ยามว่าง (เรื่องสั้นจากกิจกรรมถุงมือฯ)

กระทู้สนทนา
ยามว่าง

เสียงเบรครถจักรยานดังเอี๊ยดแสบแก้วหูดังลากมาแต่ไกล ก่อนจะมาหยุดลงตรงด้านข้างป้อมยามประจำหมู่บ้านพอดิบพอดี ตามมาด้วยเสียงกุกกักก๊อกแก๊กอีกอึดใจหนึ่ง จึงเห็นยามหน้าใหม่แกะกล่องที่เพิ่งมาทำงานเป็นวันแรกเดินเข้ามาในตัวป้อม

“เป็นอย่างไรบ้าง เรียบร้อยดีไหม” ยามอาวุโสที่กำลังนั่งอยู่เป็นฝ่ายร้องทักก่อน

“เรียบร้อยดีครับลุง เงียบสงัดอย่างกับหมู่บ้านร้างเลย” ยามรุ่นน้องตอบ

“ตีสองแบบนี้แล้ว ก็ต้องเงียบสิวะ ถ้าไม่เงียบนี่สิ เอ็งกับข้าเตรียมตัวเดือดร้อนได้เลย” ผู้อาวุโสพูดไปหัวเราะไปอย่างนึกขบขัน

“นั่นสินะครับ” ทำเอารุ่นน้องหัวเราะตามไปด้วย เพราะเห็นจริงตามนั้น เขาถอดหมวกวางไว้บนโต๊ะ และทิ้งตัวลงนั่งใกล้ๆ กับรุ่นพี่

ชายสูงวัยหยิบกระติกพลาสติกขนาดย่อมประจำตัวขึ้นมาจากพื้น เปิดฝาและส่งให้ “เอ้า จิบเสียหน่อย ดึกๆ อย่างนี้มันก็ต้องโอเลี้ยงเข้มๆ จะได้ตาค้าง อยู่ยาวๆ ยันสว่าง ระวังนะ จิบเบาๆ มันแรง”

ยามใหม่รับกระติกไว้ มองดูน้ำสีดำข้างใน ก่อนจะประทับริมฝีปากกับหลอดพลาสติก และดูดขึ้นมาอึกหนึ่ง รสขมในปากทำเอาถึงกับหน้าเหยเก แต่ก็พอช่วยให้ประสาทตื่นตัว กระชุ่มกระชวยขึ้นได้จริงจากความเย็นชื่นใจ

“ขอบคุณครับ ลุง” เรียบร้อยแล้วก็ส่งคืนเจ้าของ

“ยามใหม่สินะเรา เพิ่งทำวันแรก ที่แรกหรือเปล่า” ผู้อาวุโสถาม ดูดโอเลี้ยงอึกใหญ่อย่างผู้ชำนาญการ แสดงสีหน้าซาบซ่าเคลิบเคลิ้มราวได้ซดเหล้าขาว

“ครับ” ผู้ถูกถามตอบเพียงสั้นๆ

“เออ ดีๆ มาช่วยกัน เพื่อความปลอดภัยของผู้คน นี่เอ็งรู้หรือเปล่า คนทั้งหมู่บ้านหลายร้อยคนที่นี่ จะนอนหลับสนิทหรือเปล่า ขึ้นอยู่กับพวกเราเชียวนะ” ยิ้มแฉ่งจนเห็นฟันไม่ครบซี่ พร้อมยืดอกอย่างภูมิใจ

“เยี่ยมไปเลยครับลุง เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในหมู่บ้าน เพราะอย่างนี้ลุงจึงตัดสินใจมาเป็นยามใช่ไหมครับ” ได้ฟังคำพูดปลุกใจแล้วก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาบ้าง หัวใจพองโตอย่างคนที่ได้รับสืบทอดอุดมการณ์อันแรงกล้าเลยทีเดียว

“ไม่ใช่อย่างนั้น ไอ้นั่นมันก็เรื่องหนึ่ง แต่ที่ข้ามาเป็นยาม เพราะเห็นว่ายามเป็นอาชีพที่สบาย จะทำอะไร กินอะไรตอนไหนก็ได้ เอ็งเคยเห็นอาชีพอื่นเขาทำได้แบบนี้ไหมล่ะ”

นึกตามคำพูดแล้วก็ส่ายหน้า เพราะไม่เห็นว่าจะมีอาชีพไหนที่รู้จัก สามารถนั่งเฉยๆ หรือกินอะไรในเวลางานได้จริงๆ เสียด้วย

