็นใหญ่ในการรับอารมณ์ทั้งมวล การไม่สำรวมอินทรีย์ทำให้สิ่งต่าง ๆ เข้ามาทางตา กระทบตา ชอบใจ ถูกใจ ..เสร็จแล้ว.. โดนกิเลสตีบ้านตีเมืองยึดไปเรียบร้อยแล้ว กระทบหูได้ยินแล้วชอบใจหรือไม่ชอบใจ ก็เสร็จแล้ว โดนยึดบ้านยึดเมืองไปเรียบร้อย ดังนั้น..พอท่านเห็นโทษในตรงจุดนี้ ก่อนหน้านี้ท่านเป็นเจ้าชาย เรื่องรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่าง ๆ ที่กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ท่านได้รับเป็นปกติ
เมื่อเป็นพระอรหันต์ ท่านก็เลยระมัดระวังเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จนกระทั่งพระพุทธเจ้าตั้งไว้เป็นเอตทัคคะ คือเป็นเลิศกว่าผู้อื่นในทางสำรวมอินทรีย์ รู้จักระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้คำว่า เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ได้รสก็สักแต่ว่าได้รส สัมผัสก็สักแต่ว่าได้สัมผัส ให้อยู่แค่นั้น อย่าไปคิดต่อ ตัวคิดต่อภาษาพระเขาเรียกว่าสังขาร คือการปรุงแต่ง คิดเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น พอเริ่มคิดก็จะเป็นไปใน ๒ อารมณ์ คือ อิฏฐารมณ์ ชอบใจ อนิฏฐารมณ์ ไม่ชอบใจ ซึ่งพาให้ทุกข์ทั้งคู่ ชอบใจต้องตะเกียกตะกายไปหามา ลำบากไหม ? เวลาไม่ชอบใจก็ต้องขวนขวายหนีให้ห่าง ลำบากทั้งคู่ ทุกข์ทั้งคู่ ดังนั้น
..ท่านถึงว่า รู้สักแต่ว่าให้รู้ พอเราหยุดลงได้ทัน กิเลสเข้าไปในใจของเราไม่ได้ เราก็ปลอดภัย เมื่อเราปลอดภัย จิตใจของเราผ่องใสสะอาด กิเลสกินเราไม่ได้ ถ้าจิตสะอาดถึงที่สุดจะไปไหน ? ก็ไปพระนิพพาน ฟังดูแล้วไม่น่ายาก..ใช่ไหม ? เอาไหม..? เดี๋ยวน้องป๊อบจะกลายเป็นลิงแก่ ๆ ขนหลุดหูแหว่งตัวนั้น เสร็จแล้วเราก็ไปหานางฟ้าแทน พระพุทธเจ้าไม่ได้โกหก เพราะถ้าหากท่านทำได้แค่ขั้นแรก ๆ เท่านั้น กำลังใจทรงตัวนี่ได้แน่ ๆ อย่างน้อยนางฟ้า ๕๐๐ เป็นบริวารอยู่แล้ว ไม่ได้โกหก ให้จริง ๆ ให้เยอะด้วย แต่บังเอิญว่าท่านเก่ง ท่านทำเลยขึ้นไป กลายเป็นพระอรหันต์ไป เลยไม่ได้สักคน ...(หัวเราะ)... สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ เดือนกันยายน ๒๕๔๔ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ | Facebook
พระนันทะเถระบวชเพราะอยากได้นางฟ้าเป็นชายา
ถาม : .........................
ตอบ : หลวงพ่อท่านย้ำอยู่เสมอว่า จรณะ ๑๕ ถ้าใครทำจะเข้าถึงมรรคผลได้เร็ว แค่อินทรียสังวรตัวเดียวนี่ พระนันทะเถระเป็นเอตทัคคะคือผู้เลิศกว่าภิกษุอื่น พระนันทะเถระท่านเป็นน้องชายพระพุทธเจ้า น้องคนละแม่
พระนันทะเถระกำลังจะแต่งงานพระพุทธเจ้าเสด็จไปบิณฑบาต สมัยก่อนนั้นพอบิณฑบาตท่านจะส่งบาตรให้ พอรับบาตรไปใส่อาหารเสร็จก็จะเอามาประเคนคืน แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่รับหรอก ท่านกลับหลังหันได้ก็เดินไปเลย พระนันทะเถระก็ถือบาตรตามไปเรื่อย ตามไปจนกระทั่งถึงเชตวันมหาวิหาร
พระพุทธเจ้าถาม "นันทะ..เธอจะบวชไหม ?"
เกรงใจพระพุทธเจ้าก็... "บวชพระเจ้าข้า.."
๗ วันที่บวชอยู่ไม่ได้มีความสุขเลย โอ้..คนกำลังจะเข้าเรือนหอ ถูกลากไปบวช ...(หัวเราะ)... เป็นเราก็กลุ้ม..ใช่ไหม ? คราวนี้พระพุทธเจ้าท่านรู้อยู่ จึงตรัสเรียกพระนันทะไปด้วยกัน ไปก็ชี้ให้ดูลิงตัวเมียแก่ ๆ ตัวหนึ่ง หางก็ด้วน หูก็แหว่ง ขนก็หลุด นั่งอยู่บนตอไม้ที่ไฟไหม้
ตรัสว่า... "นันทะ..ภรรยาในอนาคตของเธอ งามกว่าลิงแก่ตัวนี้หรือว่าลิงแก่ตัวนี้งามกว่า ?"
