เป็นประจำทุกๆปีที่วอร์เรน บัฟเฟตต์จะเขียนจดหมายถึงผู้ถือหุ้นเพื่อแจ้งผลประกอบการณ์ กลยุทธ์การลงทุน แผนงานในอนาคต และที่สำคัญอย่างยิ่งคือแนวคิดการลงทุนที่เปรียบเสมือนเป็นคลังความรู้จากปรมาจารย์การลงทุนแบบเน้นคุณค่าที่เก่งที่สุดในโลก ให้นักลงทุนได้ประยุกต์และนำไปใช้งานจริง
ผมขอสรุปเน้นๆ 10 ข้อให้นักลงทุนทุกท่านดังนี้ (อีก 5 ข้ออยู่ในตอนต่อไป)
1.ราคาหุ้นของ Berkshire Hathaway (BRK) สร้างผลตอบแทนในปี 2019 ได้ 11% ในขณะที่ S&P 500 (รวมปันผล) ทำได้ 31.5% อย่างไรก็ตามถ้าดูกันยาวๆตั้งแต่ทำการสรุปมาในปี 1965 หรือ 55 ปีที่ผ่านมา BRK สร้างผลตอบแทน 20.3% ต่อปีหรือรวมทั้งหมด 2,744,062% ส่วน S&P 500 ทำได้เพียง 10% ต่อปีหรือทั้งหมด 19,784% ต่างกันถึง 130 เท่า
ในปี 2019 ทาง BRK สามารถสร้างกำไรสุทธิได้ $81,400 ล้าน โดยประกอบไปด้วย 1)กำไรจากการดำเนินงาน (Operating Income) $24,000 พันล้าน ซึ่งลดลง 3% จากปี 2018 2) กำไรจากส่วนต่างทางบัญชีของหุ้นที่ถือ (Unrealized Gain) ทั้งหมด $53,700 ล้าน 3) กำไรจากการขายหุ้นบันทึกเป็นกำไร $3,700 ล้าน
ความคิดเห็นของทั้งวอร์เรน บัฟเฟตต์ (WB) และชาร์ลี มังเจอร์ (CM) คือทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับระบบบัญชีแบบใหม่ที่ออกมาในปี 2018 ที่ให้นำมูลค่าลงทุนในสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงมาคิดผลกำไรด้วย ทั้งคู่บอกว่าตัวเลขไม่ได้สะท้อนแก่นแท้ของธุรกิจจริงๆเท่ากับกำไรจากการดำเนินงาน
WB บอกว่าด้วยมาตรฐานบัญชีใหม่ทำให้กำไรเหวี่ยงมากดังนี้
ปี 2018 มีการขาดทุนทางบัญชีของหุ้นที่ถือสูงถึง $20,600 ล้านเนื่องจากสภาวะตลาดไม่ดีในปีนั้น ทำให้กำไรเหลือเพียง $4,000 ล้าน
ในขณะที่ปี 2019 มีกำไรดังกล่าวสูงถึง $53,700 ล้าน จึงทำให้กำไรสูงถึง $81,400 ล้าน หรือเพิ่มขึ้น 1,900% จากปี 2018
โดยสรุปทั้ง WB และ CM ให้ดูที่กำไรจากดำเนินงานดีกว่า
2.WB แนะนำหนังสือ Common Stocks as Long Term Investments เขียนโดย Edgar Lawrence Smith ที่สอนเรื่อง The Power of Retained Earnings เป็นหนังสือที่เปลี่ยนโลกการลงทุนทุกวันนี้
บริษัทดีๆมักไม่คืนกำไรให้ผู้ถือหุ้นในรูปของเงินปันผลมากเกินไปหรือทั้งหมดเลย แต่บริษัทจะให้พลังของกำไรสะสมในการต่อยอด ลงทุนเพื่อสร้างอนาคตให้บริษัทมากกว่า
ที่ BRK ในช่วงสิบปีที่ผ่านมามีการตัดค่าเสื่อมของบริษัทไปทั้งหมด $65,000 ล้านหรือเกือบ 2 ล้านล้านบาทจากงบการลงทุนทั้งหมด (Capital Expenditure) กว่า $121,000 ล้าน
การที่ตอนนี้บริษัทมีเงินสดสูงถีง $128,000 ล้าน WB และ CM ก็ยังไม่รีบตัดสินใจลงทุน หลักการที่จะลงทุนครั้งใหญ่คือการเลือกบริษัทที่ 1)มีผลตอบแทนที่ดีต่อเงินลงทุนที่ต้องการในการดำเนินธุรกิจ 2)ผู้บริหารที่เก่งและซื่อสัตย์
