.
สงครามหม้อต้มซุปในปี ค.ศ. 1784
เป็นเรื่องราวของเด็กเลี้ยงแกะ
David กับยักษ์ใหญ่ Goliath
ที่เป็นตำนานครั้งยิ่งใหญ่ในอดีต
ระหว่างเรือรบดัชต์เพียงลำเดียวต้องเผชิญหน้ากับ
กองทัพเรือสเปนจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
ที่ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามในยุคนั้น
ทั้งยังตกอยู่ในวงล้อมกองทัพเรือจำนวนมากกว่า
และต้องเตรียมตัวสู้อย่างสิ้นหวังและพ่ายแพ้ในเวลาต่อมา
จากการสู้รบเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ใช้เวลารบน้อยกว่าหนึ่งวัน
มีกระสุนเพียงนัดเดียวที่ถูกยิงฝ่ายตรงข้าม
และมีผู้บาดเจ็บเพียงคนเดียวคือ หม้อต้มซุป
เมื่อ 200 ปีที่แล้ว
สถานการณ์ที่นำไปสู่ความขัดแย้ง
ที่มีเรื่องราวแปลกประหลาดครั้งนี้
ที่บริเวณประเทศแผ่นดินต่ำ (มีที่ลาดต่ำกว่าระดับน้ำทะเล)
ปัจจุบันคือ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียมและลักเซมเบิร์ก
ต่างตกอยู่ภายใต้การปกครองของสเปน
ราชวงศ์ House of Habsburgs
ที่ควบคุมจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
ในปี ค.ศ. 1568 กลุ่มของเจ็ดรัฐดัตช์
ที่ครอบครองทางตอนเหนือของภูมิภาค
ได้ลุกฮือขึ้นประท้วงต่อต้านผู้ปกครองชาวสเปน
หลังจาก 80 ปีแห่งความขัดแย้ง
ทางสเปนก็ยอมจำนนและปล่อยให้
ชาวดัตช์ได้รับอิสรภาพนำมาสู่การจัดตั้งสาธารณรัฐดัตช์
มณฑลทางใต้ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นเบลเยี่ยมและลักเซมเบิร์ก
ยังอยู่ภายใต้การปกครองของสเปน
กว่าศตวรรษที่ผ่านมา
นับตั้งแต่ชาวดัตช์ได้รับเอกราชของตนเอง
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสาธารณรัฐดัตช์กับสเปน
ยังคงอีมครึมและตึงเครียดกันอยู่
สาเหตุของความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างทั้งสองชาติ
คือ แม่น้ำ
Scheldt ซึ่งชาวดัตช์ถูกปิดกั้นไว้ตั้งแต่ปี 1585
ที่ไหลขึ้นจากทางตอนเหนือของฝรั่งเศส
ไหลผ่านมณฑลทางภาคใต้ของสเปน
จากนั้นจึงไหลเข้าสู่สาธารณรัฐดัตช์ ก่อนจะไหลลงทะเลเหนือ
ก่อนชาวดัตช์เข้าควบคุมปากแม่น้ำ
ทางมณฑลทางภาคใต้มีท่าเรือที่เจริญรุ่งเรือง 2 แห่ง
ใน Scheldt ได้แก่
Ghent และ
Antwerp
แต่การปิดปากแม่น้ำ Scheldt
ทำให้เส้นทางการขนส่งการค้าเปลี่ยนแปลงไป
กลายเป็นว่าต้องส่งไปที่ Amsterdam กับ Middelburg
ทำให้เส้นทางการค้าและการค้าขาย
มณฑลทางภาคใต้ต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากอย่างแรง
ในปีค.ศ. 1781
Joseph II จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
ไม่พอใจที่ราชอาณาจักรต้องสูญเสียเงินทองและรายได้
เพราะได้ประโยชน์จากสงคราม Fourth Anglo-Dutch War
ในปีปีค.ศ. 1784
Joseph II จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
