อาจจะเป็นเรื่องปกติของสังคมการทำงาน แต่รู้สึกว่าทางบ้านคาดหวังกับผมมากเกินไปทั้ง ๆ ที่ตัวผมนั้นเพิ่งกลับมาบริหารกิจการไม่นาน
ยังไม่ถึงปีเต็มเลยด้วยซ้ำ ตอนแรกตัวผมทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งด้านวิศวะเพราะเรียนจบด้านนี้มา ก็ไม่มีอะไรครับ
จนคุณพ่อของผมให้ออกจากงานมาช่วยพี่ชายดูแลกิจการที่บ้าน
ส่วนเรื่องของการทำงาน ในบทบาทที่เราจะได้ลงไปบริหาร มันก็เลยไม่มีเวลาจำกัดในการเรียนรู้งาน
คือไม่มีเวลาทดลองงาน แต่ผมกลับเครียดมากกว่าเดิม เพราะนี่มันคือธุรกิจของที่บ้าน คำถามเต็มหัวเลยว่าเราจะทำได้มั้ย ๆ เต็มไปหมด
ตลอดเวลาที่ผมกลับมาดูแลตรงนี้ ยอมรับว่าเหมือนตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น
มีวิจารณญาณในการเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ จากประสบการณ์ที่มากขึ้น และได้เรียนรู้นิสัยของคนด้วย ก็เป็นเรื่องของสังคมที่ต้องเรียนรู้
ได้มุมมองเกี่ยวกับการทำธุรกิจ ในจะเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างคู่ค้าพันธมิตร สมองของผมเหมือนกับว่ามันต้องตื่นตลอดเวลา
...จนมันทำให้ผมเครียด เครียดเพราะว่าที่บ้านสร้างความหวังกับผมมากเกินไป แล้วผมก็กดดันตัวเองด้วย เพราะผมก็เริ่มทำงานได้ไม่นาน
แต่คนที่บ้านก็ตั้งความหวังว่าอันนี้ต้องได้ อันนั้นทำไมไม่ทำเหมือนที่พ่อบอก ทั้งๆที่ของเราอะ ต้นทุนมันถูกกว่าด้วยซ้ำ ลดค่าใช้จ่ายลงไปอีก
แต่เขาบอกว่าทำไมไม่ทำตามที่พ่อบอก
เพราะพ่อเขาให้ผมมาดูงานแทนแกเลยแทบจะทุกอย่าง แกอายุ 57 แล้วอะ คุณแม่ก็ 55 ไล่เลี่ยกัน
ผมถึงต้องมาทำงานตรงนี้เพราะอยากให้พวกแกพัก ตัวผมนี่หัวยุ่งหัวหมุนอยู่กับกิจการที่บ้านแทนทุกวัน แต่มันก็ยังดีที่ผมยังได้เรียนรู้แค่นี้ก่อน เพราะงานใหญ่ๆงานหลักๆแบบที่ต้องรับผิดชอบอะไรใหญ่ๆ พ่อก็ยังจัดการอยู่ พี่ชายก็ยังทำอยู่ส่วนผมนี่เหมือนลูกมือพวกแก ลงมาดูแลงานทุกอย่าง คือจะสอนให้เป็นทุกอย่าง ตั้งแต่ล่างยันบนเลย อัดเป็นปลากระป๋องเลย ตัวผมมันก็เลยกดดัน
บางเสาร์ก็ต้องติดต่อลูกค้า บางทีลากไปวันอาทิตย์ หากวันคาราคาซังอยู่ คือมันต้องเคลียร์อ่ะ ไม่งั้นงานมันจะสะดุด
ผมอยากจะบอกพี่ๆทุกคนในนี้ว่า บางครั้งผมเครียดมาก เครียดเรื่องที่มันไม่ควรจะเครียดด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาความเครียดนี้ยังไง