พระนันทะเถระบอกว่า "นางชนบทกัลยาณี งามกว่าจนเปรียบไม่ถูกพระเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดี..เดี๋ยวจะพาไปดูอะไรบางอย่าง" จับมือพระนันทะได้ก็พรึบขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไปเลย ไปถึงเทวดานางฟ้าก็มากันเพียบ พระพุทธเจ้าก็ชี้ให้พระนันทะดู ตรัสว่า
"เธอเห็นเหล่านางสวรรค์เหล่านี้ เมื่อเปรียบกับชนบทกัลยาณีแล้วเป็นอย่างไร ?"
พระนันทะบอกว่า "นางชนบทกัลยาณีเมื่อเปรียบเทียบกับนางฟ้าเหล่านี้ ก็เหมือนลิงแก่หางด้วนขนหลุดตัวนั้นพระเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "ถ้าหากว่าเธออยู่ปฏิบัติต่อไป แล้วตถาคตรับปากว่า จะให้นางฟ้าเหล่านี้แก่เธอ ๆ จะรับไหม ? "
พระนันทะก็ตกลง
พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนกรรมฐานให้ กลายเป็นพระอรหันต์ไป ตกลงพระนันทะบวชเพราะอยากได้เมียเป็นนางฟ้า
พอท่านบรรลุมรรคผลแล้ว ท่านก็รู้ว่า ที่แล้ว ๆ มาท่านเห็นโทษของการไม่สำรวมอินทรีย์ คำว่าอินทรีย์ คือการเป็นใหญ่ คือตาเป็นใหญ่ในการเห็น หูเป็นใหญ่ในการได้ยิน จมูกเป็นใหญ่ในการได้กลิ่น ลิ้นเป็นใหญ่ในการได้รส กายเป็นใหญ่ในการสัมผัส แล้วก็ใจเป็นใหญ่ในการรับอารมณ์ทั้งมวล
การไม่สำรวมอินทรีย์ทำให้สิ่งต่าง ๆ เข้ามาทางตา กระทบตา ชอบใจ ถูกใจ ..เสร็จแล้ว.. โดนกิเลสตีบ้านตีเมืองยึดไปเรียบร้อยแล้ว กระทบหูได้ยินแล้วชอบใจหรือไม่ชอบใจ ก็เสร็จแล้ว โดนยึดบ้านยึดเมืองไปเรียบร้อย ดังนั้น..พอท่านเห็นโทษในตรงจุดนี้ ก่อนหน้านี้ท่านเป็นเจ้าชาย เรื่องรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่าง ๆ ที่กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ท่านได้รับเป็นปกติ
เมื่อเป็นพระอรหันต์ ท่านก็เลยระมัดระวังเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จนกระทั่งพระพุทธเจ้าตั้งไว้เป็นเอตทัคคะ คือเป็นเลิศกว่าผู้อื่นในทางสำรวมอินทรีย์ รู้จักระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา
ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้คำว่า เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ได้รสก็สักแต่ว่าได้รส สัมผัสก็สักแต่ว่าได้สัมผัส ให้อยู่แค่นั้น อย่าไปคิดต่อ ตัวคิดต่อภาษาพระเขาเรียกว่าสังขาร คือการปรุงแต่ง คิดเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น
พอเริ่มคิดก็จะเป็นไปใน ๒ อารมณ์ คือ อิฏฐารมณ์ ชอบใจ อนิฏฐารมณ์ ไม่ชอบใจ ซึ่งพาให้ทุกข์ทั้งคู่ ชอบใจต้องตะเกียกตะกายไปหามา ลำบากไหม ? เวลาไม่ชอบใจก็ต้องขวนขวายหนีให้ห่าง ลำบากทั้งคู่ ทุกข์ทั้งคู่
ดังนั้น..ท่านถึงว่า รู้สักแต่ว่าให้รู้ พอเราหยุดลงได้ทัน กิเลสเข้าไปในใจของเราไม่ได้ เราก็ปลอดภัย เมื่อเราปลอดภัย จิตใจของเราผ่องใสสะอาด กิเลสกินเราไม่ได้ ถ้าจิตสะอาดถึงที่สุดจะไปไหน ? ก็ไปพระนิพพาน ฟังดูแล้วไม่น่ายาก..ใช่ไหม ? เอาไหม..? เดี๋ยวน้องป๊อบจะกลายเป็นลิงแก่ ๆ ขนหลุดหูแหว่งตัวนั้น เสร็จแล้วเราก็ไปหานางฟ้าแทน
พระพุทธเจ้าไม่ได้โกหก เพราะถ้าหากท่านทำได้แค่ขั้นแรก ๆ เท่านั้น กำลังใจทรงตัวนี่ได้แน่ ๆ อย่างน้อยนางฟ้า ๕๐๐ เป็นบริวารอยู่แล้ว ไม่ได้โกหก ให้จริง ๆ ให้เยอะด้วย แต่บังเอิญว่าท่านเก่ง ท่านทำเลยขึ้นไป กลายเป็นพระอรหันต์ไป เลยไม่ได้สักคน ...(หัวเราะ)...
สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกันยายน ๒๕๔๔ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
https://m.facebook.com/watthakhanun/photos/a.229872150396807/1363245747059436/?type=3#_=_