โพลล์ชี้ ปชช.กลัวโควิด-การแก้ปัญหารัฐสุด
https://www.thansettakij.com/content/normal_news/429415
สวนดุสิตโพลเผยผลสำรวจชี้ประชาชนส่วนใหญ่ค่อนข้างวิตกเกี่ยวกับโควิด-19 และกังวลการแก้ปัญหาของรัฐบาลที่สุด แนะรัฐเร่งจำกัดวงระบาด
รายงานข่าวระบุว่า สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 2,970 คน (สำรวจทางออนไลน์) ระหว่างวันที่ 7-10 เม.ย. 2563 เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของประชาชน เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 (COVID-19) ที่แพร่กระจาย โดยสรุปผลได้ดังต่อไปนี้
1. ประชาชนมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 มากน้อยเพียงใด?
อันดับ 1 ค่อนข้างวิตกกังวล 51.35% ,
อันดับ 2 วิตกกังวลมาก 37.95% ,
อันดับ 3 ไม่ค่อยวิตกกังวล 9.25%
และอันดับ 4 ไม่วิตกกังวลเลย1.45%
2. เรื่องที่ประชาชนวิตกกังวลมากที่สุด คือ
อันดับ 1 การแก้ปัญหาของรัฐบาล 87.68% ,
อันดับ 2 การทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ 86.71% ,
อันดับ 3 การติดเชื้อโควิด-19 85.11% ,
อันดับ 4 รายได้ 78.75% ,
อันดับ 5 ค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน 77.14% ,
อันดับ 6 การทำงาน 76.59% ,อันดับ 7 การเดินทาง 76.32% ,
อันดับ 8 การหาซื้ออุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น เจล แมส ทิชชู ฯลฯ 74.32% ,
อันดับ 9 หนี้สิน 73.23%
และอันดับ 10 อาหารการกิน71.64%
3. สิ่งที่ประชาชนอยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ คือ
อันดับ 1 จำกัดวงการระบาดของเชื้อให้เร็วที่สุด 87.10% ,
อันดับ 2 ควบคุมราคาสินค้าอย่างจริงจัง 71.38% ,
อันดับ 3 เร่งตรวจหาเชื้อในวงกว้าง 68.22% ,
อันดับ 4 ลดค่าน้ำค่าไฟ/ใช้น้ำไฟฟรี 65.49% ,
อันดับ 5 พักชำระหนี้ให้ประชาชนทุกกลุ่ม 63.91% ,
อันดับ 6 ให้เงินช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย 59.80% ,
อันดับ 7 จ่ายเงินชดเชยสำหรับการถูกเลิกจ้าง/ว่างงาน 58.25% ,
อันดับ 8 ลดภาษี 45.93% ,
อันดับ 9 มีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำ/ลดอัตราดอกเบี้ย 44.44%
และอันดับ 10 จัดระบบการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใสตรวจสอบได้ 30.88%
(*หมายเหตุ ผู้ตอบสามารถระบุความคิดเห็นได้มากกว่า 1 เรื่อง ค่า%จึงคำนวณในแต่ละข้อ)
4. ประชาชนสามารถช่วยป้องกันและหยุดยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้อย่างไรบ้าง?
อันดับ 1 สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อออกนอกบ้าน 94.58% ,
อันดับ 2 อยู่บ้านให้มากที่สุด 94.41% ,
อันดับ 3 ไม่ไปในสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก 87.84% ,
อันดับ 4 ล้างมือบ่อยๆ 87.57% ,
อันดับ 5 ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง 85.58% ,
อันดับ 6 เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) 85.38%
และอันดับ 7 ไม่เที่ยว/ไม่ร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ 84.88% (*หมายเหตุ ผู้ตอบสามารถระบุความคิดเห็นได้มากกว่า 1 เรื่อง ค่า % จึงคำนวณในแต่ละข้อ)
5. ประชาชนมีความมั่นใจต่อการบริหารจัดการของรัฐบาลในการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 มากน้อยเพียงใด?