ตอนจะหลับตานอน ดันนึกถึงคำพูดที่คุยกับลูกค้าได้ คำพูดที่ผู้จัดการสอนเรื่องงานวันนี้ ก้องอยู่ในหัวผม มันบอกไม่ถูก คนที่บ้านจะเข้าใจผมจริงๆมั้ยก็ไม่รู้
ทุกครั้งที่กินข้าวพร้อมกันในบ้าน ก็จะถูกถามตลอดว่างานวันนี้เป็นยังไง ไหวมั้ย โอเคหรือเปล่า พี่หน่อย(ผู้จัดการห้าง) สอนงานดีมั้ย โดนดุหรือเปล่า
ถ้าผมจะพูดว่า พ่อ ผมเครียดมาก อยากลางานไปเที่ยวสักอาทิตย์นึง .... ก็กลัวแกจะเครียดว่าเราทำไม่ได้ เลยเลือกพูดในสิ่งที่เราไม่ได้โกหก
แต่พูดอ้อมๆว่า เออพ่อมันก็ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้เนอะ บลาๆๆ แทน เพื่ออย่างน้อยก็น่าจะเซฟความรู้สึกทั้งสองฝ่าย แต่จริงๆเราอะรู้อยู่เต็มอก
ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น การเลือกพนักงานตำแหน่งที่เป็นหัวหน้าฝ่ายเข้ามาทำงาน ซึ่งตามจริงเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของฝ่ายบุคคลอยู่แล้ว
แต่การที่จะรับเข้ามาทำได้จริงมันต้องมีการสัมภาษณ์และแบบทดสอบมาก ไหนจะเรื่องของสุขภาพ เรื่องวิสัยทัศน์ที่คุณมีต่อการทำงาน
เรื่องของแนวคิดที่ว่า คุณคิดว่าทำไมบริษัทถึงต้องรับคุณเข้ามาทำ คุณมีความสามารถยังไงที่จะทำให้กำไรของเราโตได้ 10% ภายใน 1 เดือน
ทุกอย่างมานี้ มันต้องใช้เวลาในการคัดสรร เพราะตลอดเวลาก่อนที่ผมจะมา หัวหน้าฝ่ายในห้างมีการเปลี่ยนบ่อยมาก เนื่องจากส่วนใหญ่เหมือนทำหน้าที่ของงานแบบขอไปที คราวนี้ก็ต้องมีการคัดเลือกให้ละเอียดกว่าเดิม และมั่นใจจริงๆว่าการจ้างงานพนักงานคนๆนึงคราวนี้จะไม่ติดขัด
ซึ่งเรื่องนี้ ผมไม่อยากจะอะไรเยอะเลย เพราะบางทีผู้สมัครคนนั้น อายุและประสบการณ์ทำงานมากกว่าผมอีก (30++)
ประสบการณ์ทำงานก็ยังไม่เยอะ จะไปกล้าสอบสัมภาษณ์คนที่มาสมัครข้างต้นได้ยังไง
เขาอาจจะไม่คิดอะไรก็ได้ แต่ในใจผมมันพูดว่า แหมเอ็งจะกล้าไปติไปแนะเขาว่าพี่ได้อันนี้มั้ย อันนั้นมั้ย
ลองทำให้ผมดูหน่อยสิว่า มันก็ไม่กล้าไง แล้วเราเด็กกว่าเขาด้วยมากเลยแหละ เดี๋ยวก็โดนมองว่าไอเด็กเมื่อวานซีน ...อะไรประมาณนั้น
แล้วส่วนมาก ผมจะได้เรียนรู้งานแบบพวก ดูบัญชี ดูงบประมาณ วางแผนงบประมาณ พวกหุ้น การตลาด คือเรียกโดนอัดมันทุกงาน
อะไรใหญ่ ๆ โดนจัดมา โหมกระหน่ำเหมือนแบบว่า ถ้าผมเป็นพนักงานที่อื่น แล้วโดนแบบนี้ ผมไม่ผ่านโปรตั้งแต่เดือนแรกแล้วแหละ
