ในสถานการณ์ ณ เวลานี้ เหมือนเรากำลังก้าวเดินช้ากว่าไวรัส 1 ก้าวอยู่ตลอดเวลา ภาครัฐก็กล้าๆ กลัวๆ ที่จะออกมาตรการ กลัวกระทบโน่น นี่ นั่นไปหมด สิ่งที่รัฐควรจะทำ และทำทันที คือ
มาตรการควบคุมการแพร่กระจาย และป้องกันผู้ติดเชื้อเพิ่ม เป็นอันดับแรก จากนั้นก็ตามด้วยมาตรการตรวจหา คัดแยกผู้ติดเชื้อ รักษา เยียวยา ให้เป็นขั้นตอนไป
ให้สันนิษฐานว่า "ทุกคนมีเชื้อไวรัส"
- การตั้ง Mindset เพื่อแก้ปัญหา ต้องตั้งให้ถูก ต้องตั้งให้ตรงจุด เพื่อจบปัญหาให้ยั่งยืน การตั้ง Mindset ไม่เหมือนกัน การแก้ปัญหา การปฏิบัติ ก็จะต่างกัน แน่นอน ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะต่างกัน
มีหลายคนพยายามบอกให้ปิดประเทศ ปิดไปเลย เพื่อป้องกันเชื้อไวรัส จริงๆ แล้วประเทศไม่ได้ติดไวรัส คนต่างหากที่ติดไวรัส ซึ่งถ้าปิดจริงๆ เราจะต้องปิดนานเท่าไหร่ ? เพราะไม่มีใครรู้เลยว่า
อีกนานเท่าไหร่ปัญหานี้จึงจะจบ การปิดประเทศคุณต้องปิดก่อนที่เชื้อจะเข้ามา ก่อนที่คนในประเทศจะติดเชื้อ จึงจะได้ผล ซึ่งเป็นที่น่าเสียดาย ตอนนี้เราเลยเวลานั้นมาแล้ว ปิดประเทศไม่ทันแล้ว เพราะเรามีคนในประเทศติดเชื้อ และแพร่กระจายเรียบร้อยแล้ว ปิดไปก็เหมือนขัง
"คนติดเชื้อ" ไว้กับ
"คนไม่ติดเชื้อ" รวมกันนั่นแหละ ไม่มีประโยชน์
- ปิดตัวเองคืออะไร ?
ปิดตัวเองก็คือการปิดกั้นตัวเองจากเชื้อไวรัส ถ้าใครนึกไม่ออก ก็ให้นึกถึงคุณหมอ พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติการกับผู้ป่วยขณะปฏิบัติงาน คือจะสวมหน้ากาก ถุงมือ อะไรประมาณนั้น ซึ่งคงไม่ต้องให้ประชาชนสวมชุดจัดเต็มแบบคุณหมอหรอก แต่ให้ปฏิบัติตัวในแนวป้องกันแบบที่คุณหมอ พยาบาล เขาทำกัน จะเห็นได้จากหมอ พยาบาล ติดเชื้อน้อยมาก ทั้งที่อยู่ใกล้ชิดกับไวรัสมากที่สุด
ทีนี้เรามาสันนิษฐานว่า ไวรัสโควิด-19 การติดต่อ แพร่กระจาย ก็น่าจะคล้ายๆ โรคหวัด คือ
- จากลมหายใจ
- จากการสัมผัส
- จากการได้รับสารคัดหลั่งผู้ติดเชื้อ
- ฯลฯ
การแก้ปัญหาทุกอย่าง ต้องแก้ที่ต้นเหตุ จึงจะได้ผลที่ยั่งยืน เหมือนที่เราคุ้นเคยกับคำว่า "กันไว้ดีกว่าแก้ ถ้ามันแย่ แล้วจะแก้ไม่ทัน" นั่นแหละ
เมื่อเราพอจะรู้คร่าวๆ ว่าการติดต่อมาจากสาเหตุอะไร เราก็เริ่มปฏิบัติการที่ต้นเหตุนั้น ๆ จึงจะได้ผล ไม่ใช่เดินตามหลังไวรัส 1 ก้าว อยู่ตลอดเวลา
สิ่งที่รัฐจะต้องทำก็คือ ออกกฎหมายระยะสั้นๆ (14-15 วัน ต่อได้)
(ถ้ารัฐไม่ออกกฎหมาย เริ่มปฏิบัติการที่ตัวเราเองได้ทันที)
1. ออกกฎหมายให้ประชาชนปิดกั้นตัวเองทันที