จึงสั่งให้ชาวดัชต์ยกเลิกการปิดปากอ่าวแม่น้ำ
เพื่อขจัดอุปสรรคเส้นทางการค้าที่ถูกปิดกั้น
ทั้งยังเรียกร้องขอคืนดินแดน Overmaas กับ States Flanders
แต่ชาวดัตช์ปฏิเสธอีกครั้ง
โดยดัชต์ได้รับการสนับสนุนการต่อสู้จากฝรั่งเศส
ส่วนสเปนได้รับการสนับสนุนการต่อสู้จากอังกฤษ
คู่กัดทางการเมืองและวัฒนธรรมกันอย่างยาวนาน
ทางสเปนจึงได้ส่งเรือรบ 3 ลำ
จาก Antwerp ไปยัง Scheldt เพื่อบังคับให้ดัชต์เปิดปากอ่าวแม่น้ำ
แต่ชาวดัตช์ได้ส่งเรือรบเพียงลำเดียวคือ Dolfijn
เพื่อสกัดกั้นเรือรบของจักรวรรดิสเปน
ทั้งสองฝ่ายได้เผชิญหน้ากันในวันที่ 9 ตุลาคม 1784
ใกล้กับเมือง Saeftinghe ทางตะวันตกเฉียงใต้ของดัชต์
บันทึกเรื่องราวการรบในวันนั้นหายากมาก
แต่เรื่องเล่าที่ได้รับความนิยมกันมากที่สุดคือ
เรือรบ Dolfijn เล็งปืนใหญ่ไปที่เรือธง Le Louis ของศัตรู
ซึ่งเป็นเรือสินค้าและติดธงชัยเฉลิมพล Joseph II
แล้วยิงทำลายหม้อต้มซุปบนดาดฟ้าเรือได้อย่างสมบูรณ์
ผู้บัญชาการเรือรบ Dolfijn รีบยอมแพ้ทันที
มีจดหมายลงวันที่ 9 ตุลาคม 1784
อ้างถึง Benjamin Franklin
สงครามเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้
วันที่ดัชต์ได้แล่นเรือรบ Dolfijn
เพื่อไปขัดขวางเรือรบจักรพรรดิ์
แต่หลังจากยิงกระสุนปืนใหญ่เพียงหนึ่งนัด
ที่โจมตีโดนกาต้มน้ำแกง
เรือรบ Le Louis ก็ยอมจำนนทันที
ในบันทึกรายงานประจำปี 1784-1785
คาดการณ์ว่าเรือรบ Le Louis
จะต้องใช้ปืนใหญ่ถึง 7 กระบอก
จึงจะกำราบเรือรบ Le Louis ได้
วันที่ 30 ตุลาคม 1784
จักรพรรดิ Joseph II ทรงพิโรธมาก
จึงประกาศสงครามกับชาวดัตช์
แม้ว่าชาวดัชต์จะจัดตั้งกองอาสาสมัคร
แต่ก็มีพลไพร่รบจำนวนน้อยกว่ามาก
จักรพรรดิ Joseph II ได้ส่งกองทัพบุกเข้าเมืองดัชต์
ยึดป้อมปราการเก่า Lillo ทางตอนเหนือของเมือง Antwerp
ซี่งในตอนนั้นมีสภาพเป็นสวนผักของชาวเมือง
กองทัพสเปนได้ทำลายเขื่อนหลายแห่ง
ทำให้น้ำท่วมพื้นที่ขนาดใหญ่และมีคนจมน้ำตายหลายคน
ในที่สุดทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะเจรจาสงบศึก
ชาวดัตช์ยังคงควบคุมปากอ่าวแม่น้ำ Scheldt
แต่ต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามหลายล้านฟลอริน(เงินดัตช์)
(ประมาณการว่า 2-10 ล้านเหรียญ) ให้กับ จักรพรรดิ Joseph II
อย่างไรก็ตามชาวดัชต์ควบคุมปากอ่าวแม่น้ำ Scheldt ได้ไม่นานนัก
เพราะต่อมาชาวดัตช์สูญเสียอำนาจเหนือดินแดนให้กับฝรั่งเศส
ปากอ่าวแม่น้ำจึงเปิดเพื่อการพาณิชย์ได้ตามเดิมในปี 1792
เรียบเรียง/ที่มา
https://bit.ly/2WNIHYd
https://bit.ly/39gczPl
Joseph II, initiator of the Kettle War
"View of Antwerp with the frozen Scheldt" (1590) by Lucas van Valckenborch.
The Scheldt at Antwerp, photochrom, ca. 1890-1900
.