ในใจก็ท้อนะ ตอนที่ยังเรียนรู้ระบบงานระดับปฎิบัติก็อยากจะอยู่ตรงนั้นนานๆ ไม่น่าเรียนรู้ไวเลยโดนจัดหนักเหมือนเกมส์จะยากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่อยากแบบว่าเออเป็นแล้ว โดนดูดจากที่สูงให้เราต้องเรียนรู้ที่สูงๆขึ้นเรื่อยๆเหมือนขั้นบันได
บางครั้งอยากจะตัดสายที่ดึงออก แต่ความรู้สึกของการที่มาทำตรงนี้แล้วบอกว่าอย่าท้อ
นี่มันกิจการของเรา ถ้าจะท้อมันจะดูเป็นเด็กเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ จะโดนดูถูกจากคนในองค์กรเอาได้ ผมเลยต้องสู้ ต้องพยายามมาตลอด
ทางผู้จัดการห้างก็สอนงานผมดีมาก ขอบคุณมากเลยที่ใจเย็น ไม่หัวเสียกับเด็กอย่างผม
ถึงขนาดที่ว่าไม่ไหวให้บอกได้ตลอด ติดขัดตรงไหนบอกได้
ตัวผมอะไม่มีอะไรหรอก การทำงานมันก็มีเรื่องเครียดบ้าง เรื่องดีบ้าง
บางครั้งเวลาที่ต้องไปแบงค์ที่ธนาคาร เผลอสแกนนิ้วออกงานตอนเที่ยง แต่เบลอไง ลืมว่าระบบสแกนนิ้วมันแค่พนักงาน ของผมมันไม่มี
เรียกได้ว่างานผมอะ 24 ช.ม. พนักงาน Vip ที่แท้ทรูจริงๆ ผมเป็นแบบนี้ตลอดอะ ต้องมีสักครั้งอาทิตย์ละ 2-3ครั้งที่เบลอแบบนี้ เบลอเรื่องที่ไม่ควรเบลอ
ซึ่งตอนทำงานที่อื่นผมไม่เคยเป็นแบบนี้นะ ผมพยายามเรียนงานให้ได้เร็วที่สุด แล้วพ่อจะคอยให้คำปรึกษา
แต่งานของผมอะเหมือนมันไม่มีขอบเขต เพราะพ่อต้องการให้เรียนรู้ระบบทุกอย่างของบริษัท ของห้าง แล้วคือห้างก็มีตั้ง 2ที่
ที่เชียงใหม่ที่นึง ที่กรุงเทพที่นึง คือต้องบินไปบินมาเป็นนก เพื่อเรียนรู้ระบบงานทั้งสองห้างนี้ ต้องขอบคุณที่สร้างเครื่องบินขึ้นมา
อำนวยความสะดวกในเรื่องของการเดินทางไปเยอะเลย ครั้นจะขับรถไปมา เชียงใหม่-กรุงเทพ ก็ไม่เอา
แค่ตอนนั้นที่ออกจากงานที่บางนา ขับกลับเชียงใหม่ก็แย่แล้ว นอนจอดแวะปั้มไม่รู้กี่สิบปั้ม
มาทำงานตรงนี้แล้วมันเหนื่อยนะ สมองคิดตลอด นักธุรกิจทุกคนต้องเจอแบบนี้แน่นอนเลย ความรู้สึกผมตอนนี้ก็คงไม่ต่างกัน...สักเท่าไหร่
แล้วที่บ้านคาดหวังกับผมเกินไป เหมือนจะให้สอบได้เกียรตินิยมอันดับ 1 4.00 มันก็ยากที่จะทำได้
จะให้ผมเรียนรู้จนชำนาญจนเก่งเหมือนพ่อ หรือเหมือนพี่ชายเลยที่รายนั้นลงมาจับงานก่อนผมอีก... มันเป็นไปไม่ได้หรอก
สเกลของงานมันใหญ่ รายละเอียดค่อนข้างเยอะ ทั้งระบบเรื่องงาน เรื่องคู่แข่ง เรื่องการค้า
ไหนจะเรื่องของบัญชี การเงินอีก แต่บัญชีการเงินนี่ตอนนี้ผมว่าไม่น่ามีปัญหาแล้ว
