เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน ได้เห็นลุงตู่ส่ง
"สัญญาน" ถึง "ภาคเอกชน" โดยประกาศผ่านหน้าจอโทรทัศน์ว่าจะส่งจดหมายเปิดผนึกถึง 20 มหาเศรษฐีชั้นนำของประเทศ ให้เข้ามาช่วยกันระดมความคิดหาแนวทางฟื้นฟูประเทศจากวิกฤติโควิด นั่นทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงรัฐบาลมากมายจนถึงขั้นเกิดกระแส
#รัฐบาลขอทาน สนั่นโลกโซเชียล เพราะท่าทีของของรัฐบาล ณ ช่วงเวลานั้น ทำให้สังคมเคลือบแคลงใจว่าการร่อนจดหมายเปิดผนึกไปหาเอกชนในครั้งนี้นั้น จะเป็นการขอระดมทุนให้ช่วยกันลงขันช่วยประเทศหรือเปล่า ?
แต่ความชัดจริงก็มาเฉลยในสัปดาห์นี้ว่า แท้จริงแล้วเนื้อความในจดหมายเปิดผนึกดังกล่าว
ไม่ได้มีนัยยะอะไรมากไปกว่า การขอความคิด ความเห็น ในเชิงวิสัยทัศน์ของเหล่าบรรดานักธุรกิจที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินไทย ให้เข้ามาช่วยกันคิด ช่วยกันหาวิธีแก้ปัญหาฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาเข้มแข็งโดยเร็วที่สุด ซึ่ง ณ ขณะนี้จดหมายเปิดผนึกก็ได้รับการตอบรับและมีสัญญาณในเชิงบวกออกมาจากเอกชนหลายเจ้า ความน่าสนใจหนึ่งในการพยายามจัดการภาวะวิกฤติครั้งนี้ของรัฐบาล คือการผนึกกำลังของหลายภาคส่วนเพื่อมาระดมสมองกันแก้ไขปัญหา
ตามความเชื่อของคนจีนนั้น
หลักของเต๋า..หยินหยาง..เป็นสิ่งคู่กัน หากเปรียบกับประเทศ ก็เหมือนกับรัฐและเอกชนที่ต้องอยู่คู่กันไป ฝ่ายรัฐบาลมีอำนาจอยู่ในมือที่สามารถจัดการสิ่งต่างๆได้เปรียบดั่งฝ่าย “
หยิน” เป็นองค์กรขนาดใหญ่ ดูแลกฎระเบียบ กำกับและออกนโยบายมาช่วยแก้ปัญหา ขณะที่ภาคเอกชนเป็นเหมือน
“หยาง” เพราะภาคเอกชนมีกลไกครอบคลุมทุกกลุ่มตั้งแต่รายย่อย ซึ่งเป็นเครือข่ายทางการค้า ไล่มาจนถึงผู้ประกอบการรายย่อย และผู้ร่วมทุนรายใหญ่ จึงเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการสะท้อนปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น เมื่อระดมมันสมองในการแก้ฟื้นฟูครั้งนี้ของรัฐบาลจึงเป็นการผนึกกำลังของกลุ่มผู้มีบทบาทในการกำหนดสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยให้มีศักยภาพในการฟื้นฟูประเทศได้หลังวิกฤตโควิด-19 คลี่คลาย
ซึ่งอันที่จริงแล้ว ยุทศาสตร์การขอให้เศรษฐีที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจ มาเป็นที่ปรึกษาในแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ก็เป็นเรื่องที่สหรัฐอเมริกาในบางรัฐอย่างแคลิฟอร์เนียก็เพิ่งทำ โดยประกาศตั้งมหาเศรษฐีและผู้บริหารระดับสูงหลายคนทั้งบริษัท Apple, Walt Disney ฯลฯ มาร่วมคณะทำงานฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตไวรัสโควิด
เพราะอย่าลืมว่าเหตุวิกฤตโควิดในครั้งนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วโลก และฉุดเศรษฐกิจโลกหดตัวอย่างรุนแรง การดึงศักยภาพของ
