เพื่อไทย ร้องสอบ สร้างถนน 4 โครงการ 200 ล้าน หึ่งล็อกให้บ.ใกล้ชิด ’บิ๊กมท.’
https://www.matichon.co.th/politics/news_2184027
‘ยุทธพงศ์’-ส.ส.มหาสารคาม พท. ร้องผู้ว่าฯสอบ สร้างถนน 4 โครงการกว่า 200 ล้าน หึ่งล็อกให้บ.ใกล้ชิด’บิ๊กมท.’
เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ที่ศาลากลางจังหวัดมหาสารคาม นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม เขต3 และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย(พท.) นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม เขต5 และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) นายไชยวัฒนา ติณรัตน์ ส.ส.มหาสารคาม เขต2 นายจิรวัฒน์ ศิริพานิชย์ ส.ส.มหาสารคาม เขต 4 และ นพ.กิตติศักดิ์ คณาสวัสดิ์ ส.ส.มหาสารคาม เขต1 เดินทางไปยื่นหนังสือฯ ด่วนที่สุด เลขที่ 2858 ถึง นายเกียรติศักดิ์ จันทรา ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม เรื่องขอให้ตรวจสอบการล็อกสเปก(กีดกันการแข่งขันราคาฯ) การประกวดราคาในระบบ E-Bidding ของโครงการจ้างก่อสร้างโครงการยกระดับมาตรฐานและเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง(ขยายถนน จาก 2 เลน ไปเป็น 4 เลน) จำนวน 4 โครงการ, งบประมาณทั้งสิ้น 190 ล้านบาทโดยเป็นงบประมาณปี 2563 ของจังหวัดมหาสารคาม(งบมหาดไทย)
โดยหนังสือข้อร้องเรียน ระบุว่า ตามที่ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคามได้มอบอำนาจให้กรมทางหลวงโดยนายไวพจน์ สำราญดี ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงจังหวัดมหาสารคามปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคามได้ประกาศประกวดราคาจ้างก่อสร้างโครงการถนนจำนวน 4 โครงการ ดังนี้ คือ
1.โครงการก่อสร้างถนนยกระดับมาตรฐานทาง สาย 2381 (นาเชือก-โพธิ์ทอง) ระยะทาง : 2.50 กม. วงเงิน 50 ล้านบาท วงเงินทำสัญญา 49.985 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลาง 15,000 บาท
2. โครงการก่อสร้างถนนยกระดับมาตรฐานทางสาย 2045 (หนองคูโคก-วาปีปทุม) ระยะทาง 2 กม. วงเงิน 40 ลบ. วงเงินทำสัญญา 39.985 ลบ. ลดต่ำกว่าราคากลาง 15,000 บาท
3. โครงการก่อสร้างถนนยกระดับมาตรฐานทางสาย 2040 (วาปีปทุม-พยัคฆภูมิพิสัย) ระยะทาง 2.50 กม. วงเงินทำสัญญา 49.985 ลบ. ลดต่ำกว่าราคากลาง 15,000 บาท
4. โครงการก่อสร้างถนนยกระดับมาตรฐานทางสาย 2040(มหาสารคาม-วาปีปทุม) ระยะทาง 2.50 กม. , วงเงินทำสัญญา 49.970 ลบ. , ลดต่ำกว่าราคากลาง 30,000 บาท