คุยกับฝ่ายการเงินฝ่ายบัญชีเข้าใจตรงกัน ระบบงานลื่นไหลก็โอเคแล้วสำหรับที่ต้องมาทำหน้าที่ตรงนี้แค่ไม่กี่เดือน
มีบางครั้งต้องคุยกับลูกค้าชาวต่างชาติทางโทรศัพท์ พอวางสาย หันมาคุยกับคนไทยผมยังพูดเป็นจีนเลย ดูความเบลอก็แล้วกัน
แต่ไม่ว่าผมจะเหนื่อยแค่ไหน ผมก็ไม่เคยไปบ่นไปตัดพ้อกับคนในบ้าน หรือแม้แต่พี่ชายผมก็ไม่เคยไปบ่นให้แกฟัง
เพราะงานแกหนักกว่าผมอีก แทบจะเป็นคุณพ่อร่าง 2 แล้ว แต่แกเก่ง บริหารเก่ง เพราะลงมาทำก่อนผมได้หลายปีแล้ว
แต่พี่ก็สอนงานผมหลักๆ จะเป็นงานข้างบนมากกว่า ส่วนงานล่างๆ จะให้ผมลงมาเรียนรู้เอง แล้วให้ผู้จัดการสอน
ต้องยอมรับว่าผู้จัดการเป็นคนใจเย็นมาก จนบางครั้งก็กลัวเขาจะไม่เต็มที่เวลาที่ต้องมาคอยเทรนงานให้เรา
เพราะแกจะไม่ค่อยตำหนิเวลาผมไม่เข้าใจ ต้องถามย้ำรอบสองรอบสามอยู่เรื่อย ผมเลยพยายามเรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นหลัก ถ้าไม่ได้จริงๆค่อยถาม
ไหนจะโดนกดดันจากที่บ้าน พ่อ แม่ พี่ ไหนจะลูกค้าที่บางครั้งก็นะ ..... นั่นแหละ
ไหนจะเรื่องคู่แข่ง ไหนจะต้องเข้าไปฟังประชุมต่างๆ ทั้งเล็กยันใหญ่ที่มีแต่คนบนๆ ไหนจะติดต่อลูกค้าจีน ฝรั่ง ปวดหัวสุดก็ไทยนี่แหละ
แล้วไม่ใช่แค่เรื่องงานที่บ้านอย่างเดียวนะ ไหนจะคอนโดที่พ่อมีอีก ตอนนี้เจอปัญหาละ เรื่องแอบแต่งคอนโดแบบไม่บอก ซึ่งไม่เคยปรึกษาเรา
ไหนจะเรื่องที่ดินที่พ่อชอบจัง อสังหาเนี่ย พอขายดีก็หน้าใหญ่ใจโต เกร็งจนแทบจะไม่มีใครอยากจะซื้อ ปวดหัวอะครับบอกตรงๆ
ตอนเครียดก็จะต้องออกกำลังกาย มันก็ลืมเรื่องเครียด ๆ ไปได้สักพัก แต่สักพัก ก็ต้องกลับมานึกถึงเรื่องงานอีก ก็เครียดก็กังวลอีก
ผมจะเป็นแบบนี้ตลอด หลังจากที่กลับมาทำงานกิจการที่บ้าน คือยังไงบอกไม่ถูกเหมือนกันครับ
คงต้องเข้ามาอยู่ในหัวผมละกันถึงจะเข้าใจ จะเครียดก็ทางใจนี่แหละ ห่วยจริงๆ เป็นเด็กนิสัยเสีย เครียดง่าย เพ้อเจ้อ กลัวหน้าจะแก่ก่อนไวจริง ๆ
ผมควรจะจัดการกับความรู้สึกนี้ยังไงดี คุยกับเพื่อน มันก็คือคนวัยเดียวกันอะ สุดท้ายก็พากันออกทะเลซะส่วนใหญ่
ผมเหมือนพวกที่ปากบอกว่า เฮ้ย ไม่เครียดนะ ชิลมาก แต่ปากมันไม่เคยตรงกับใจและความรู้สึกจริงๆเลย
เหมือนถ้าสมมติว่ามีคนถามว่า โอเคมั้ยกับเรื่องความรัก ซึ่งตอนนั้นไม่โอเค แต่บอกคนอื่นว่าไม่มีอะไร
บ่นซะยาวเลย ขอบคุณพื้นที่พันทิปที่ให้ผมได้ระบายความรู้สึกผ่านตัวอักษรครับ
ขอบคุณทุกความคิดเห็นที่เข้ามาให้คำแนะนำล่วงหน้านะครับ