"คนเก่ง" ในแต่ละประเทศมาผนึกกำลังร่วมมือกันนั้น เป็นสิ่งที่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง วิกฤติครั้งนี้รัฐบาลประเทศไทยกำลังเดินมาถูกทางด้วยเกมส์กลยุทธ์ชั้นเซียนสามก๊ก
“คนทำศึก หากไม่รู้ดินฟ้าอากาศ ไม่รู้เรื่องหยิน-หยาง ไม่รู้จักใช้คน ไม่รู้จักวางแผน นั่น คือความโง่เขลา”
กลยุทธ์ชั้นเซียน "หยินหยาง" เมื่อเอกชนผนึกรัฐบาลฉุดประเทศพ้นวิกฤติ
แต่ความชัดจริงก็มาเฉลยในสัปดาห์นี้ว่า แท้จริงแล้วเนื้อความในจดหมายเปิดผนึกดังกล่าว ไม่ได้มีนัยยะอะไรมากไปกว่า การขอความคิด ความเห็น ในเชิงวิสัยทัศน์ของเหล่าบรรดานักธุรกิจที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินไทย ให้เข้ามาช่วยกันคิด ช่วยกันหาวิธีแก้ปัญหาฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาเข้มแข็งโดยเร็วที่สุด ซึ่ง ณ ขณะนี้จดหมายเปิดผนึกก็ได้รับการตอบรับและมีสัญญาณในเชิงบวกออกมาจากเอกชนหลายเจ้า ความน่าสนใจหนึ่งในการพยายามจัดการภาวะวิกฤติครั้งนี้ของรัฐบาล คือการผนึกกำลังของหลายภาคส่วนเพื่อมาระดมสมองกันแก้ไขปัญหา
ตามความเชื่อของคนจีนนั้น หลักของเต๋า..หยินหยาง..เป็นสิ่งคู่กัน หากเปรียบกับประเทศ ก็เหมือนกับรัฐและเอกชนที่ต้องอยู่คู่กันไป ฝ่ายรัฐบาลมีอำนาจอยู่ในมือที่สามารถจัดการสิ่งต่างๆได้เปรียบดั่งฝ่าย “หยิน” เป็นองค์กรขนาดใหญ่ ดูแลกฎระเบียบ กำกับและออกนโยบายมาช่วยแก้ปัญหา ขณะที่ภาคเอกชนเป็นเหมือน “หยาง” เพราะภาคเอกชนมีกลไกครอบคลุมทุกกลุ่มตั้งแต่รายย่อย ซึ่งเป็นเครือข่ายทางการค้า ไล่มาจนถึงผู้ประกอบการรายย่อย และผู้ร่วมทุนรายใหญ่ จึงเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการสะท้อนปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น เมื่อระดมมันสมองในการแก้ฟื้นฟูครั้งนี้ของรัฐบาลจึงเป็นการผนึกกำลังของกลุ่มผู้มีบทบาทในการกำหนดสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยให้มีศักยภาพในการฟื้นฟูประเทศได้หลังวิกฤตโควิด-19 คลี่คลาย
ซึ่งอันที่จริงแล้ว ยุทศาสตร์การขอให้เศรษฐีที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจ มาเป็นที่ปรึกษาในแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ก็เป็นเรื่องที่สหรัฐอเมริกาในบางรัฐอย่างแคลิฟอร์เนียก็เพิ่งทำ โดยประกาศตั้งมหาเศรษฐีและผู้บริหารระดับสูงหลายคนทั้งบริษัท Apple, Walt Disney ฯลฯ มาร่วมคณะทำงานฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตไวรัสโควิด
เพราะอย่าลืมว่าเหตุวิกฤตโควิดในครั้งนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วโลก และฉุดเศรษฐกิจโลกหดตัวอย่างรุนแรง การดึงศักยภาพของ "คนเก่ง" ในแต่ละประเทศมาผนึกกำลังร่วมมือกันนั้น เป็นสิ่งที่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง วิกฤติครั้งนี้รัฐบาลประเทศไทยกำลังเดินมาถูกทางด้วยเกมส์กลยุทธ์ชั้นเซียนสามก๊ก