เรื่องเล่าไร้สาระ
สเปนเคยตกเป็นเมืองขึ้นของพวกอาหรับ
และเป็นทำลายล้างอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์อีกแห่ง
ผู้นำศาสนาคริสต์นิกายออร์ทอดอกซ์
ส่วนอีกแห่งอยู่ที่กรุงโรม ผู้นำศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิค
จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 11 พาลาโอโลกอส
คือ ผู้ปกครองพระองค์สุดท้าย
ก่อนที่นครรัฐแห่งนี้จะล่มสลายลง
พระองค์ได้ส่งสมบัติและหนังสือจำนวนมากไปที่รัสเซีย
และมีการนำไปเก็บรักษาไว้ที่ห้องลับแห่งหนึ่ง
จนทุกวันนี้ยังไม่พบห้องลับแห่งนี้ในรัสเซีย
เพราะธิดาของพระองค์ได้อภิเษกสมรสกับ
เป็นหลานของอีวานที่ 3 ที่มีความดุเดือดเหี้ยมโหดจนเป็นตำนาน
การที่สเปนเคยเป็นอาณานิคมของพวกอาหรับ
ทำให้มีการผสมผสานกลมกลืนในหลายด้าน
ทั้งรูปร่างหน้าตานิสัยใจคอของชาวสเปน
ที่มีอารมณ์รุนแรงแบบพวกอาหรับ
และมีเล่ห์เหลี่ยมแบบคนเคยเป็นทาส/ผู้ใต้ปกครอง
เพื่อการอยู่รอดภายใต้กฎเหล็ก ดาบและภาษี ของพวกอาหรับ
.
ในปีค.ศ. 711 ชาวแอฟริกาเหนือซึ่งเป็นชาวมุสลิม (ชาวมัวร์)
เริ่มเข้ามามีอำนาจ ในที่สุดอาณาจักรอิสลาม
ก็ได้รับการสถาปนาขึ้นบนคาบสมุทรแห่งนี้
และยืนหยัดได้เป็นเวลาประมาณ 750 ปี
พื้นที่ที่ชาวมุสลิมครอบครองนั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อ
อัลอันดะลุสแต่ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ยังเป็นช่วงที่เรียกว่า
เรกองกิสตาหรือการยึดดินแดนคืนของชาวคริสต์ซึ่งค่อย ๆ รุกลงไปทางใต้
เหตุการณ์เหล่านี้ดำเนินไปถึงจุดสิ้นสุด
เมื่อชาวคริสต์สามารถพิชิตที่มั่นแห่งสุดท้าย
ของชาวมุสลิมที่กรานาดาได้ในปี ค.ศ. 1492
อัลอันดะลุสกับอาณาจักรคริสเตียนในปีค.ศ.1000 ในรัชสมัยของอัลมันศูร
สเปนเคยมีสงครามกลางเมืองที่ดุเดือนเลือดพล่าน
มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันอย่างดุเดือด
ที่ฝ่ายขวาจัดนิยมฟาสซิสต์ที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์
หลังจากนำพวกฝ่ายขวาจัดมีชัยชนะเด็ดขาดในสงครามกลางเมือง
แบบฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวสเปนร่วมชาติ
ที่นิยมฝ่ายซ้ายสังคมนิยมเป็นจำนวนมาก
หรือใครก็ตามที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแนวร่วม
หนี้เลือดของลูกหลานฝ่ายซ้ายที่ถูกฆ่าตาย
จึงไม่ยอมจบสิ้นง่าย ๆ มีการจองเวรจองกรรม
หลังจากพรรคนิยมสังคมนิยมชนะการเลือกตั้งในสเปน
เพราะไม่นิยมชมชอบผู้นำเผด็จการที่โหดเหี้ยม
ฟรานซิสโก ฟรังโก ปกครองแบบผู้นำเผด็จการอย่างยาวนาน
และตอบแทนพลพรรคนาซีเยอรมัน
ให้เป็นแดนสวรรค์ในซุกซ่อนสมบัติและเงินทอง
และเป็นแหล่งหลบซ่อนตัวพวกนาซีเยอรมัน
ก่อนดำเนินการเอกสารปลอมต่าง ๆ
เพื่อหลบหนีไปอยู่แถวละตินอเมริกาในภายหลัง
.