ทั้งนี้ปรากฏว่าการประกวดราคาอิเล็คทรอนิกส์(E-Bidding) ทั้ง 4 โครงการฯ ได้ผู้รับจ้างรายเดียวทั้งหมดคือ หจก.บรบือพรเทพ และลดราคาต่ำกว่าราคากลางเพียงเล็กน้อยคือโครงการละ 15,000 บาท พบว่า ในประกาศประกวดราคาของ 4 โครงการ ใช้ข้อกำหนดเพื่อกีดกันไม่ให้ผู้ประกอบการรับเหมาถนนรายอื่น ๆ ไม่สามารถยื่นซองประกวดราคาแข่งขันได้ดังนี้คือ
1. ใช้เครื่อง Hot Recycling ในการล็อกสเปกเพราะถ้าบริษัทรับเหมาที่ไม่มีเครื่องมือดังกล่าวก็ไม่สามารถยื่นซองได้ และการใช้เครื่อง Hot Recycling ก็ไม่เหมาะสมกับความเสียหายของถนนในพื้นที่ของจังหวัดมหาสารคาม เนื่องความเสียหายของพื้นผิวถนนรุนแรงควรที่จะต้องซ่อมแซมถึงชั้นฐาน (Base) ของถนนฯ
2. การกำหนดว่าจะต้องมีโรงงานผสมแอสฟัลต์คอนกรีต(Plant)รัศมี 100 กม. ถึงโครงการก่อสร้างเป็นการกีดกันไม่ให้เกิดการแข่งขันจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ
3. การกำหนดว่าผู้ยื่นซองเสนอราคาจะต้องขึ้นทะเบียน Hot Recycling กับกรมทางหลวงเป็นการล็อคสเปก ให้กับผู้ประกอบการรายหนึ่งรายใดแม้แต่งานก่อสร้างฯของกรมทางหลวงเองก็ไม่เคยระบุเรื่องการขึ้นทะเบียนเครื่อง Hot Recycling กับกรมทางหลวง
4. จังหวัดมหาสารคามในอดีตเมื่อหลายปีที่ผ่านมาก็เคยดำเนินการประกวดราคางานก่อสร้างถนนฯ ในลักษณะเดียวกันเหมือนกัน ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายปีแต่ก็ไม่เคยมีการระบุในเรื่องของเครื่อง Hot Recycling และ Plant รัศมี 100.-กม. มาก่อน , ถือว่าเป็นข้อกำหนดใหม่
ดังนั้นส.ส. จังหวัดมหาสารคามทั้ง 5 คน จึงได้เดินทางไปยื่นหนังสือฯให้ท่านผู้ว่าการจังหวัดมหาสารคามได้ตรวจสอบความโปร่งใสและป้องกันการกระทำความผิดตาม พรบ. การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 และขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน และในวันที่ 14 พฤษภาคม ส.ส. จังหวัดมหาสารคาม พรรคพท. ทั้งจังหวัด จะได้ยื่นเรื่อง ส่อทุจริตก่อสร้างถนนฯ ดังกล่าว ให้ ท่านปลัดกระทรวงมหาดไทย และ อธิบดีกรมทางหลวง ได้ตรวจสอบต่อไป
รายงานข่าวระบุว่า บริษัทฯ ที่ได้รับงานฯ รับเหมา รายเดียว ยกจังหวัด เป็นของ นักการเมืองที่มีตำแหน่งใหญ่ในกระทรวงมหาดไทย(มท.) ทำให้ข้าราชการมท.ของจังหวัดมหาสารคามเกิดความเกรงใจ
'พิธา' สวน 'บิ๊กตู่' ไอเดียติดกล้องเฝ้าตู้ปันสุข ดูถูกคน ชี้ถ้าเยียวยาทั่วถึง คงไม่วุ่นวายแบบนี้
https://www.matichon.co.th/politics/news_2183876
“พิธา” เหน็บ “บิ๊กตู่” หลังวิจารณ์ภาพปชช. แย่งสิ่งของ “ตู้ปันสุข” แนะควรหาทางออกช่วยให้ปชช.ไม่อดตาย ไม่ควรดูถูกปชช.
เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวกรณี พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาวิจารณ์ภาพประชาชนที่กำลังยื้อแย่งข้าวของจากโครงการตู้กับข้าวหรือตู้ปันสุขว่า รับไม่ได้และอย่าเห็นแก่ตัว พร้อมกับแนะนำให้มีคนเฝ้าหรือติดกล้องบันทึกพฤติกรรมประชาชน ว่า
ความคิดดังกล่าวถือเป็นการดูถูกประชาชนและสะท้อนว่านายกรัฐมนตรีไม่เคยมองย้อนกลับไปดูการบริหารจัดการของตนเองว่ามีปัญหาเลย ถึงแม้รัฐบาลจะไม่สามารถบริหารเงินเยียวยา 5,000 บาท อย่างมีประสิทธิภาพได้ แต่อย่างน้อยควรทำโครงการธนาคารอาหาร หรือ food bank เพื่อให้ประชาชนมีทางออก ไม่อดตาย เพราะประเทศไทยที่อุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ ไม่สมควรต้องมีคนมากมากต้องหิวโหย ซึ่งโครงการธนาคารอาหารนี้ ตนได้เคยเสนอให้รัฐบาลทำตั้งแต่เดือนเมษายนแล้ว แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้น ทำให้ประชาชนต้องมองหาวิธีการช่วยเหลือดูแลกันเอง และหากต้องเป็นอย่างนี้ทุกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าจะมีรัฐบาลแบบนี้ไว้ทำไม.
“ปัญหาปากท้องของประชาชนเป็นเรื่องใหญ่ที่ควรได้รับแก้ไขอย่างเร่งด่วน พรรคก้าวไกล นอกจากการลงพื้นที่อย่างแข็งขันเพื่อหาทางช่วยบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้าแล้ว เรายังพยายามอย่างเต็มที่ฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ผ่านการผลักดันให้เปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญตั้งแต่เดือนเมษายน เพื่อให้สามารถผ่านงบประมาณออกมาเยียวยาประชาชนได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะขาดแรงสนับสนุนจากฝ่ายรัฐบาล” นาย
พิธากล่าว และว่า การได้เห็น พล.อ.
ประยุทธ์ ออกมาแสดงความคิดเห็นแบบนี้ รวมถึงเสนอให้มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อสอดแนมประชาชนดูว่าใครหยิบอะไรไปมากน้อยขนาดไหนนั้น แสดงให้เห็นถึงแนวความคิดและภาพสะท้อนปัญหาในตัวของนายกรัฐมนตรี ว่า มองประชาชนอย่างไร ดูถูกพวกเขาขนาดไหน โดยที่ไม่เคยมองว่าการบริหารจัดการของตนเองมีปัญหาเลย
นอกจากนี้ นายพิธายังเป็นหนึ่งในผู้ที่ทำโครงการตู้กับข้าว โดยได้ติดตั้งตู้แรกไว้ที่หน้าสำนักงานใหญ่ พรรคก้าวไกล ซอยเพชรเกษม 47/2 ตรงข้ามเดอะมอลล์บางแค พร้อมติดป้ายว่า
“ใครมี เชิญให้, ใครไร้ เชิญหยิบ” เพื่อเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในระยะสั้น สำหรับผู้ที่จำเป็นสามารถมาหยิบอาหารหรือสิ่งของที่กำลังขาดแคลนไปใช้ได้ โดยระบุว่า หลังจากลงพื้นที่มาโดยตลอดทำให้เห็นว่ายังมีคนอีกมากที่เวลานี้ไม่มีแม้แต่ข้าวจะกินแล้ว ขณะที่อีกหลายครอบครัวกำลังประสบปัญหาว่างงานทำให้ขาดรายได้และไม่มีเงินซื้อนมให้ลูกกิน