- สวมหน้ากากอนามัยทุกคน เมื่ออยู่ใกล้ชิดกันในระยะน้อยกว่า 1 เมตร (อาจจะมีรางวัลให้ผู้แจ้ง เพื่อให้ประชาชนช่วยสอดส่องดูแลกันเอง)
- สวมถุงมือนอกเคหะสถาน (เมื่ออยู่นอกบ้าน หรือห้องนอนต้วเอง)
- ให้ทุกคนต้องมี และต้องใช้ ภาชนะที่ใช้ กิน - ดื่ม เช่น ช้อน-ส้อม ตะเกียบ แก้วน้ำ ฯลฯ ส่วนตัว
นี่จะเป็นปฏิบัติการควบคุมและป้องกันการแพร่กระจาย เป็นอันดับแรกที่จะต้องทำ และทำได้ทันที ไม่ต้องใช้งบประมาณมากมายมหาศาล
หลายคนอาจจะบอกว่าหน้ากากอนามัยเราไม่พอ ไม่ป่วย ไม่ต้องใช้ เป็น Mindset ที่ผิดมหันต์ เป็นการเดินตามหลังไวรัส ช้ากว่าไวรัส 1 ก้าวตลอด
สำหรับหน้ากากอนามัย ประชาชนมีแค่ 1-2 อันก็พอเพียง แล้วใช้วิธีทำซองผ้าสวมหน้ากากอนามัยอีกที เวลาซักก็ซักเฉพาะซองผ้าที่สวมตัวหน้ากากอนามัย ซึ่งวิธีนี้พอแน่นอน
อาจจะไม่สะดวก สบาย หรืออึดอัดบ้าง แต่ก็เป็นเพียงระยะสั้น ๆ เพื่อให้ชีวิตรอดปลอดภัย งานการ ธุรกิจ กิจวัตรประจำวันเราก็ยังทำได้
เพราะการปิดประเทศ ปิดสถานที่ จะไม่สามารถปิดไปตลอดนานๆได้ อาจจะไม่สะดวก สบายบ้างก็ชั่งมันเถอะ เพื่อจบปัญหาก็ต้องยอมทน ซึ่งเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ
การออกกฎหมาย ให้ปฏิบัติพร้อมกันทุกคนไม่มียกเว้น จะเห็นผลมากที่สุด
จากนั้นควรมีมาตรการ ตรวจหา - แยกผู้ติดเชื้อ - รักษา - เยียวยา เป๊นลำดับ...
อย่าลืมว่า ประเทศที่เจริญ ๆ ที่พัฒนาแล้ว ระบบสาธารณะสุข เครื่องไม้เครื่องมือดีกว่า เหนือชั้นกว่าเราเยอะ ยังเอาไม่อยู่
รัฐควรออกกฎหมาย ให้ประชาชนต้อง "ปิดตัวเอง" ทันที
ให้สันนิษฐานว่า "ทุกคนมีเชื้อไวรัส"
- การตั้ง Mindset เพื่อแก้ปัญหา ต้องตั้งให้ถูก ต้องตั้งให้ตรงจุด เพื่อจบปัญหาให้ยั่งยืน การตั้ง Mindset ไม่เหมือนกัน การแก้ปัญหา การปฏิบัติ ก็จะต่างกัน แน่นอน ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะต่างกัน
มีหลายคนพยายามบอกให้ปิดประเทศ ปิดไปเลย เพื่อป้องกันเชื้อไวรัส จริงๆ แล้วประเทศไม่ได้ติดไวรัส คนต่างหากที่ติดไวรัส ซึ่งถ้าปิดจริงๆ เราจะต้องปิดนานเท่าไหร่ ? เพราะไม่มีใครรู้เลยว่า อีกนานเท่าไหร่ปัญหานี้จึงจะจบ การปิดประเทศคุณต้องปิดก่อนที่เชื้อจะเข้ามา ก่อนที่คนในประเทศจะติดเชื้อ จึงจะได้ผล ซึ่งเป็นที่น่าเสียดาย ตอนนี้เราเลยเวลานั้นมาแล้ว ปิดประเทศไม่ทันแล้ว เพราะเรามีคนในประเทศติดเชื้อ และแพร่กระจายเรียบร้อยแล้ว ปิดไปก็เหมือนขัง "คนติดเชื้อ" ไว้กับ "คนไม่ติดเชื้อ" รวมกันนั่นแหละ ไม่มีประโยชน์
- ปิดตัวเองคืออะไร ?