คำขอปรึกษาหน่อยครับ เนื่องจากถูกกดดันเรื่องธุรกิจของที่บ้านจากคนในบ้านจนเกิดความเครียดพาลให้นอนไม่หลับ
ยังไม่ถึงปีเต็มเลยด้วยซ้ำ ตอนแรกตัวผมทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งด้านวิศวะเพราะเรียนจบด้านนี้มา ก็ไม่มีอะไรครับ
จนคุณพ่อของผมให้ออกจากงานมาช่วยพี่ชายดูแลกิจการที่บ้าน
ส่วนเรื่องของการทำงาน ในบทบาทที่เราจะได้ลงไปบริหาร มันก็เลยไม่มีเวลาจำกัดในการเรียนรู้งาน
คือไม่มีเวลาทดลองงาน แต่ผมกลับเครียดมากกว่าเดิม เพราะนี่มันคือธุรกิจของที่บ้าน คำถามเต็มหัวเลยว่าเราจะทำได้มั้ย ๆ เต็มไปหมด
ตลอดเวลาที่ผมกลับมาดูแลตรงนี้ ยอมรับว่าเหมือนตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น
มีวิจารณญาณในการเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ จากประสบการณ์ที่มากขึ้น และได้เรียนรู้นิสัยของคนด้วย ก็เป็นเรื่องของสังคมที่ต้องเรียนรู้
ได้มุมมองเกี่ยวกับการทำธุรกิจ ในจะเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างคู่ค้าพันธมิตร สมองของผมเหมือนกับว่ามันต้องตื่นตลอดเวลา
...จนมันทำให้ผมเครียด เครียดเพราะว่าที่บ้านสร้างความหวังกับผมมากเกินไป แล้วผมก็กดดันตัวเองด้วย เพราะผมก็เริ่มทำงานได้ไม่นาน
แต่คนที่บ้านก็ตั้งความหวังว่าอันนี้ต้องได้ อันนั้นทำไมไม่ทำเหมือนที่พ่อบอก ทั้งๆที่ของเราอะ ต้นทุนมันถูกกว่าด้วยซ้ำ ลดค่าใช้จ่ายลงไปอีก
แต่เขาบอกว่าทำไมไม่ทำตามที่พ่อบอก
เพราะพ่อเขาให้ผมมาดูงานแทนแกเลยแทบจะทุกอย่าง แกอายุ 57 แล้วอะ คุณแม่ก็ 55 ไล่เลี่ยกัน
ผมถึงต้องมาทำงานตรงนี้เพราะอยากให้พวกแกพัก ตัวผมนี่หัวยุ่งหัวหมุนอยู่กับกิจการที่บ้านแทนทุกวัน แต่มันก็ยังดีที่ผมยังได้เรียนรู้แค่นี้ก่อน เพราะงานใหญ่ๆงานหลักๆแบบที่ต้องรับผิดชอบอะไรใหญ่ๆ พ่อก็ยังจัดการอยู่ พี่ชายก็ยังทำอยู่ส่วนผมนี่เหมือนลูกมือพวกแก ลงมาดูแลงานทุกอย่าง คือจะสอนให้เป็นทุกอย่าง ตั้งแต่ล่างยันบนเลย อัดเป็นปลากระป๋องเลย ตัวผมมันก็เลยกดดัน
บางเสาร์ก็ต้องติดต่อลูกค้า บางทีลากไปวันอาทิตย์ หากวันคาราคาซังอยู่ คือมันต้องเคลียร์อ่ะ ไม่งั้นงานมันจะสะดุด
ผมอยากจะบอกพี่ๆทุกคนในนี้ว่า บางครั้งผมเครียดมาก เครียดเรื่องที่มันไม่ควรจะเครียดด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาความเครียดนี้ยังไง