3.บริษัทที่ BRK ถือหุ้นเกิน 50% กำไรของบริษัทเหล่านั้นจะรวมเข้ากับกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทโดยตรง
อย่างไรก็ตามในส่วนของบริษัทที่ BRK ถือไม่ถึง 50% จะได้รับเงินปันผล และสิ่งที่ WB คาดหวังได้อีกอย่างคือการเติบโตของราคาหุ้น เพื่อเป็นกำไรตอน BRK ขาย บริษัทเหล่านี้แข็งแกร่งและมีกำไรสะสมที่มากพอที่จะสร้างมูลค่าให้บริษัทเติบโตได้ BRK ถือหุ้นของบริษัทมากสุด 10 อันดับดังนี้
American Express ถืออยู่ 18.7%
Apple ถืออยู่ 5.7%
Bank of America ถืออยู่ 10.7%
Bank of New York Mellon ถืออยู่ 9.0%
Coca-Cola ถืออยู่ 9.3%
Delta Airlines ถืออยู่ 11.0%
J.P Morgan Chase ถืออยู่ 1.9%
Moody’s ถืออยู่ 13.1%
U.S Bancorp ถืออยู่ 9.7%
Well Fargo ถืออยู่ 8.4%
BRK ได้เงินปันผลมากถึง $3,798 ล้านจาก 10 บริษัทเหล่านี้
4.WB มองการซื้อธุรกิจ (Acquisitions) เหมือนการแต่งงานที่มักเริ่มต้นด้วยการจับมือและความปิติยินดี แต่หลังจากอยู่ด้วยกันแล้ว ก็แล้วแต่ธุรกิจ มีทั้งดีและไม่ดี การเป็นผู้จัดการบริหารเงินทุนที่ดี ต้องมีความสามารถในการเลือกบริษัทดีในการลงทุน
ตอนนี้ BRK มีบริษัทลูกดีๆหลายแห่ง แต่ที่โดดเด่นมากๆคือธุรกิจประกันภัยที่ได้เงินสดมาก่อนแล้วสามารถนำเงินมาต่อยอดลงทุนได้ อีกธุรกิจคือ BNSF ธุรกิจรถไฟ และ Berkshire Hathaway Energy (HHE) ธุรกิจไฟฟ้าจากพลังงานทางเลือก ที่สร้างผลกำไรได้ $8,300 ล้านเพิ่มขึ้น 6% จากปี 2018
โดยรวมของธุรกิจที่ไม่ใช่ประกันของ BRK สร้างกำไรได้ $17,700 ล้าน เติบโต 3% จากปี 2018 ที่ทำได้ $17,200 ล้าน
5.ทั้ง WB และ CM ต่างไม่สามารถคาดการณ์อนาคตของตลาดหุ้นและแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยในอนาคตได้ แต่ทั้งสองท่านยืนยันตรงกันว่า ถ้าดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำไปตลอดในอีกหลายสิบปีข้างหน้า หุ้นจะให้ผลตอบแทนดีกว่าทั้งพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ระยะยาวแน่นอน
6.วอร์เรน บัฟเฟตต์ (WB) คิดว่าการเติบโตของบริษัทในอเมริกายังคงเป็นแรงหนุน (Tail Wind) ที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ แม้ว่าจะเผชิญปัญหารอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า ความไม่แน่นอนของอัตราดอกเบี้ย โรคระบาดและปัจจัยลบอื่นๆ ซึ่งอาจจะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงไป 50% หรือมากกว่าได้