ผู้นำเผด็จการโปรตุเกสร่วมยุคกับผู้นำเผด็จการสเปน
ความเลวร้ายของผู้นำรายนี้มีมากเหลือคณานับ
จนมีชื่อในหนังสือ Harry Porter ว่า
เป็นหนึ่งในสี่ของผู้ก่อตั้งโรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มด
และเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ มีความสามารถในพูดภาษาพาร์เซลได้
สัญลักษณ์ของบ้านสลิธีรินคือ งู และเป็นบรรพบุรุษของลอร์ดโวลเดอมอร์
เพราะมีช่วงหนึ่ง เจ. เค. โรว์ลิง ผู้แต่งนวนิยายเรื่องนี้
ได้แต่งงานกับคนโปรตุเกสและไปทำงานที่นั่น
คงจะได้ยินเรื่องราวฉาวโฉ่/ชั่วร้ายของผู้นำรายนี้
ตายแล้วยังสืบทอดอำนาจให้กับสมุนบริวารอีก
ที่ทหารนำประชาธิปไตยให้ประชาชน
หลังจากอยู่ใต้อำนาจเผด็จการถึง 41 ปี
สงครามหม้อต้มซุป
เป็นเรื่องราวของเด็กเลี้ยงแกะ David กับยักษ์ใหญ่ Goliath
ที่เป็นตำนานครั้งยิ่งใหญ่ในอดีต
ระหว่างเรือรบดัชต์เพียงลำเดียวต้องเผชิญหน้ากับ
กองทัพเรือสเปนจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
ที่ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามในยุคนั้น
ทั้งยังตกอยู่ในวงล้อมกองทัพเรือจำนวนมากกว่า
และต้องเตรียมตัวสู้อย่างสิ้นหวังและพ่ายแพ้ในเวลาต่อมา
จากการสู้รบเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ใช้เวลารบน้อยกว่าหนึ่งวัน
มีกระสุนเพียงนัดเดียวที่ถูกยิงฝ่ายตรงข้าม
และมีผู้บาดเจ็บเพียงคนเดียวคือ หม้อต้มซุป
เมื่อ 200 ปีที่แล้ว
สถานการณ์ที่นำไปสู่ความขัดแย้ง
ที่มีเรื่องราวแปลกประหลาดครั้งนี้
ที่บริเวณประเทศแผ่นดินต่ำ (มีที่ลาดต่ำกว่าระดับน้ำทะเล)
ปัจจุบันคือ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียมและลักเซมเบิร์ก
ต่างตกอยู่ภายใต้การปกครองของสเปน
ราชวงศ์ House of Habsburgs
ที่ควบคุมจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
ในปี ค.ศ. 1568 กลุ่มของเจ็ดรัฐดัตช์
ที่ครอบครองทางตอนเหนือของภูมิภาค
ได้ลุกฮือขึ้นประท้วงต่อต้านผู้ปกครองชาวสเปน
หลังจาก 80 ปีแห่งความขัดแย้ง
ทางสเปนก็ยอมจำนนและปล่อยให้
ชาวดัตช์ได้รับอิสรภาพนำมาสู่การจัดตั้งสาธารณรัฐดัตช์
มณฑลทางใต้ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นเบลเยี่ยมและลักเซมเบิร์ก
ยังอยู่ภายใต้การปกครองของสเปน
กว่าศตวรรษที่ผ่านมา
นับตั้งแต่ชาวดัตช์ได้รับเอกราชของตนเอง
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสาธารณรัฐดัตช์กับสเปน
ยังคงอีมครึมและตึงเครียดกันอยู่
สาเหตุของความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างทั้งสองชาติ
คือ แม่น้ำ Scheldt ซึ่งชาวดัตช์ถูกปิดกั้นไว้ตั้งแต่ปี 1585
ที่ไหลขึ้นจากทางตอนเหนือของฝรั่งเศส
ไหลผ่านมณฑลทางภาคใต้ของสเปน
จากนั้นจึงไหลเข้าสู่สาธารณรัฐดัตช์ ก่อนจะไหลลงทะเลเหนือ
ก่อนชาวดัตช์เข้าควบคุมปากแม่น้ำ
ทางมณฑลทางภาคใต้มีท่าเรือที่เจริญรุ่งเรือง 2 แห่ง
ใน Scheldt ได้แก่ Ghent และ Antwerp
แต่การปิดปากแม่น้ำ Scheldt
ทำให้เส้นทางการขนส่งการค้าเปลี่ยนแปลงไป
กลายเป็นว่าต้องส่งไปที่ Amsterdam กับ Middelburg
ทำให้เส้นทางการค้าและการค้าขาย