ตอนจะหลับตานอน ดันนึกถึงคำพูดที่คุยกับลูกค้าได้ คำพูดที่ผู้จัดการสอนเรื่องงานวันนี้ ก้องอยู่ในหัวผม มันบอกไม่ถูก คนที่บ้านจะเข้าใจผมจริงๆมั้ยก็ไม่รู้
ทุกครั้งที่กินข้าวพร้อมกันในบ้าน ก็จะถูกถามตลอดว่างานวันนี้เป็นยังไง ไหวมั้ย โอเคหรือเปล่า พี่หน่อย(ผู้จัดการห้าง) สอนงานดีมั้ย โดนดุหรือเปล่า
ถ้าผมจะพูดว่า พ่อ ผมเครียดมาก อยากลางานไปเที่ยวสักอาทิตย์นึง .... ก็กลัวแกจะเครียดว่าเราทำไม่ได้ เลยเลือกพูดในสิ่งที่เราไม่ได้โกหก
แต่พูดอ้อมๆว่า เออพ่อมันก็ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้เนอะ บลาๆๆ แทน เพื่ออย่างน้อยก็น่าจะเซฟความรู้สึกทั้งสองฝ่าย แต่จริงๆเราอะรู้อยู่เต็มอก
ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น การเลือกพนักงานตำแหน่งที่เป็นหัวหน้าฝ่ายเข้ามาทำงาน ซึ่งตามจริงเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของฝ่ายบุคคลอยู่แล้ว
แต่การที่จะรับเข้ามาทำได้จริงมันต้องมีการสัมภาษณ์และแบบทดสอบมาก ไหนจะเรื่องของสุขภาพ เรื่องวิสัยทัศน์ที่คุณมีต่อการทำงาน
เรื่องของแนวคิดที่ว่า คุณคิดว่าทำไมบริษัทถึงต้องรับคุณเข้ามาทำ คุณมีความสามารถยังไงที่จะทำให้กำไรของเราโตได้ 10% ภายใน 1 เดือน
ทุกอย่างมานี้ มันต้องใช้เวลาในการคัดสรร เพราะตลอดเวลาก่อนที่ผมจะมา หัวหน้าฝ่ายในห้างมีการเปลี่ยนบ่อยมาก เนื่องจากส่วนใหญ่เหมือนทำหน้าที่ของงานแบบขอไปที คราวนี้ก็ต้องมีการคัดเลือกให้ละเอียดกว่าเดิม และมั่นใจจริงๆว่าการจ้างงานพนักงานคนๆนึงคราวนี้จะไม่ติดขัด
ซึ่งเรื่องนี้ ผมไม่อยากจะอะไรเยอะเลย เพราะบางทีผู้สมัครคนนั้น อายุและประสบการณ์ทำงานมากกว่าผมอีก (30++)
ประสบการณ์ทำงานก็ยังไม่เยอะ จะไปกล้าสอบสัมภาษณ์คนที่มาสมัครข้างต้นได้ยังไง
เขาอาจจะไม่คิดอะไรก็ได้ แต่ในใจผมมันพูดว่า แหมเอ็งจะกล้าไปติไปแนะเขาว่าพี่ได้อันนี้มั้ย อันนั้นมั้ย
ลองทำให้ผมดูหน่อยสิว่า มันก็ไม่กล้าไง แล้วเราเด็กกว่าเขาด้วยมากเลยแหละ เดี๋ยวก็โดนมองว่าไอเด็กเมื่อวานซีน ...อะไรประมาณนั้น
แล้วส่วนมาก ผมจะได้เรียนรู้งานแบบพวก ดูบัญชี ดูงบประมาณ วางแผนงบประมาณ พวกหุ้น การตลาด คือเรียกโดนอัดมันทุกงาน
อะไรใหญ่ ๆ โดนจัดมา โหมกระหน่ำเหมือนแบบว่า ถ้าผมเป็นพนักงานที่อื่น แล้วโดนแบบนี้ ผมไม่ผ่านโปรตั้งแต่เดือนแรกแล้วแหละ