นักลงทุนที่อยู่รอดได้คือนักลงทุนหุ้นระยะยาวที่ไม่ได้ยืมเงินมาลงทุน และที่สำคัญที่สุดคือการควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดี ไม่ตื่นตระหนก ถ้าทำไม่ได้ในช่วงที่ตลาดผันผวน ให้ระวังมากๆ
7.พูดถึงอนาคต WB บอกว่าหุ้น Berkshire Hathaway (BRK) Class A ที่ถืออยู่ 99% ของความมั่งคั่งตนเอง จะมีคนบริหารจัดการตอนแกไม่อยู่แล้ว โดยจะดูเวลาที่เหมาะสมเพื่อแปลงสภาพมาเป็น Class B สภาพคล่องมากกว่า และกระจายไปสู่มูลนิธิต่างๆ รวมทั้งมูลนิธิของบิล เกตส์ด้วย
โดย WB คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 12-15 ปีเพื่อกระจายไปในหน่วยงานทั้งหมด เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ถือหุ้นในปัจจุบัน
8.ทั้ง WB และ CM จะซื้อหุ้นคืนก็ต่อเมื่อ 1)ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสม 2)มีเงินสดเหลือพอ จริงๆการคำนวณมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมมีความยากอยู่ ทั้งสองท่านจึงไม่ซื้อหุ้นคืนถ้าราคาหุ้นถูกกว่าราคาที่เหมาะสมแค่ 5% เท่านั้น เช่น ราคา $1 แต่ซื้อขายกันที่ 95 เซ็นต์ อย่างไรก็ตามปีที่แล้วราคาตำ่กว่ามูลค่าที่เหมาะสมมาก ทำให้ซื้อหุ้นคืนไป $5,000 ล้านหรือ 1% ของหุ้นที่มีทั้งหมด
WB ยังท้าทายอีกด้วยว่าถ้าผู้ถือหุ้นคนใดมีหุ้น BRK ทั้ง Class A และ B เกิน $20 ล้าน แล้วอยากขายหุ้นทิ้ง สามารถติดต่อได้ที่ Berkshire’s Mark Millard เบอร์ 402-346-1400 บอกกันขนาดนี้ ใครจะกล้าขาย
9.ในปีนี้การประชุมผู้ถือหุ้นจะจัดขึ้นในวันที่ 2 พฤษภาคม 2020 และจะเป็นครั้งแรกที่ทั้ง Ajit Jain ที่เป็นคนสำคัญบริหารธุรกิจประกัน และนาย Greg Abel ที่บริหารธุรกิจในส่วนที่เหลือ ขึ้นเวทีกับทั้ง วอร์เรน บัฟเฟตต์ (WB) และชาร์ลี มังเกอร์ (CM) ในฐานะนักลงทุน พวกเราคงต้องรีบไปเข้าร่วมเพราะทั้งคู่เริ่มจะให้ตัวแทนปรากฎตัวออกสื่อแล้ว
10.วอร์เรน บัฟเฟตต์ (WB) อยากให้ผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway (BRK) ภูมิใจที่ได้มีส่วนคืนภาษีให้สังคมอเมริกันในปี 2019 กว่า $3,600 ล้าน คิดเป็น 1.5% ของภาษีทั้งหมดที่บริษัทในอเมริกาจ่าย $243,000 ล้าน เทียบกับเมื่อ 50 ปีที่แล้วที่ BRK ยังดิ้นรนต่อสู้เพื่อสร้างกำไร และไม่ได้เสียภาษีในตอนนั้น
โดยสรุปจดหมายในปีนี้ WB และ CM เริ่มมองผู้สืบทอดตำแหน่งและเริ่มให้ออกสื่อเพื่อสื่อสารกับนักลงทุนในการประชุมผู้ถือหุ้นปีนี้
ในส่วนของการลงทุนท่านทั้งสองสอนพวกเราเสมอให้ลงทุนในบริษัทที่ดี ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสม และที่สำคัญที่สุดคืออย่าสนใจต่อปัจจัยลบในระยะสั้น ให้มองการเติบโตของบริษัทในระยะยาว ท่านเน้นการบริหารจัดการอารมณ์ที่ดีอีกด้วย