ปิดตัวเองก็คือการปิดกั้นตัวเองจากเชื้อไวรัส ถ้าใครนึกไม่ออก ก็ให้นึกถึงคุณหมอ พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติการกับผู้ป่วยขณะปฏิบัติงาน คือจะสวมหน้ากาก ถุงมือ อะไรประมาณนั้น ซึ่งคงไม่ต้องให้ประชาชนสวมชุดจัดเต็มแบบคุณหมอหรอก แต่ให้ปฏิบัติตัวในแนวป้องกันแบบที่คุณหมอ พยาบาล เขาทำกัน จะเห็นได้จากหมอ พยาบาล ติดเชื้อน้อยมาก ทั้งที่อยู่ใกล้ชิดกับไวรัสมากที่สุด
ทีนี้เรามาสันนิษฐานว่า ไวรัสโควิด-19 การติดต่อ แพร่กระจาย ก็น่าจะคล้ายๆ โรคหวัด คือ
- จากลมหายใจ
- จากการสัมผัส
- จากการได้รับสารคัดหลั่งผู้ติดเชื้อ
- ฯลฯ
การแก้ปัญหาทุกอย่าง ต้องแก้ที่ต้นเหตุ จึงจะได้ผลที่ยั่งยืน เหมือนที่เราคุ้นเคยกับคำว่า "กันไว้ดีกว่าแก้ ถ้ามันแย่ แล้วจะแก้ไม่ทัน" นั่นแหละ
เมื่อเราพอจะรู้คร่าวๆ ว่าการติดต่อมาจากสาเหตุอะไร เราก็เริ่มปฏิบัติการที่ต้นเหตุนั้น ๆ จึงจะได้ผล ไม่ใช่เดินตามหลังไวรัส 1 ก้าว อยู่ตลอดเวลา
สิ่งที่รัฐจะต้องทำก็คือ ออกกฎหมายระยะสั้นๆ (14-15 วัน ต่อได้)
(ถ้ารัฐไม่ออกกฎหมาย เริ่มปฏิบัติการที่ตัวเราเองได้ทันที)
1. ออกกฎหมายให้ประชาชนปิดกั้นตัวเองทันที
- สวมหน้ากากอนามัยทุกคน เมื่ออยู่ใกล้ชิดกันในระยะน้อยกว่า 1 เมตร (อาจจะมีรางวัลให้ผู้แจ้ง เพื่อให้ประชาชนช่วยสอดส่องดูแลกันเอง)
- สวมถุงมือนอกเคหะสถาน (เมื่ออยู่นอกบ้าน หรือห้องนอนต้วเอง)
- ให้ทุกคนต้องมี และต้องใช้ ภาชนะที่ใช้ กิน - ดื่ม เช่น ช้อน-ส้อม ตะเกียบ แก้วน้ำ ฯลฯ ส่วนตัว
นี่จะเป็นปฏิบัติการควบคุมและป้องกันการแพร่กระจาย เป็นอันดับแรกที่จะต้องทำ และทำได้ทันที ไม่ต้องใช้งบประมาณมากมายมหาศาล
หลายคนอาจจะบอกว่าหน้ากากอนามัยเราไม่พอ ไม่ป่วย ไม่ต้องใช้ เป็น Mindset ที่ผิดมหันต์ เป็นการเดินตามหลังไวรัส ช้ากว่าไวรัส 1 ก้าวตลอด
สำหรับหน้ากากอนามัย ประชาชนมีแค่ 1-2 อันก็พอเพียง แล้วใช้วิธีทำซองผ้าสวมหน้ากากอนามัยอีกที เวลาซักก็ซักเฉพาะซองผ้าที่สวมตัวหน้ากากอนามัย ซึ่งวิธีนี้พอแน่นอน
อาจจะไม่สะดวก สบาย หรืออึดอัดบ้าง แต่ก็เป็นเพียงระยะสั้น ๆ เพื่อให้ชีวิตรอดปลอดภัย งานการ ธุรกิจ กิจวัตรประจำวันเราก็ยังทำได้ เพราะการปิดประเทศ ปิดสถานที่ จะไม่สามารถปิดไปตลอดนานๆได้ อาจจะไม่สะดวก สบายบ้างก็ชั่งมันเถอะ เพื่อจบปัญหาก็ต้องยอมทน ซึ่งเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ
การออกกฎหมาย ให้ปฏิบัติพร้อมกันทุกคนไม่มียกเว้น จะเห็นผลมากที่สุด
จากนั้นควรมีมาตรการ ตรวจหา - แยกผู้ติดเชื้อ - รักษา - เยียวยา เป๊นลำดับ...
อย่าลืมว่า ประเทศที่เจริญ ๆ ที่พัฒนาแล้ว ระบบสาธารณะสุข เครื่องไม้เครื่องมือดีกว่า เหนือชั้นกว่าเราเยอะ ยังเอาไม่อยู่