ผู้อาวุโสสังเกตสีหน้าครุ่นคิดของผู้เยาว์แล้วก็ยิ้มออกมา

“ใช่ไหมล่ะ เวลาว่างออกจะมากมาย โดยเฉพาะกะดึกแบบนี้ โอ๊ย ยิ่งสบายเข้าไปใหญ่ จะเอาอะไรมานั่งทำเป็นอาชีพเสริม หารายได้ไปอีกทางก็ยังได้ เรียกว่าได้เงินสองต่อ ช่วยค่าครองชีพไปได้อีกเยอะเลยเชียวละ” ยามเฒ่าสาธยาย โดยใช้ความทรงจำ และประสบการณ์หลายสิบปีในอาชีพ

“ลุงครับ แล้วตอนว่างๆ ลุงเอาอะไรมาทำครับ ช่วยแนะนำอาชีพเสริมที่ว่าให้ผมหน่อยสิ ผมอยากมีรายได้มากๆ เหมือนกัน เผื่อจะเอาไว้ซื้อโทรศัพท์แพงๆ ทีวีเครื่องใหญ่ๆ แบบที่คนอื่นเข้าใช้กันบ้าง”

“ฮ่าๆๆ ข้าไม่เอาอะไรมาทำทั้งนั้นแหละ ถ้าเอามาทำมันก็ไม่ว่างสิวะ เสียดายเวลาว่างตายเลย ข้าอยู่เฉยๆ ให้สมกับที่เป็นเวลาว่างนี่ละ ดีที่สุด”

คุยอะไรสัพเพเหระไปเรื่อย ยามหนุ่มก็เหลือบไปเห็นว่าวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องเก่าซึ่งตั้งอยู่ที่มุมป้อมกำลังเปิดอยู่ นึกสงสัยว่าแล้วทำไมมันถึงไม่มีเสียงอะไรเล็ดรอดออกมาให้ได้ยินสักนิด หรือว่ามันจะเสีย

“ลุงเปิดวิทยุอยู่หรือเปล่าครับ” เลยถามออกไป

“เออ เปิดอยู่” ลุงยามตอบ

“ทำไมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยล่ะครับ เสียหรือเปล่า ออกกะตอนเช้าเดี๋ยวผมเอาไปให้ช่างเขาช่วยดูให้ไหม” ยามหนุ่มอาสาอย่างหวังดี อย่างน้อยมืดดึกดื่นอย่างนี้ มีอะไรฟังบ้างก็ช่วยแก้เหงาไปได้มากอยู่

“เสียเสออะไร ข้าปิดเสียงเอาไว้” พูดพลางโบกมือปฏิเสธ

“อ้าว แล้วลุงปิดเสียงทำไมครับ” ฟังคำตอบจากผู้อาวุโส ก็ยิ่งสงสัยขึ้นไปอีก

“ข้าฟังเพลงเบื่อแล้ว อยากฟังอะไรเงียบๆ บ้าง ก็เลยปิดเสียงน่ะ” ลุงยามอธิบายต่อ

“อ้าวๆ ฟังเพลงเบื่อแล้ว ทำไมไม่ปิดวิทยุล่ะครับ ปิดแค่เสียงทำไม”

“อุวะ ไอ้นี่ พูดแปลกๆ ถ้าปิดวิทยุ ก็ไม่ได้ฟังวิทยุสิโว้ย แล้วข้าจะแบกวิทยุมาทำไมให้เมื่อยล่ะ จริงไหม ข้าอยากฟังวิทยุ แต่อยากฟังเงียบๆ โว้ย ก็ต้องเปิดวิทยุแล้วปิดเสียงสิ เข้าใจหรือยัง” อธิบายเสียงดัง พร้อมตบเข่าฉาดใหญ่

“จ้ะ เข้าใจจ้ะ” ยิ้มหน้าเจื่อน เข้าใจทั้งที่ไม่เข้าใจสักนิด

ได้เวลาไปตรวจตรารอบหมู่บ้านอีกครั้ง ยามหนุ่มปั่นจักรยานคันเดิมไปทางด้านหน้าหมู่บ้านบ้าง สลับกับรอบที่แล้วที่ไปท้ายหมู่บ้านมาแล้ว ใช้เวลาไม่นานมากก็กลับมาถึงฐานที่มั่น

“เป็นอย่างไรบ้าง” ลุงยามยังนั่งอยู่ที่เดิม แต่เอนหลังพิงผนังป้อมอยู่ ดูตาเยิ้มๆ เหมือนเพิ่งพักสายตาไป