เรียนรู้จากบุคคลทั้งสองช่วยให้ผมเป็นนักลงทุนที่ดีขึ้น และเป็นต้นแบบให้เรียนรู้ไปตลอดชีวิตครับ
บทสรุปจากจดหมายถึงผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway ประจำปี 2020 - By Billionaire VI
ผมขอสรุปเน้นๆ 10 ข้อให้นักลงทุนทุกท่านดังนี้ (อีก 5 ข้ออยู่ในตอนต่อไป)
1.ราคาหุ้นของ Berkshire Hathaway (BRK) สร้างผลตอบแทนในปี 2019 ได้ 11% ในขณะที่ S&P 500 (รวมปันผล) ทำได้ 31.5% อย่างไรก็ตามถ้าดูกันยาวๆตั้งแต่ทำการสรุปมาในปี 1965 หรือ 55 ปีที่ผ่านมา BRK สร้างผลตอบแทน 20.3% ต่อปีหรือรวมทั้งหมด 2,744,062% ส่วน S&P 500 ทำได้เพียง 10% ต่อปีหรือทั้งหมด 19,784% ต่างกันถึง 130 เท่า
ในปี 2019 ทาง BRK สามารถสร้างกำไรสุทธิได้ $81,400 ล้าน โดยประกอบไปด้วย 1)กำไรจากการดำเนินงาน (Operating Income) $24,000 พันล้าน ซึ่งลดลง 3% จากปี 2018 2) กำไรจากส่วนต่างทางบัญชีของหุ้นที่ถือ (Unrealized Gain) ทั้งหมด $53,700 ล้าน 3) กำไรจากการขายหุ้นบันทึกเป็นกำไร $3,700 ล้าน
ความคิดเห็นของทั้งวอร์เรน บัฟเฟตต์ (WB) และชาร์ลี มังเจอร์ (CM) คือทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับระบบบัญชีแบบใหม่ที่ออกมาในปี 2018 ที่ให้นำมูลค่าลงทุนในสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงมาคิดผลกำไรด้วย ทั้งคู่บอกว่าตัวเลขไม่ได้สะท้อนแก่นแท้ของธุรกิจจริงๆเท่ากับกำไรจากการดำเนินงาน
WB บอกว่าด้วยมาตรฐานบัญชีใหม่ทำให้กำไรเหวี่ยงมากดังนี้
ปี 2018 มีการขาดทุนทางบัญชีของหุ้นที่ถือสูงถึง $20,600 ล้านเนื่องจากสภาวะตลาดไม่ดีในปีนั้น ทำให้กำไรเหลือเพียง $4,000 ล้าน
ในขณะที่ปี 2019 มีกำไรดังกล่าวสูงถึง $53,700 ล้าน จึงทำให้กำไรสูงถึง $81,400 ล้าน หรือเพิ่มขึ้น 1,900% จากปี 2018
โดยสรุปทั้ง WB และ CM ให้ดูที่กำไรจากดำเนินงานดีกว่า
2.WB แนะนำหนังสือ Common Stocks as Long Term Investments เขียนโดย Edgar Lawrence Smith ที่สอนเรื่อง The Power of Retained Earnings เป็นหนังสือที่เปลี่ยนโลกการลงทุนทุกวันนี้
บริษัทดีๆมักไม่คืนกำไรให้ผู้ถือหุ้นในรูปของเงินปันผลมากเกินไปหรือทั้งหมดเลย แต่บริษัทจะให้พลังของกำไรสะสมในการต่อยอด ลงทุนเพื่อสร้างอนาคตให้บริษัทมากกว่า
ที่ BRK ในช่วงสิบปีที่ผ่านมามีการตัดค่าเสื่อมของบริษัทไปทั้งหมด $65,000 ล้านหรือเกือบ 2 ล้านล้านบาทจากงบการลงทุนทั้งหมด (Capital Expenditure) กว่า $121,000 ล้าน
การที่ตอนนี้บริษัทมีเงินสดสูงถีง $128,000 ล้าน WB และ CM ก็ยังไม่รีบตัดสินใจลงทุน หลักการที่จะลงทุนครั้งใหญ่คือการเลือกบริษัทที่ 1)มีผลตอบแทนที่ดีต่อเงินลงทุนที่ต้องการในการดำเนินธุรกิจ 2)ผู้บริหารที่เก่งและซื่อสัตย์