มณฑลทางภาคใต้ต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากอย่างแรง
ในปีค.ศ. 1781
Joseph II จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
ไม่พอใจที่ราชอาณาจักรต้องสูญเสียเงินทองและรายได้
เพราะได้ประโยชน์จากสงคราม Fourth Anglo-Dutch War
ในปีปีค.ศ. 1784
Joseph II จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
จึงสั่งให้ชาวดัชต์ยกเลิกการปิดปากอ่าวแม่น้ำ
เพื่อขจัดอุปสรรคเส้นทางการค้าที่ถูกปิดกั้น
ทั้งยังเรียกร้องขอคืนดินแดน Overmaas กับ States Flanders
แต่ชาวดัตช์ปฏิเสธอีกครั้ง
โดยดัชต์ได้รับการสนับสนุนการต่อสู้จากฝรั่งเศส
ส่วนสเปนได้รับการสนับสนุนการต่อสู้จากอังกฤษ
คู่กัดทางการเมืองและวัฒนธรรมกันอย่างยาวนาน
ทางสเปนจึงได้ส่งเรือรบ 3 ลำ
จาก Antwerp ไปยัง Scheldt เพื่อบังคับให้ดัชต์เปิดปากอ่าวแม่น้ำ
แต่ชาวดัตช์ได้ส่งเรือรบเพียงลำเดียวคือ Dolfijn
เพื่อสกัดกั้นเรือรบของจักรวรรดิสเปน
ทั้งสองฝ่ายได้เผชิญหน้ากันในวันที่ 9 ตุลาคม 1784
ใกล้กับเมือง Saeftinghe ทางตะวันตกเฉียงใต้ของดัชต์
บันทึกเรื่องราวการรบในวันนั้นหายากมาก
แต่เรื่องเล่าที่ได้รับความนิยมกันมากที่สุดคือ
เรือรบ Dolfijn เล็งปืนใหญ่ไปที่เรือธง Le Louis ของศัตรู
ซึ่งเป็นเรือสินค้าและติดธงชัยเฉลิมพล Joseph II
แล้วยิงทำลายหม้อต้มซุปบนดาดฟ้าเรือได้อย่างสมบูรณ์
ผู้บัญชาการเรือรบ Dolfijn รีบยอมแพ้ทันที
มีจดหมายลงวันที่ 9 ตุลาคม 1784
อ้างถึง Benjamin Franklin
สงครามเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้
วันที่ดัชต์ได้แล่นเรือรบ Dolfijn
เพื่อไปขัดขวางเรือรบจักรพรรดิ์
แต่หลังจากยิงกระสุนปืนใหญ่เพียงหนึ่งนัด
ที่โจมตีโดนกาต้มน้ำแกง
เรือรบ Le Louis ก็ยอมจำนนทันที
ในบันทึกรายงานประจำปี 1784-1785
คาดการณ์ว่าเรือรบ Le Louis
จะต้องใช้ปืนใหญ่ถึง 7 กระบอก
จึงจะกำราบเรือรบ Le Louis ได้
วันที่ 30 ตุลาคม 1784
จักรพรรดิ Joseph II ทรงพิโรธมาก
จึงประกาศสงครามกับชาวดัตช์
แม้ว่าชาวดัชต์จะจัดตั้งกองอาสาสมัคร
แต่ก็มีพลไพร่รบจำนวนน้อยกว่ามาก
จักรพรรดิ Joseph II ได้ส่งกองทัพบุกเข้าเมืองดัชต์
ยึดป้อมปราการเก่า Lillo ทางตอนเหนือของเมือง Antwerp
ซี่งในตอนนั้นมีสภาพเป็นสวนผักของชาวเมือง
กองทัพสเปนได้ทำลายเขื่อนหลายแห่ง
ทำให้น้ำท่วมพื้นที่ขนาดใหญ่และมีคนจมน้ำตายหลายคน
ในที่สุดทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะเจรจาสงบศึก
ชาวดัตช์ยังคงควบคุมปากอ่าวแม่น้ำ Scheldt
แต่ต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามหลายล้านฟลอริน(เงินดัตช์)
(ประมาณการว่า 2-10 ล้านเหรียญ) ให้กับ จักรพรรดิ Joseph II
อย่างไรก็ตามชาวดัชต์ควบคุมปากอ่าวแม่น้ำ Scheldt ได้ไม่นานนัก
เพราะต่อมาชาวดัตช์สูญเสียอำนาจเหนือดินแดนให้กับฝรั่งเศส
ปากอ่าวแม่น้ำจึงเปิดเพื่อการพาณิชย์ได้ตามเดิมในปี 1792
เรียบเรียง/ที่มา
https://bit.ly/2WNIHYd
https://bit.ly/39gczPl
ครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลก
หลังจากอยู่ใต้อำนาจเผด็จการถึง 41 ปี