อันดับ 1 ไม่ค่อยมั่นใจ 36.09% ,
อันดับ 2 ค่อนข้างมั่นใจ 33.07% ,
อันดับ 3 ไม่มั่นใจเลย 22.66%
และอันดับ 4 มั่นใจมาก 8.18%
***************
กระทู้ผลสำรวจอย่างเป็นทางการ
“ความวิตกกังวล” ของคนไทยเกี่ยวกับการแพร่ระบาดโควิด-19
https://ppantip.com/topic/39798114
'พิชัย' จี้รัฐบาลเลิกนิสัยข่มขู่เพื่อปิดปากคนเห็นต่าง ชี้ต้องปกป้องแหม่มโพธิ์ดำ ห่วงหาก 1.9 ล้านล้านมีทุจริต จะไม่มีใครกล้าเปิดเผย
https://www.matichon.co.th/politics/news_2135241
‘พิชัย’ จี้รัฐบาลเลิกนิสัยข่มขู่เพื่อปิดปากคนเห็นต่าง ชี้ต้องปกป้องแหม่มโพธิ์ดำ ห่วงหาก 1.9 ล้านล้านมีทุจริต จะไม่มีใครกล้าเปิดเผย
นาย
พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า ตามที่ตนได้เตือนพลเอก
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่องการออก พรก. ฉุกเฉิน ว่าอย่านำมาใช้เพื่อจัดการกับผู้ที่เห็นต่าง และรัฐบาลได้ส่งคนออกมาตอบโต้กับตนพร้อมทั้งยืนยันว่าจะไม่ทำอย่างเด็ดขาด แต่ยังไม่ทันไร รัฐบาลกลับส่งอีกคนออกมาข่มขู่ประชาชนโดยห้ามประชาชนโพสต์หมิ่นรัฐบาล มิเช่นนั้นจะโดนดำเนินคดีตามมาตรา 136 มีโทษขั้นสูงจำคุก 1 ปี หรือปรับ 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เท่ากับเป็นการปิดปากประชาชนห้ามวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลใช่หรือไม่ ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐบาลได้บริหารงานผิดพลาดมาโดยตลอด การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเป็นสิทธิของประชาชนที่จะทำได้ตามระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นการข่มขู่ประชาชนจึงไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลควรจะทำ และสวนทางกับที่รัฐบาลได้เคยยืนยันไว้เอง
นอกจากนี้ ยังมีการจะดำเนินคดีกับเพจแหม่มโพธิ์ดำ ทั้งที่เพจนี้เป็นคนเริ่มเปิดเผยการทุจริตและการกักตุนหน้ากากอนามัย แทนที่รัฐบาลจะต้องขอบคุณเพจแหม่มโพธิ์ดำนี้ ที่ช่วยเป็นหูเป็นตาสอดส่องการทุจริตและรัฐบาลควรจะต้องหาผู้กระทำผิดที่ทำให้หน้ากากอนามัย 200 ล้านชิ้นหายไป มาลงโทษ ซึ่งถึงตอนนี้ก็ยังหาผู้กระทำผิดไม่ได้ แต่กลับมาเอาผิดและดำเนินคดีกับเพจแหม่มโพธิ์ดำที่เปิดเผยการทุจริต เหมือนต้องการปิดปากไม่อยากให้มีการเปิดเผยการทุจริต นับเป็นเรื่องที่ประชาชนรับไม่ได้อย่างมาก
อีกทั้ง รมว. พาณิชย์ ยังได้แจ้งความดำเนินคดีกับคนที่เปิดเผยข้อมูลหน้ากากอนามัย 200 ล้านชิ้นที่หายไป โดยยังไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลการส่งออกหน้ากากอนามัยและใบอนุญาตส่งออกหน้ากากอนามัยทั้งหมดตามที่ตนเรียกร้องแต่อย่างใด การอ้างว่าเป็นสิทธิตาม BOI หรือ อ้างลิขสิทธิ์เพื่อส่งออกในภาวะวิกฤตไม่น่าจะใช่เหตุผล เพราะที่ไต้หวันเองก็สั่งห้ามส่งออกหน้ากากอนามัยทั้งหมดตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และล่าสุดสหรัฐก็สั่งห้ามบริษัท 3M ส่งหน้ากากอนามัย N 95 ไปให้ประเทศอื่น นอกจากจะส่งใช้ในประเทศสหรัฐเท่านั้น เป็นต้น ซึ่งถ้าไม่มีการเปิดเผยเอกสารการอนุญาตส่งออกหน้ากากอนามัยออกมา ป่านนี้ก็น่าจะยังคงส่งออกกันอยู่ โดยเป็นห่วงว่าข้าราชการที่นำเอกสารนี้มาให้ตนเปิดเผยจะโดนเล่นงานเช่นกัน