“เรียบร้อยดีครับลุง” ถอดหมวกและเดินกลับมานั่งที่เดิม “เออ ลุง ผมถามอะไรหน่อยสิครับ”

“ถามสิ ถามมาเลย ถ้าเป็นเรื่องของที่นี่ ข้าตอบได้หมดนั่นละ” เหมือนแกจะพยายามฝืนตาให้ลืมอยู่

“ผมเห็นที่ด้านหน้าหมู่บ้าน มีป้อมยามอีกป้อมหนึ่ง แต่เหมือนป้อมร้าง มีอะไรหรือเปล่าครับลุง”

ป้อมยามที่หนุ่มน้อยพูดถึง คือป้อมขนาดเท่าๆ กันกับป้อมยามหลังนี้ แต่ปลูกไว้อยู่ทางปากถนนเข้าตัวหมู่บ้าน ห่างจากตรงนี้ไปเกินห้าร้อยเมตร เป็นป้อมตั้งโดดเดี่ยว ท่ามกลางสภาพรกร้างรอบๆ หมู่บ้าน ไม่มีแสงไฟ ไม่มีใครใช้ สภาพทรุดโทรมน่ากลัวสำหรับคนขวัญอ่อนเป็นที่สุด

“อ๋อ นั่นเป็นป้อมยามเก่าน่ะ เมื่อก่อนลุงกับพรรคพวกหน้าเดิม ก็ทำงานกันที่ป้อมหลังนั้นแหละ”

“อ้าว แล้วทำไมถึงเลิกใช้ป้อมนั้นล่ะครับ”

“ก็หมู่บ้านนี้น่ะนะ มันไม่ค่อยมีคนเดินทางสัญจรผ่านไปมาสักเท่าไหร่ รอบหมู่บ้านมีแต่ป่าหญ้า ตกดึกก็น่าวังเวง น่ากลัวอย่างกับอะไรดี นอกจากแสงไฟตรงป้อมนั้นแล้ว รอบๆ ก็มืดไปหมด มองอะไรไกลๆ ไม่เห็นเลย” แกยันตัวขึ้นมานั่งตัวตรง

“แล้ว...”

“ยามอย่างพวกเราก็กลัวผีเป็น จริงไหม ตอนนั้นต่างคนก็เลยต่างหาเครื่องรางของขลังมาห้อยคอกัน ติดตัวไว้ให้อุ่นใจน่ะ เรียกได้ว่า พระที่ไหนดัง ของขลังที่ใครว่าดี กันผีได้ ก็หามาคล้องคอกันให้ควั่ก พอนานวันเข้าพระก็เริ่มเต็มคอ แถมราคาที่หามาอวดกันก็สูงขึ้นเรื่อยๆ เสียอย่างนั้น”

“แล้วลุงเจอผีไหมครับ” ยามหนุ่มตื่นเต้นตามคำบอกเล่า ยิ่งนึกถึงว่า ตนเองเพิ่งปั่นจักรยานไปป้อมผีสิงมาคนเดียว อารมณ์ร่วมก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่า

“ถ้าเจอผีจริง ก็คงไม่เท่าไหร่หรอก ไอ้หนุ่ม เรื่องของเรื่องก็คือ พอพวกข้าเอาพระดีๆ แพงๆ มาอวดมาคล้องคอกัน สุดท้ายพอตกดึก พวกข้าก็เลยถูกจี้เอาพระไปหมดเลยน่ะสิ คาป้อมยามด้านหน้าที่เอ็งเห็นนั่นละ ทั้งเปลี่ยวทั้งไกลจากหมู่บ้านจนไม่รู้จะเรียกให้ใครช่วยเลยเชียว เอ็งเอ๊ย พอยามโดนจี้เสียเองแบบนี้ ชาวหมู่บ้านก็เลยเห็นใจ สร้างป้อมใหม่ให้อยู่ใกล้ตัวหมู่บ้านเข้ามา แล้วก็เลยจ้างยามกะดึกเพิ่มเป็นสองคนนี่แหละ”

ยามเฒ่าเล่าอย่างดุเดือดออกรส แต่ยามหนุ่มกลับหมดอารมณ์ฟังเสียดื้อๆ

“พูดแล้วยังนึกกลัวไม่หายเลย ยามแก่ๆ อย่างพวกข้า อาวุธอะไรก็ไม่มี จะเอาอะไรไปสู้กับพวกโจรพวกขโมยมันล่ะ เอ็งว่าจริงไหม ฮ่าๆๆ”

จบ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่