นอกจากการช่วยเหลือในลักษณะนี้ พรรคก้าวไกลยังได้ยื่นญัตติด่วนให้ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญติดตามการตรวจสอบการใช้งบประมาณและมาตรการแก้ไขปัญหาภายใต้วิกฤตการระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากมีข้อสังเกตว่า ภายใต้มาตรการของรัฐที่กำลังดำเนินการด้วยงบประมาณมหาศาล ทำไมจึงยังมีผู้ได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก ดังนั้น การใช้งบประมาณจึงต้องมีการตรวจสอบว่าถูกใช้ไปอย่างมีประสิทธิภาพจริงหรือไม่ ถือเป็นเรื่องสำคัญและเร่งด่วนที่ประชาชนควรได้รับรู้
JJNY : พท.ร้องสอบสร้างถนน4โครงการ/พิธาสวนตู่ ไอเดียติดกล้องดูถูกคน/สนท.บุกกลาโหม จี้ตัดงบอาวุธ/ผบช.น.ชี้ยิงเลเซอร์ ทำได้
https://www.matichon.co.th/politics/news_2184027
เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ที่ศาลากลางจังหวัดมหาสารคาม นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม เขต3 และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย(พท.) นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม เขต5 และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) นายไชยวัฒนา ติณรัตน์ ส.ส.มหาสารคาม เขต2 นายจิรวัฒน์ ศิริพานิชย์ ส.ส.มหาสารคาม เขต 4 และ นพ.กิตติศักดิ์ คณาสวัสดิ์ ส.ส.มหาสารคาม เขต1 เดินทางไปยื่นหนังสือฯ ด่วนที่สุด เลขที่ 2858 ถึง นายเกียรติศักดิ์ จันทรา ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม เรื่องขอให้ตรวจสอบการล็อกสเปก(กีดกันการแข่งขันราคาฯ) การประกวดราคาในระบบ E-Bidding ของโครงการจ้างก่อสร้างโครงการยกระดับมาตรฐานและเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง(ขยายถนน จาก 2 เลน ไปเป็น 4 เลน) จำนวน 4 โครงการ, งบประมาณทั้งสิ้น 190 ล้านบาทโดยเป็นงบประมาณปี 2563 ของจังหวัดมหาสารคาม(งบมหาดไทย)
โดยหนังสือข้อร้องเรียน ระบุว่า ตามที่ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคามได้มอบอำนาจให้กรมทางหลวงโดยนายไวพจน์ สำราญดี ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงจังหวัดมหาสารคามปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคามได้ประกาศประกวดราคาจ้างก่อสร้างโครงการถนนจำนวน 4 โครงการ ดังนี้ คือ
1.โครงการก่อสร้างถนนยกระดับมาตรฐานทาง สาย 2381 (นาเชือก-โพธิ์ทอง) ระยะทาง : 2.50 กม. วงเงิน 50 ล้านบาท วงเงินทำสัญญา 49.985 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลาง 15,000 บาท
2. โครงการก่อสร้างถนนยกระดับมาตรฐานทางสาย 2045 (หนองคูโคก-วาปีปทุม) ระยะทาง 2 กม. วงเงิน 40 ลบ. วงเงินทำสัญญา 39.985 ลบ. ลดต่ำกว่าราคากลาง 15,000 บาท
3. โครงการก่อสร้างถนนยกระดับมาตรฐานทางสาย 2040 (วาปีปทุม-พยัคฆภูมิพิสัย) ระยะทาง 2.50 กม. วงเงินทำสัญญา 49.985 ลบ. ลดต่ำกว่าราคากลาง 15,000 บาท