แม้กระทั่งเรื่องการแจก 5,000 บาท ก็มีความพยายามที่จะดำเนินคดีกับผู้ที่เปิดเผยว่ามีคนได้รับทั้งที่มีฐานะดี แต่คนลำบากกลับไม่ได้รับ แทนที่จะไปแก้ไขระบบการจ่ายเงินที่อ้างว่าใช้ Ai กลั่นกรอง แต่กลับมีการแจกเงินอย่างผิดพลาดมาก การที่ประชาชนเปิดเผยอาจจะต้องการชี้ให้เห็นว่าระบบคัดกรองของรัฐบาลที่มีปัญหา ซึ่งรัฐบาลควรจะต้องนำไปปรับปรุงแก้ไขมากกว่าจะปิดปากคนเปิดเผย เพราะมีประชาชนที่ลำบากเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือเพราะระบบคัดกรองของรัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ยังมีการดำเนินคดีกับ สส. พรรคก้าวไกล ที่ออกมาเปิดเผยการบริจาคเงินเข้ามูลนิธิป่ารอยต่อ ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ตนเองก็เคยถามรัฐบาลหลายครั้ง เรื่องข้อมูลที่ได้รับว่า บริษัทญี่ปุ่นหลายบริษัทที่ลงทุนในประเทศไทยถูกบังคับให้บริจาคเงินเข้ามูลนิธิเพื่อนำไปใช้หาเสียง ซึ่งรัฐบาลยังไม่เคยให้คำตอบในเรื่องนี้แต่อย่างใด โดยเรื่องนี้ทำให้นักลงทุนญี่ปุ่นเบื่อหน่ายและไม่อยากมาลงทุนในประเทศไทย
ดังนั้นจะเห็นได้ว่ารัฐบาลยังคงติดนิสัยการปิดปากประชาชนเพื่อปกปิดความผิดพลาดของรัฐบาล ซึ่งเป็นมาตั้งแต่ในอดีต หากจำกันได้ ขนาดนักศึกษาเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ยังถูกจับ คนอยากเลือกตั้งก็โดนฟ้อง เพจ CSI LA เปิดเผยเรื่องนาฬิกาก็โดนฟ้อง ขนาดวิจารณ์เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ก็ยังถูกเรียกปรับทัศนคติและถูกฟ้อง ทั้งที่เศรษฐกิจไทยย่ำแย่มาตลอดตั้งแต่ก่อนมีการระบาดของไวรัสโควิด-19แล้ว เป็นต้น
ดังนั้น รัฐบาลต้องเลิกแนวคิดที่จะปิดปากประชาชน และปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นเหมือนในอดีตได้แล้ว และที่ผ่านมาการปิดกั้นความคิดเห็นกลับทำให้รัฐบาลบริหารงานได้อย่างย่ำแย่ ในหลายกรณีหากไม่มีเสียงท้วงติง รัฐบาลก็ยังคลำหาทางออกไม่เจอ และ เป็นห่วงว่าในอนาคตหากมีเรื่องการทุจริตในการอัดฉีดเงิน 1.9 ล้านล้านบาทที่รัฐบาลจะใช้ฟื้นเศรษฐกิจ ผู้เปิดเผยการทุจริตจะถูกดำเนินคดีอีกหรือไม่ และอาจจะไม่มีใครกล้าเปิดเผยเรื่องทุจริตอีก ทั้งนี้ การที่รัฐบาลใช้เงินจำนวนมหาศาลโอกาสจะเกิดการทุจริตก็เป็นไปได้สูง อีกทั้งอาจจะมีการใช้จ่ายเงินอย่างไม่มีประสิทธิภาพและอาจมีการเอื้อประโยชน์แก่คนบางกลุ่มด้วย
JJNY : โพลล์ชี้ปชช.กลัวโควิด-การแก้ปัญหารัฐสุด/พิชัยจี้เลิกข่มขู่ปิดปาก/ศิโรตม์โพสต์AIป่วน/ติดเชื้อเพิ่ม 33 เสียชีวิต 3
https://www.thansettakij.com/content/normal_news/429415
สวนดุสิตโพลเผยผลสำรวจชี้ประชาชนส่วนใหญ่ค่อนข้างวิตกเกี่ยวกับโควิด-19 และกังวลการแก้ปัญหาของรัฐบาลที่สุด แนะรัฐเร่งจำกัดวงระบาด
รายงานข่าวระบุว่า สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 2,970 คน (สำรวจทางออนไลน์) ระหว่างวันที่ 7-10 เม.ย. 2563 เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของประชาชน เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 (COVID-19) ที่แพร่กระจาย โดยสรุปผลได้ดังต่อไปนี้
1. ประชาชนมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 มากน้อยเพียงใด?
