ตั้งแต่เริ่มฟังมา ได้ยินอาจารย์พูดบ่อย ๆ ว่า การเจริญสติปัฏฐาน คือ การมีสติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ตามความเป็นจริงในปัจจุบัน ฉะนั้นต้องพยายามเข้าใจแต่ละอรรถ หรือถ้อยคำที่อาจารย์พูดให้ดี ถ้าแยกแยะถ้อยคำออกมา ก็อาจทำให้เข้าใจชัดขึ้น ซึ่งมีหลายข้อหลายตอน เช่น การเจริญสติฯ คือมีสติระลึกรู้ ระลึกรู้อะไร? ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ระลึกรู้อย่างไร? ระลึกรู้ตามที่ปรากฏ ปรากฏอย่างไร? ปรากฏตามที่เป็นจริง ปรากฏเมื่อไร? ปรากฏในปัจจุบัน ไม่ใช่ในอดีตหรือในอนาคต มุ่งเฉพาะที่ปรากฏในปัจจุบันเท่านั้น แค่นี้ก็หนักเอาการอยู่ ผมฟังแรก ๆ ก็ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองไม่ทราบความหมาย แต่ฟัง ๆ ไปแล้ว แยกออกมาเป็นตอน ๆ ก็จะเป็นการเริ่มต้นที่ดี
อาจารย์เคยเน้นบ่อยครั้งว่า ก่อนที่จะเจริญสตินั้น ต้องเข้าใจให้ทราบแน่เสียก่อนว่าเป็นอย่างไร ถ้าเข้าใจไม่ถูกแล้วจะไปกันใหญ่ คือ ถ้าเจริญเหตุไม่ถูกผลก็ไม่เกิด ผมขอเปรียบว่า เราจะไปเชียงใหม่ ถ้าไปขึ้นรถที่ขนส่งสายใต้ ก็ไปได้ แต่เมื่อไปถึงใต้แล้ว ต้องย้อนกลับขึ้นมาทางเหนืออีก เสียเวลามาก ถ้าไปขึ้นที่ตลาดหมอชิต ก็คงจะถึงเร็วกว่าเพราะเป็นทางตรงและเป็นทางที่ถูกต้อง
ก็ขอพูดเรื่องนี้เสียก่อน อาจารย์ว่า สติปัฏฐาน นั้น เป็นวิปัสสนาภาวนา (คืออบรมปัญญาให้รู้ชัดในสภาพธรรมที่ปรากฏ ตามความเป็นจริง) ไม่ใช่ สมาธิ ซึ่งเป็นการทำให้จิตตั้งมั่นในอารมณ์เดียว ให้พ้นจากการเห็น การได้ยิน ฯลฯ ชั่วคราว และก็ไม่ใช่ สมถภาวนา ซึ่งเป็นการเจริญความสงบให้จิตสงบระงับจากโลภะ โทสะ โมหะชั่วคราว นี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง เสียก่อน
เหตุที่ทำให้ผู้ปฏิบัติไม่ได้เจริญสติฯนั้น ก็เพราะเข้าใจผิดในเรื่องการเจริญสติ คิดว่าการเจริญสติฯ เป็นเรื่องของการปฏิบัติ ทำนองเดียวกับ สมาธิ หรือ สมถภาวนา ฉะนั้นต้องถามตัวเองว่า ความเข้าใจในเรื่องเจริญสติฯ ถูกต้องหรือยัง ถ้ายัง ก็เจริญสติ ในชีวิตประจำวันไม่ได้ เมื่อเข้าใจถูกต้อง แล้วก็เตรียมตัวเริ่มเข้าใจในคำจำกัดความ หรือนิยามศัพท์ที่กล่าวมาแล้วต่อไป
ผมขอย้อนกลับไปอีกนิด ผู้ที่ยังไม่เคยทำสมาธิหรือสมถภาวนามาก่อน ถ้าจะเจริญสติก็เสมือนผ้าขาว นำไปย้อมสีอะไร ก็จะได้สีที่ประสงค์ แต่ถ้าเคยทำสมาธิ หรือเคยปฏิบัติโดยไม่ใช่การเจริญสติปัฏฐาน ก็คงจะลำบากหน่อย เพราะต้องล้างของเก่าออก