ในใจก็ท้อนะ ตอนที่ยังเรียนรู้ระบบงานระดับปฎิบัติก็อยากจะอยู่ตรงนั้นนานๆ ไม่น่าเรียนรู้ไวเลยโดนจัดหนักเหมือนเกมส์จะยากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่อยากแบบว่าเออเป็นแล้ว โดนดูดจากที่สูงให้เราต้องเรียนรู้ที่สูงๆขึ้นเรื่อยๆเหมือนขั้นบันได
บางครั้งอยากจะตัดสายที่ดึงออก แต่ความรู้สึกของการที่มาทำตรงนี้แล้วบอกว่าอย่าท้อ
นี่มันกิจการของเรา ถ้าจะท้อมันจะดูเป็นเด็กเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ จะโดนดูถูกจากคนในองค์กรเอาได้ ผมเลยต้องสู้ ต้องพยายามมาตลอด
ทางผู้จัดการห้างก็สอนงานผมดีมาก ขอบคุณมากเลยที่ใจเย็น ไม่หัวเสียกับเด็กอย่างผม
ถึงขนาดที่ว่าไม่ไหวให้บอกได้ตลอด ติดขัดตรงไหนบอกได้
ตัวผมอะไม่มีอะไรหรอก การทำงานมันก็มีเรื่องเครียดบ้าง เรื่องดีบ้าง
บางครั้งเวลาที่ต้องไปแบงค์ที่ธนาคาร เผลอสแกนนิ้วออกงานตอนเที่ยง แต่เบลอไง ลืมว่าระบบสแกนนิ้วมันแค่พนักงาน ของผมมันไม่มี
เรียกได้ว่างานผมอะ 24 ช.ม. พนักงาน Vip ที่แท้ทรูจริงๆ ผมเป็นแบบนี้ตลอดอะ ต้องมีสักครั้งอาทิตย์ละ 2-3ครั้งที่เบลอแบบนี้ เบลอเรื่องที่ไม่ควรเบลอ
ซึ่งตอนทำงานที่อื่นผมไม่เคยเป็นแบบนี้นะ ผมพยายามเรียนงานให้ได้เร็วที่สุด แล้วพ่อจะคอยให้คำปรึกษา
แต่งานของผมอะเหมือนมันไม่มีขอบเขต เพราะพ่อต้องการให้เรียนรู้ระบบทุกอย่างของบริษัท ของห้าง แล้วคือห้างก็มีตั้ง 2ที่
ที่เชียงใหม่ที่นึง ที่กรุงเทพที่นึง คือต้องบินไปบินมาเป็นนก เพื่อเรียนรู้ระบบงานทั้งสองห้างนี้ ต้องขอบคุณที่สร้างเครื่องบินขึ้นมา
อำนวยความสะดวกในเรื่องของการเดินทางไปเยอะเลย ครั้นจะขับรถไปมา เชียงใหม่-กรุงเทพ ก็ไม่เอา
แค่ตอนนั้นที่ออกจากงานที่บางนา ขับกลับเชียงใหม่ก็แย่แล้ว นอนจอดแวะปั้มไม่รู้กี่สิบปั้ม
มาทำงานตรงนี้แล้วมันเหนื่อยนะ สมองคิดตลอด นักธุรกิจทุกคนต้องเจอแบบนี้แน่นอนเลย ความรู้สึกผมตอนนี้ก็คงไม่ต่างกัน...สักเท่าไหร่
แล้วที่บ้านคาดหวังกับผมเกินไป เหมือนจะให้สอบได้เกียรตินิยมอันดับ 1 4.00 มันก็ยากที่จะทำได้
จะให้ผมเรียนรู้จนชำนาญจนเก่งเหมือนพ่อ หรือเหมือนพี่ชายเลยที่รายนั้นลงมาจับงานก่อนผมอีก... มันเป็นไปไม่ได้หรอก
สเกลของงานมันใหญ่ รายละเอียดค่อนข้างเยอะ ทั้งระบบเรื่องงาน เรื่องคู่แข่ง เรื่องการค้า
ไหนจะเรื่องของบัญชี การเงินอีก แต่บัญชีการเงินนี่ตอนนี้ผมว่าไม่น่ามีปัญหาแล้ว