อันดับ 1 ค่อนข้างวิตกกังวล 51.35% ,
อันดับ 2 วิตกกังวลมาก 37.95% ,
อันดับ 3 ไม่ค่อยวิตกกังวล 9.25%
และอันดับ 4 ไม่วิตกกังวลเลย1.45%
2. เรื่องที่ประชาชนวิตกกังวลมากที่สุด คือ
อันดับ 1 การแก้ปัญหาของรัฐบาล 87.68% ,
อันดับ 2 การทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ 86.71% ,
อันดับ 3 การติดเชื้อโควิด-19 85.11% ,
อันดับ 4 รายได้ 78.75% ,
อันดับ 5 ค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน 77.14% ,
อันดับ 6 การทำงาน 76.59% ,อันดับ 7 การเดินทาง 76.32% ,
อันดับ 8 การหาซื้ออุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น เจล แมส ทิชชู ฯลฯ 74.32% ,
อันดับ 9 หนี้สิน 73.23%
และอันดับ 10 อาหารการกิน71.64%
3. สิ่งที่ประชาชนอยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ คือ
อันดับ 1 จำกัดวงการระบาดของเชื้อให้เร็วที่สุด 87.10% ,
อันดับ 2 ควบคุมราคาสินค้าอย่างจริงจัง 71.38% ,
อันดับ 3 เร่งตรวจหาเชื้อในวงกว้าง 68.22% ,
อันดับ 4 ลดค่าน้ำค่าไฟ/ใช้น้ำไฟฟรี 65.49% ,
อันดับ 5 พักชำระหนี้ให้ประชาชนทุกกลุ่ม 63.91% ,
อันดับ 6 ให้เงินช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย 59.80% ,
อันดับ 7 จ่ายเงินชดเชยสำหรับการถูกเลิกจ้าง/ว่างงาน 58.25% ,
อันดับ 8 ลดภาษี 45.93% ,
อันดับ 9 มีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำ/ลดอัตราดอกเบี้ย 44.44%
และอันดับ 10 จัดระบบการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใสตรวจสอบได้ 30.88%
(*หมายเหตุ ผู้ตอบสามารถระบุความคิดเห็นได้มากกว่า 1 เรื่อง ค่า%จึงคำนวณในแต่ละข้อ)
4. ประชาชนสามารถช่วยป้องกันและหยุดยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้อย่างไรบ้าง?
อันดับ 1 สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อออกนอกบ้าน 94.58% ,
อันดับ 2 อยู่บ้านให้มากที่สุด 94.41% ,
อันดับ 3 ไม่ไปในสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก 87.84% ,
อันดับ 4 ล้างมือบ่อยๆ 87.57% ,
อันดับ 5 ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง 85.58% ,
อันดับ 6 เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) 85.38%
และอันดับ 7 ไม่เที่ยว/ไม่ร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ 84.88% (*หมายเหตุ ผู้ตอบสามารถระบุความคิดเห็นได้มากกว่า 1 เรื่อง ค่า % จึงคำนวณในแต่ละข้อ)
5. ประชาชนมีความมั่นใจต่อการบริหารจัดการของรัฐบาลในการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 มากน้อยเพียงใด?