4. โครงการก่อสร้างถนนยกระดับมาตรฐานทางสาย 2040(มหาสารคาม-วาปีปทุม) ระยะทาง 2.50 กม. , วงเงินทำสัญญา 49.970 ลบ. , ลดต่ำกว่าราคากลาง 30,000 บาท
ทั้งนี้ปรากฏว่าการประกวดราคาอิเล็คทรอนิกส์(E-Bidding) ทั้ง 4 โครงการฯ ได้ผู้รับจ้างรายเดียวทั้งหมดคือ หจก.บรบือพรเทพ และลดราคาต่ำกว่าราคากลางเพียงเล็กน้อยคือโครงการละ 15,000 บาท พบว่า ในประกาศประกวดราคาของ 4 โครงการ ใช้ข้อกำหนดเพื่อกีดกันไม่ให้ผู้ประกอบการรับเหมาถนนรายอื่น ๆ ไม่สามารถยื่นซองประกวดราคาแข่งขันได้ดังนี้คือ
1. ใช้เครื่อง Hot Recycling ในการล็อกสเปกเพราะถ้าบริษัทรับเหมาที่ไม่มีเครื่องมือดังกล่าวก็ไม่สามารถยื่นซองได้ และการใช้เครื่อง Hot Recycling ก็ไม่เหมาะสมกับความเสียหายของถนนในพื้นที่ของจังหวัดมหาสารคาม เนื่องความเสียหายของพื้นผิวถนนรุนแรงควรที่จะต้องซ่อมแซมถึงชั้นฐาน (Base) ของถนนฯ
2. การกำหนดว่าจะต้องมีโรงงานผสมแอสฟัลต์คอนกรีต(Plant)รัศมี 100 กม. ถึงโครงการก่อสร้างเป็นการกีดกันไม่ให้เกิดการแข่งขันจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ
3. การกำหนดว่าผู้ยื่นซองเสนอราคาจะต้องขึ้นทะเบียน Hot Recycling กับกรมทางหลวงเป็นการล็อคสเปก ให้กับผู้ประกอบการรายหนึ่งรายใดแม้แต่งานก่อสร้างฯของกรมทางหลวงเองก็ไม่เคยระบุเรื่องการขึ้นทะเบียนเครื่อง Hot Recycling กับกรมทางหลวง
4. จังหวัดมหาสารคามในอดีตเมื่อหลายปีที่ผ่านมาก็เคยดำเนินการประกวดราคางานก่อสร้างถนนฯ ในลักษณะเดียวกันเหมือนกัน ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายปีแต่ก็ไม่เคยมีการระบุในเรื่องของเครื่อง Hot Recycling และ Plant รัศมี 100.-กม. มาก่อน , ถือว่าเป็นข้อกำหนดใหม่
ดังนั้นส.ส. จังหวัดมหาสารคามทั้ง 5 คน จึงได้เดินทางไปยื่นหนังสือฯให้ท่านผู้ว่าการจังหวัดมหาสารคามได้ตรวจสอบความโปร่งใสและป้องกันการกระทำความผิดตาม พรบ. การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 และขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน และในวันที่ 14 พฤษภาคม ส.ส. จังหวัดมหาสารคาม พรรคพท. ทั้งจังหวัด จะได้ยื่นเรื่อง ส่อทุจริตก่อสร้างถนนฯ ดังกล่าว ให้ ท่านปลัดกระทรวงมหาดไทย และ อธิบดีกรมทางหลวง ได้ตรวจสอบต่อไป
รายงานข่าวระบุว่า บริษัทฯ ที่ได้รับงานฯ รับเหมา รายเดียว ยกจังหวัด เป็นของ นักการเมืองที่มีตำแหน่งใหญ่ในกระทรวงมหาดไทย(มท.) ทำให้ข้าราชการมท.ของจังหวัดมหาสารคามเกิดความเกรงใจ
'พิธา' สวน 'บิ๊กตู่' ไอเดียติดกล้องเฝ้าตู้ปันสุข ดูถูกคน ชี้ถ้าเยียวยาทั่วถึง คงไม่วุ่นวายแบบนี้
https://www.matichon.co.th/politics/news_2183876
“พิธา” เหน็บ “บิ๊กตู่” หลังวิจารณ์ภาพปชช. แย่งสิ่งของ “ตู้ปันสุข” แนะควรหาทางออกช่วยให้ปชช.ไม่อดตาย ไม่ควรดูถูกปชช.
เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาวิจารณ์ภาพประชาชนที่กำลังยื้อแย่งข้าวของจากโครงการตู้กับข้าวหรือตู้ปันสุขว่า รับไม่ได้และอย่าเห็นแก่ตัว พร้อมกับแนะนำให้มีคนเฝ้าหรือติดกล้องบันทึกพฤติกรรมประชาชน ว่า
ความคิดดังกล่าวถือเป็นการดูถูกประชาชนและสะท้อนว่านายกรัฐมนตรีไม่เคยมองย้อนกลับไปดูการบริหารจัดการของตนเองว่ามีปัญหาเลย ถึงแม้รัฐบาลจะไม่สามารถบริหารเงินเยียวยา 5,000 บาท อย่างมีประสิทธิภาพได้ แต่อย่างน้อยควรทำโครงการธนาคารอาหาร หรือ food bank เพื่อให้ประชาชนมีทางออก ไม่อดตาย เพราะประเทศไทยที่อุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ ไม่สมควรต้องมีคนมากมากต้องหิวโหย ซึ่งโครงการธนาคารอาหารนี้ ตนได้เคยเสนอให้รัฐบาลทำตั้งแต่เดือนเมษายนแล้ว แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้น ทำให้ประชาชนต้องมองหาวิธีการช่วยเหลือดูแลกันเอง และหากต้องเป็นอย่างนี้ทุกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าจะมีรัฐบาลแบบนี้ไว้ทำไม.
“ปัญหาปากท้องของประชาชนเป็นเรื่องใหญ่ที่ควรได้รับแก้ไขอย่างเร่งด่วน พรรคก้าวไกล นอกจากการลงพื้นที่อย่างแข็งขันเพื่อหาทางช่วยบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้าแล้ว เรายังพยายามอย่างเต็มที่ฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ผ่านการผลักดันให้เปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญตั้งแต่เดือนเมษายน เพื่อให้สามารถผ่านงบประมาณออกมาเยียวยาประชาชนได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะขาดแรงสนับสนุนจากฝ่ายรัฐบาล” นายพิธากล่าว และว่า การได้เห็น พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาแสดงความคิดเห็นแบบนี้ รวมถึงเสนอให้มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อสอดแนมประชาชนดูว่าใครหยิบอะไรไปมากน้อยขนาดไหนนั้น แสดงให้เห็นถึงแนวความคิดและภาพสะท้อนปัญหาในตัวของนายกรัฐมนตรี ว่า มองประชาชนอย่างไร ดูถูกพวกเขาขนาดไหน โดยที่ไม่เคยมองว่าการบริหารจัดการของตนเองมีปัญหาเลย
นอกจากนี้ นายพิธายังเป็นหนึ่งในผู้ที่ทำโครงการตู้กับข้าว โดยได้ติดตั้งตู้แรกไว้ที่หน้าสำนักงานใหญ่ พรรคก้าวไกล ซอยเพชรเกษม 47/2 ตรงข้ามเดอะมอลล์บางแค พร้อมติดป้ายว่า “ใครมี เชิญให้, ใครไร้ เชิญหยิบ” เพื่อเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในระยะสั้น สำหรับผู้ที่จำเป็นสามารถมาหยิบอาหารหรือสิ่งของที่กำลังขาดแคลนไปใช้ได้ โดยระบุว่า หลังจากลงพื้นที่มาโดยตลอดทำให้เห็นว่ายังมีคนอีกมากที่เวลานี้ไม่มีแม้แต่ข้าวจะกินแล้ว ขณะที่อีกหลายครอบครัวกำลังประสบปัญหาว่างงานทำให้ขาดรายได้และไม่มีเงินซื้อนมให้ลูกกิน
นอกจากการช่วยเหลือในลักษณะนี้ พรรคก้าวไกลยังได้ยื่นญัตติด่วนให้ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญติดตามการตรวจสอบการใช้งบประมาณและมาตรการแก้ไขปัญหาภายใต้วิกฤตการระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากมีข้อสังเกตว่า ภายใต้มาตรการของรัฐที่กำลังดำเนินการด้วยงบประมาณมหาศาล ทำไมจึงยังมีผู้ได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก ดังนั้น การใช้งบประมาณจึงต้องมีการตรวจสอบว่าถูกใช้ไปอย่างมีประสิทธิภาพจริงหรือไม่ ถือเป็นเรื่องสำคัญและเร่งด่วนที่ประชาชนควรได้รับรู้