คุยกับฝ่ายการเงินฝ่ายบัญชีเข้าใจตรงกัน ระบบงานลื่นไหลก็โอเคแล้วสำหรับที่ต้องมาทำหน้าที่ตรงนี้แค่ไม่กี่เดือน
มีบางครั้งต้องคุยกับลูกค้าชาวต่างชาติทางโทรศัพท์ พอวางสาย หันมาคุยกับคนไทยผมยังพูดเป็นจีนเลย ดูความเบลอก็แล้วกัน
แต่ไม่ว่าผมจะเหนื่อยแค่ไหน ผมก็ไม่เคยไปบ่นไปตัดพ้อกับคนในบ้าน หรือแม้แต่พี่ชายผมก็ไม่เคยไปบ่นให้แกฟัง
เพราะงานแกหนักกว่าผมอีก แทบจะเป็นคุณพ่อร่าง 2 แล้ว แต่แกเก่ง บริหารเก่ง เพราะลงมาทำก่อนผมได้หลายปีแล้ว
แต่พี่ก็สอนงานผมหลักๆ จะเป็นงานข้างบนมากกว่า ส่วนงานล่างๆ จะให้ผมลงมาเรียนรู้เอง แล้วให้ผู้จัดการสอน
ต้องยอมรับว่าผู้จัดการเป็นคนใจเย็นมาก จนบางครั้งก็กลัวเขาจะไม่เต็มที่เวลาที่ต้องมาคอยเทรนงานให้เรา
เพราะแกจะไม่ค่อยตำหนิเวลาผมไม่เข้าใจ ต้องถามย้ำรอบสองรอบสามอยู่เรื่อย ผมเลยพยายามเรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นหลัก ถ้าไม่ได้จริงๆค่อยถาม
ไหนจะโดนกดดันจากที่บ้าน พ่อ แม่ พี่ ไหนจะลูกค้าที่บางครั้งก็นะ ..... นั่นแหละ
ไหนจะเรื่องคู่แข่ง ไหนจะต้องเข้าไปฟังประชุมต่างๆ ทั้งเล็กยันใหญ่ที่มีแต่คนบนๆ ไหนจะติดต่อลูกค้าจีน ฝรั่ง ปวดหัวสุดก็ไทยนี่แหละ
แล้วไม่ใช่แค่เรื่องงานที่บ้านอย่างเดียวนะ ไหนจะคอนโดที่พ่อมีอีก ตอนนี้เจอปัญหาละ เรื่องแอบแต่งคอนโดแบบไม่บอก ซึ่งไม่เคยปรึกษาเรา
ไหนจะเรื่องที่ดินที่พ่อชอบจัง อสังหาเนี่ย พอขายดีก็หน้าใหญ่ใจโต เกร็งจนแทบจะไม่มีใครอยากจะซื้อ ปวดหัวอะครับบอกตรงๆ
ตอนเครียดก็จะต้องออกกำลังกาย มันก็ลืมเรื่องเครียด ๆ ไปได้สักพัก แต่สักพัก ก็ต้องกลับมานึกถึงเรื่องงานอีก ก็เครียดก็กังวลอีก
ผมจะเป็นแบบนี้ตลอด หลังจากที่กลับมาทำงานกิจการที่บ้าน คือยังไงบอกไม่ถูกเหมือนกันครับ
คงต้องเข้ามาอยู่ในหัวผมละกันถึงจะเข้าใจ จะเครียดก็ทางใจนี่แหละ ห่วยจริงๆ เป็นเด็กนิสัยเสีย เครียดง่าย เพ้อเจ้อ กลัวหน้าจะแก่ก่อนไวจริง ๆ
ผมควรจะจัดการกับความรู้สึกนี้ยังไงดี คุยกับเพื่อน มันก็คือคนวัยเดียวกันอะ สุดท้ายก็พากันออกทะเลซะส่วนใหญ่
ผมเหมือนพวกที่ปากบอกว่า เฮ้ย ไม่เครียดนะ ชิลมาก แต่ปากมันไม่เคยตรงกับใจและความรู้สึกจริงๆเลย
เหมือนถ้าสมมติว่ามีคนถามว่า โอเคมั้ยกับเรื่องความรัก ซึ่งตอนนั้นไม่โอเค แต่บอกคนอื่นว่าไม่มีอะไร
บ่นซะยาวเลย ขอบคุณพื้นที่พันทิปที่ให้ผมได้ระบายความรู้สึกผ่านตัวอักษรครับ
ขอบคุณทุกความคิดเห็นที่เข้ามาให้คำแนะนำล่วงหน้านะครับ