อันดับ 1 ไม่ค่อยมั่นใจ 36.09% ,
อันดับ 2 ค่อนข้างมั่นใจ 33.07% ,
อันดับ 3 ไม่มั่นใจเลย 22.66%
และอันดับ 4 มั่นใจมาก 8.18%
***************
กระทู้ผลสำรวจอย่างเป็นทางการ
“ความวิตกกังวล” ของคนไทยเกี่ยวกับการแพร่ระบาดโควิด-19
https://ppantip.com/topic/39798114
'พิชัย' จี้รัฐบาลเลิกนิสัยข่มขู่เพื่อปิดปากคนเห็นต่าง ชี้ต้องปกป้องแหม่มโพธิ์ดำ ห่วงหาก 1.9 ล้านล้านมีทุจริต จะไม่มีใครกล้าเปิดเผย
https://www.matichon.co.th/politics/news_2135241
‘พิชัย’ จี้รัฐบาลเลิกนิสัยข่มขู่เพื่อปิดปากคนเห็นต่าง ชี้ต้องปกป้องแหม่มโพธิ์ดำ ห่วงหาก 1.9 ล้านล้านมีทุจริต จะไม่มีใครกล้าเปิดเผย
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า ตามที่ตนได้เตือนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่องการออก พรก. ฉุกเฉิน ว่าอย่านำมาใช้เพื่อจัดการกับผู้ที่เห็นต่าง และรัฐบาลได้ส่งคนออกมาตอบโต้กับตนพร้อมทั้งยืนยันว่าจะไม่ทำอย่างเด็ดขาด แต่ยังไม่ทันไร รัฐบาลกลับส่งอีกคนออกมาข่มขู่ประชาชนโดยห้ามประชาชนโพสต์หมิ่นรัฐบาล มิเช่นนั้นจะโดนดำเนินคดีตามมาตรา 136 มีโทษขั้นสูงจำคุก 1 ปี หรือปรับ 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เท่ากับเป็นการปิดปากประชาชนห้ามวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลใช่หรือไม่ ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐบาลได้บริหารงานผิดพลาดมาโดยตลอด การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเป็นสิทธิของประชาชนที่จะทำได้ตามระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นการข่มขู่ประชาชนจึงไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลควรจะทำ และสวนทางกับที่รัฐบาลได้เคยยืนยันไว้เอง
นอกจากนี้ ยังมีการจะดำเนินคดีกับเพจแหม่มโพธิ์ดำ ทั้งที่เพจนี้เป็นคนเริ่มเปิดเผยการทุจริตและการกักตุนหน้ากากอนามัย แทนที่รัฐบาลจะต้องขอบคุณเพจแหม่มโพธิ์ดำนี้ ที่ช่วยเป็นหูเป็นตาสอดส่องการทุจริตและรัฐบาลควรจะต้องหาผู้กระทำผิดที่ทำให้หน้ากากอนามัย 200 ล้านชิ้นหายไป มาลงโทษ ซึ่งถึงตอนนี้ก็ยังหาผู้กระทำผิดไม่ได้ แต่กลับมาเอาผิดและดำเนินคดีกับเพจแหม่มโพธิ์ดำที่เปิดเผยการทุจริต เหมือนต้องการปิดปากไม่อยากให้มีการเปิดเผยการทุจริต นับเป็นเรื่องที่ประชาชนรับไม่ได้อย่างมาก
อีกทั้ง รมว. พาณิชย์ ยังได้แจ้งความดำเนินคดีกับคนที่เปิดเผยข้อมูลหน้ากากอนามัย 200 ล้านชิ้นที่หายไป โดยยังไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลการส่งออกหน้ากากอนามัยและใบอนุญาตส่งออกหน้ากากอนามัยทั้งหมดตามที่ตนเรียกร้องแต่อย่างใด การอ้างว่าเป็นสิทธิตาม BOI หรือ อ้างลิขสิทธิ์เพื่อส่งออกในภาวะวิกฤตไม่น่าจะใช่เหตุผล