3.บริษัทที่ BRK ถือหุ้นเกิน 50% กำไรของบริษัทเหล่านั้นจะรวมเข้ากับกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทโดยตรง
อย่างไรก็ตามในส่วนของบริษัทที่ BRK ถือไม่ถึง 50% จะได้รับเงินปันผล และสิ่งที่ WB คาดหวังได้อีกอย่างคือการเติบโตของราคาหุ้น เพื่อเป็นกำไรตอน BRK ขาย บริษัทเหล่านี้แข็งแกร่งและมีกำไรสะสมที่มากพอที่จะสร้างมูลค่าให้บริษัทเติบโตได้ BRK ถือหุ้นของบริษัทมากสุด 10 อันดับดังนี้
American Express ถืออยู่ 18.7%
Apple ถืออยู่ 5.7%
Bank of America ถืออยู่ 10.7%
Bank of New York Mellon ถืออยู่ 9.0%
Coca-Cola ถืออยู่ 9.3%
Delta Airlines ถืออยู่ 11.0%
J.P Morgan Chase ถืออยู่ 1.9%
Moody’s ถืออยู่ 13.1%
U.S Bancorp ถืออยู่ 9.7%
Well Fargo ถืออยู่ 8.4%
BRK ได้เงินปันผลมากถึง $3,798 ล้านจาก 10 บริษัทเหล่านี้
4.WB มองการซื้อธุรกิจ (Acquisitions) เหมือนการแต่งงานที่มักเริ่มต้นด้วยการจับมือและความปิติยินดี แต่หลังจากอยู่ด้วยกันแล้ว ก็แล้วแต่ธุรกิจ มีทั้งดีและไม่ดี การเป็นผู้จัดการบริหารเงินทุนที่ดี ต้องมีความสามารถในการเลือกบริษัทดีในการลงทุน
ตอนนี้ BRK มีบริษัทลูกดีๆหลายแห่ง แต่ที่โดดเด่นมากๆคือธุรกิจประกันภัยที่ได้เงินสดมาก่อนแล้วสามารถนำเงินมาต่อยอดลงทุนได้ อีกธุรกิจคือ BNSF ธุรกิจรถไฟ และ Berkshire Hathaway Energy (HHE) ธุรกิจไฟฟ้าจากพลังงานทางเลือก ที่สร้างผลกำไรได้ $8,300 ล้านเพิ่มขึ้น 6% จากปี 2018
โดยรวมของธุรกิจที่ไม่ใช่ประกันของ BRK สร้างกำไรได้ $17,700 ล้าน เติบโต 3% จากปี 2018 ที่ทำได้ $17,200 ล้าน
5.ทั้ง WB และ CM ต่างไม่สามารถคาดการณ์อนาคตของตลาดหุ้นและแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยในอนาคตได้ แต่ทั้งสองท่านยืนยันตรงกันว่า ถ้าดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำไปตลอดในอีกหลายสิบปีข้างหน้า หุ้นจะให้ผลตอบแทนดีกว่าทั้งพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ระยะยาวแน่นอน
6.วอร์เรน บัฟเฟตต์ (WB) คิดว่าการเติบโตของบริษัทในอเมริกายังคงเป็นแรงหนุน (Tail Wind) ที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ แม้ว่าจะเผชิญปัญหารอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า ความไม่แน่นอนของอัตราดอกเบี้ย โรคระบาดและปัจจัยลบอื่นๆ ซึ่งอาจจะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงไป 50% หรือมากกว่าได้
นักลงทุนที่อยู่รอดได้คือนักลงทุนหุ้นระยะยาวที่ไม่ได้ยืมเงินมาลงทุน และที่สำคัญที่สุดคือการควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดี ไม่ตื่นตระหนก ถ้าทำไม่ได้ในช่วงที่ตลาดผันผวน ให้ระวังมากๆ