การเจริญฯต้องไม่มีอะไรผิดปกติไม่ต้องทำตามกฎเกณฑ์ ไม่ต้องเข้าไปในที่สงบหรือทำกิริยาอะไรให้ผิดแผกออกไป ทำทุกอย่าง เป็นปกติ ในชีวิตประจำวัน สีฟันก็เจริญสติฯ ซักผ้าก็เจริญสติฯได้ ทำอะไรอยู่ก็เจริญสติฯได้ทั้งนั้น พยายามเข้าใจให้ถูกต้อง แล้วการเจริญสติฯก็คงจะง่ายเข้า
ต่อไปนี้ผมพยายามทำเป็นข้อ ๆ เพื่อสะดวกแก่การอ่าน
+++ ก่อนที่จะเจริญสตินั้น ต้องเข้าใจให้ทราบแน่เสียก่อนว่าเป็นอย่างไร ถ้าเข้าใจไม่ถูกแล้วจะไปกันใหญ่ +++
อาจารย์เคยเน้นบ่อยครั้งว่า ก่อนที่จะเจริญสตินั้น ต้องเข้าใจให้ทราบแน่เสียก่อนว่าเป็นอย่างไร ถ้าเข้าใจไม่ถูกแล้วจะไปกันใหญ่ คือ ถ้าเจริญเหตุไม่ถูกผลก็ไม่เกิด ผมขอเปรียบว่า เราจะไปเชียงใหม่ ถ้าไปขึ้นรถที่ขนส่งสายใต้ ก็ไปได้ แต่เมื่อไปถึงใต้แล้ว ต้องย้อนกลับขึ้นมาทางเหนืออีก เสียเวลามาก ถ้าไปขึ้นที่ตลาดหมอชิต ก็คงจะถึงเร็วกว่าเพราะเป็นทางตรงและเป็นทางที่ถูกต้อง
ก็ขอพูดเรื่องนี้เสียก่อน อาจารย์ว่า สติปัฏฐาน นั้น เป็นวิปัสสนาภาวนา (คืออบรมปัญญาให้รู้ชัดในสภาพธรรมที่ปรากฏ ตามความเป็นจริง) ไม่ใช่ สมาธิ ซึ่งเป็นการทำให้จิตตั้งมั่นในอารมณ์เดียว ให้พ้นจากการเห็น การได้ยิน ฯลฯ ชั่วคราว และก็ไม่ใช่ สมถภาวนา ซึ่งเป็นการเจริญความสงบให้จิตสงบระงับจากโลภะ โทสะ โมหะชั่วคราว นี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง เสียก่อน
เหตุที่ทำให้ผู้ปฏิบัติไม่ได้เจริญสติฯนั้น ก็เพราะเข้าใจผิดในเรื่องการเจริญสติ คิดว่าการเจริญสติฯ เป็นเรื่องของการปฏิบัติ ทำนองเดียวกับ สมาธิ หรือ สมถภาวนา ฉะนั้นต้องถามตัวเองว่า ความเข้าใจในเรื่องเจริญสติฯ ถูกต้องหรือยัง ถ้ายัง ก็เจริญสติ ในชีวิตประจำวันไม่ได้ เมื่อเข้าใจถูกต้อง แล้วก็เตรียมตัวเริ่มเข้าใจในคำจำกัดความ หรือนิยามศัพท์ที่กล่าวมาแล้วต่อไป
ผมขอย้อนกลับไปอีกนิด ผู้ที่ยังไม่เคยทำสมาธิหรือสมถภาวนามาก่อน ถ้าจะเจริญสติก็เสมือนผ้าขาว นำไปย้อมสีอะไร ก็จะได้สีที่ประสงค์ แต่ถ้าเคยทำสมาธิ หรือเคยปฏิบัติโดยไม่ใช่การเจริญสติปัฏฐาน ก็คงจะลำบากหน่อย เพราะต้องล้างของเก่าออก
การเจริญฯต้องไม่มีอะไรผิดปกติไม่ต้องทำตามกฎเกณฑ์ ไม่ต้องเข้าไปในที่สงบหรือทำกิริยาอะไรให้ผิดแผกออกไป ทำทุกอย่าง เป็นปกติ ในชีวิตประจำวัน สีฟันก็เจริญสติฯ ซักผ้าก็เจริญสติฯได้ ทำอะไรอยู่ก็เจริญสติฯได้ทั้งนั้น พยายามเข้าใจให้ถูกต้อง แล้วการเจริญสติฯก็คงจะง่ายเข้า
ต่อไปนี้ผมพยายามทำเป็นข้อ ๆ เพื่อสะดวกแก่การอ่าน