เพราะที่ไต้หวันเองก็สั่งห้ามส่งออกหน้ากากอนามัยทั้งหมดตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และล่าสุดสหรัฐก็สั่งห้ามบริษัท 3M ส่งหน้ากากอนามัย N 95 ไปให้ประเทศอื่น นอกจากจะส่งใช้ในประเทศสหรัฐเท่านั้น เป็นต้น ซึ่งถ้าไม่มีการเปิดเผยเอกสารการอนุญาตส่งออกหน้ากากอนามัยออกมา ป่านนี้ก็น่าจะยังคงส่งออกกันอยู่ โดยเป็นห่วงว่าข้าราชการที่นำเอกสารนี้มาให้ตนเปิดเผยจะโดนเล่นงานเช่นกัน
แม้กระทั่งเรื่องการแจก 5,000 บาท ก็มีความพยายามที่จะดำเนินคดีกับผู้ที่เปิดเผยว่ามีคนได้รับทั้งที่มีฐานะดี แต่คนลำบากกลับไม่ได้รับ แทนที่จะไปแก้ไขระบบการจ่ายเงินที่อ้างว่าใช้ Ai กลั่นกรอง แต่กลับมีการแจกเงินอย่างผิดพลาดมาก การที่ประชาชนเปิดเผยอาจจะต้องการชี้ให้เห็นว่าระบบคัดกรองของรัฐบาลที่มีปัญหา ซึ่งรัฐบาลควรจะต้องนำไปปรับปรุงแก้ไขมากกว่าจะปิดปากคนเปิดเผย เพราะมีประชาชนที่ลำบากเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือเพราะระบบคัดกรองของรัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ยังมีการดำเนินคดีกับ สส. พรรคก้าวไกล ที่ออกมาเปิดเผยการบริจาคเงินเข้ามูลนิธิป่ารอยต่อ ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ตนเองก็เคยถามรัฐบาลหลายครั้ง เรื่องข้อมูลที่ได้รับว่า บริษัทญี่ปุ่นหลายบริษัทที่ลงทุนในประเทศไทยถูกบังคับให้บริจาคเงินเข้ามูลนิธิเพื่อนำไปใช้หาเสียง ซึ่งรัฐบาลยังไม่เคยให้คำตอบในเรื่องนี้แต่อย่างใด โดยเรื่องนี้ทำให้นักลงทุนญี่ปุ่นเบื่อหน่ายและไม่อยากมาลงทุนในประเทศไทย
ดังนั้นจะเห็นได้ว่ารัฐบาลยังคงติดนิสัยการปิดปากประชาชนเพื่อปกปิดความผิดพลาดของรัฐบาล ซึ่งเป็นมาตั้งแต่ในอดีต หากจำกันได้ ขนาดนักศึกษาเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ยังถูกจับ คนอยากเลือกตั้งก็โดนฟ้อง เพจ CSI LA เปิดเผยเรื่องนาฬิกาก็โดนฟ้อง ขนาดวิจารณ์เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ก็ยังถูกเรียกปรับทัศนคติและถูกฟ้อง ทั้งที่เศรษฐกิจไทยย่ำแย่มาตลอดตั้งแต่ก่อนมีการระบาดของไวรัสโควิด-19แล้ว เป็นต้น
ดังนั้น รัฐบาลต้องเลิกแนวคิดที่จะปิดปากประชาชน และปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นเหมือนในอดีตได้แล้ว และที่ผ่านมาการปิดกั้นความคิดเห็นกลับทำให้รัฐบาลบริหารงานได้อย่างย่ำแย่ ในหลายกรณีหากไม่มีเสียงท้วงติง รัฐบาลก็ยังคลำหาทางออกไม่เจอ และ เป็นห่วงว่าในอนาคตหากมีเรื่องการทุจริตในการอัดฉีดเงิน 1.9 ล้านล้านบาทที่รัฐบาลจะใช้ฟื้นเศรษฐกิจ ผู้เปิดเผยการทุจริตจะถูกดำเนินคดีอีกหรือไม่ และอาจจะไม่มีใครกล้าเปิดเผยเรื่องทุจริตอีก ทั้งนี้ การที่รัฐบาลใช้เงินจำนวนมหาศาลโอกาสจะเกิดการทุจริตก็เป็นไปได้สูง อีกทั้งอาจจะมีการใช้จ่ายเงินอย่างไม่มีประสิทธิภาพและอาจมีการเอื้อประโยชน์แก่คนบางกลุ่มด้วย