7.พูดถึงอนาคต WB บอกว่าหุ้น Berkshire Hathaway (BRK) Class A ที่ถืออยู่ 99% ของความมั่งคั่งตนเอง จะมีคนบริหารจัดการตอนแกไม่อยู่แล้ว โดยจะดูเวลาที่เหมาะสมเพื่อแปลงสภาพมาเป็น Class B สภาพคล่องมากกว่า และกระจายไปสู่มูลนิธิต่างๆ รวมทั้งมูลนิธิของบิล เกตส์ด้วย
โดย WB คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 12-15 ปีเพื่อกระจายไปในหน่วยงานทั้งหมด เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ถือหุ้นในปัจจุบัน
8.ทั้ง WB และ CM จะซื้อหุ้นคืนก็ต่อเมื่อ 1)ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสม 2)มีเงินสดเหลือพอ จริงๆการคำนวณมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมมีความยากอยู่ ทั้งสองท่านจึงไม่ซื้อหุ้นคืนถ้าราคาหุ้นถูกกว่าราคาที่เหมาะสมแค่ 5% เท่านั้น เช่น ราคา $1 แต่ซื้อขายกันที่ 95 เซ็นต์ อย่างไรก็ตามปีที่แล้วราคาตำ่กว่ามูลค่าที่เหมาะสมมาก ทำให้ซื้อหุ้นคืนไป $5,000 ล้านหรือ 1% ของหุ้นที่มีทั้งหมด
WB ยังท้าทายอีกด้วยว่าถ้าผู้ถือหุ้นคนใดมีหุ้น BRK ทั้ง Class A และ B เกิน $20 ล้าน แล้วอยากขายหุ้นทิ้ง สามารถติดต่อได้ที่ Berkshire’s Mark Millard เบอร์ 402-346-1400 บอกกันขนาดนี้ ใครจะกล้าขาย
9.ในปีนี้การประชุมผู้ถือหุ้นจะจัดขึ้นในวันที่ 2 พฤษภาคม 2020 และจะเป็นครั้งแรกที่ทั้ง Ajit Jain ที่เป็นคนสำคัญบริหารธุรกิจประกัน และนาย Greg Abel ที่บริหารธุรกิจในส่วนที่เหลือ ขึ้นเวทีกับทั้ง วอร์เรน บัฟเฟตต์ (WB) และชาร์ลี มังเกอร์ (CM) ในฐานะนักลงทุน พวกเราคงต้องรีบไปเข้าร่วมเพราะทั้งคู่เริ่มจะให้ตัวแทนปรากฎตัวออกสื่อแล้ว
10.วอร์เรน บัฟเฟตต์ (WB) อยากให้ผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway (BRK) ภูมิใจที่ได้มีส่วนคืนภาษีให้สังคมอเมริกันในปี 2019 กว่า $3,600 ล้าน คิดเป็น 1.5% ของภาษีทั้งหมดที่บริษัทในอเมริกาจ่าย $243,000 ล้าน เทียบกับเมื่อ 50 ปีที่แล้วที่ BRK ยังดิ้นรนต่อสู้เพื่อสร้างกำไร และไม่ได้เสียภาษีในตอนนั้น
โดยสรุปจดหมายในปีนี้ WB และ CM เริ่มมองผู้สืบทอดตำแหน่งและเริ่มให้ออกสื่อเพื่อสื่อสารกับนักลงทุนในการประชุมผู้ถือหุ้นปีนี้
ในส่วนของการลงทุนท่านทั้งสองสอนพวกเราเสมอให้ลงทุนในบริษัทที่ดี ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสม และที่สำคัญที่สุดคืออย่าสนใจต่อปัจจัยลบในระยะสั้น ให้มองการเติบโตของบริษัทในระยะยาว ท่านเน้นการบริหารจัดการอารมณ์ที่ดีอีกด้วย
เรียนรู้จากบุคคลทั้งสองช่วยให้ผมเป็นนักลงทุนที่ดีขึ้น และเป็นต้นแบบให้เรียนรู้ไปตลอดชีวิตครับ