จุดเริ่มต้นของการล่มสลายชนพิ้นเมืองสหรัฐอเมริกา
ที่เขต Southwest U.S. จากการตั้งถิ่นฐานผู้อพยพ / ผู้สอนศาสนาคริสต์ ในปี 1620
ผลการศึกษาพบว่า การแพร่ระบาดของเชื้อโรค ความรุนแรง
และความอดอยากข้าวยากหมากแพง กวาดล้างผู้คนในชุมชนนานหลายสิบปี
.
งานวิจัยชิ้นใหม่จาก Harvard University มีข้อบ่งชี้ว่า
จำนวนประชากรพื้นเมืองสหรัฐอเมริกาลดลงอย่างมากหลังจากปี 1620
เรื่องราวนี้สอดคล้องกับการจัดตั้งคริสตจักรผู้สอนศาสนาในสหรัฐอเมริกาเขตตะวันตกเฉียงใต้
การลดลงของจำนวนประชากรจำนวนมาก ทำให้ป่าไม้เดิมฟื้นฟู และทำให้เกิดไฟป่า
ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรปได้นำโรคติดต่อ ซึ่งมีหลายประเภทมาก เช่น ไข้ทรพิษ โรคหัด โรคไข้หวัดใหญ่
กาฬโรค โรคคอตีบ โรคไข้รากสาดใหญ่ อหิวาตกโรค โรคไข้อีดำอีแดง โรคไข้เหลือง และโรคไอกรน
มีชาวยุโรปอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในสหรัฐอเมริกาหลายเชื้อชาติมาก
ชุดแรกเป็นพวกอังกฤษที่อดอยากจนต้องกินพวกเดียวกัน
คนอังกฤษผู้อพยพรุ่นแรกไปอเมริกากินเนื้อคนเพื่อกันตาย
โดยทะยอย ๆ เข้ามาหลายเชื้อชาติ ที่เข้ามามากที่สุดคือ เชื้อชาติเยอรมัน
ชาวเยอรมันต้องการเสรีภาพศาสนาและที่ดินทำกินของตนเอง
หลีกหนีจากระบบศักดินาสวามิภักดิ์ในประเทศที่ไม่ค่อยมีสงครามในยุคนั้น
ชาวไอริชหลีกหนี
ทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ในไอร์แลนด์ ช่วง 1845 -1852
เพราะอาหารขาดแคลน กับทนการกดขี่ขูดรีดของศักดินา/ศาสนาคริสต์ไม่ไหว
นำไปสู่การแยกประเทศเป็นสองประเทศในเวลาต่อมา
ผู้อพยพออกจากไอร์แลนด์
ครอบครัวชาวไอริชที่ถูกไล่ที่ ราว ค.ศ. 1879
.
หมายเหตุ
การอพยพเข้ามาของคนยุโรป จะมีนายทุนยิวที่ตั้งหลักที่อังกฤษ
มีเครือข่ายติดต่อกันถึงเยอรมัน อิตาลี ไอร์แลนด์ ในการปล่อยเงินกู้
เป็นผู้สนับสนุนทางการเงินและให้เงินกู้ผ่านหัวหน้าแก้งลูกวัว
ในการนำชาวเยอรมัน/ชาวยุโรปเข้าไปตั้งรกรากที่สหรัฐอเมริกา
แล้วค่อยหักหนี้ชดใช้หนี้คืนผ่านหัวหน้าแก้งลูกวัว
ทำให้ชนชาติเหล่านี้ต้องรู้ภาษาอังกฤษ เพื่อป้องกันหัวหน้าแก้งโกง
รวมทั้งในตอนนั้น ต้องทำการค้ากับอังกฤษในการนำสินค้าเข้าประเภทต่าง ๆ
ความจำเป็นที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษจึงมีมาก
แล้วสืบต่อไปจนรุ่นลูกหลานต่างก็เรียนรู้ภาษาอังกฤษแทนภาษาเยอรมัน
และยิ่งหลังจากเยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1
ความแปลกแยกและชาติบรรพบุรุษแพ้สงคราม
จึงใช้ภาษาอังกฤษแทนภาษาเยอรมันในที่สุด
(แก้งลูกแพะ พวกแขก เช่น ปากีสถาน โรฮิงญา แก้งลูกหมู คนจีน)
.
จากการติดตามการทำลายล้างชาวอเมริกันพื้นเมือง
ในสหรัฐอเมริกาภาคตะวันตกเฉียงใต้
คือ ความพยายามเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในปี 1620
และชาวยุโรปคืบคลานเข้าไปตั้งรกรากในสหรัฐอเมริกา
ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า คลื่นของโรคระบาด
สร้างความรุนแรงและความอดอยากที่ตามมา
ได้กวาดล้างชุมชนชาวพื้นเมืองที่อยู่ใกล้เคียงเพียงไม่กี่ทศวรรษ
ผลการวิจัยพบว่าในชุมชน Pueblo จำนวน 18 แห่งที่สำรวจ
ประชากรจากประมาณ 6,500 คนลดลงเหลือน้อยกว่า 900 ในเวลาเพียง 60 ปี
นักวิจัยได้เชื่อมโยงเรื่องนี้กับการตั้งโบสถ์คริสตจักรของผู้สอนศาสนาในปี 1620
เพราะผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรปเดินทางมาถึงสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน
ผู้คนเหล่านี้ก็นำพาโรคร้ายต่าง ๆ มาให้กับคนพื้นเมืองที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน
ชนพื้นเมืองจึงพบกับความรุนแรงจากโรคภัยไข้เจ็บ
การรุกรานพื้นที่ทำกิน และความอดอยากอันเป็นผลมาจากการตั้งถิ่นฐานของชาวยุโรป
จากเดิมป่าไม้ ทุ่งหญ้า สัตว์ป่าเป็นของธรรมชาติ เป็นของทุกคน
กลายเป็นที่ดินจับจองของคนบางคน ห้ามชนพื้นเมืองเข้าไปทำประโยชน์
และเมื่อคนพื้นเมืองได้รับความเดือดร้อนจากเรื่องนี้
สภาพแวดล้อมในท้องถิ่นก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
การลดประชากรพื้นเมืองครั้งแรก ส่งผลให้เกิดไฟป่าย่อย ๆ เพิ่มขึ้น
เพราะไม่มีคนคอยควบคุมไฟป่า และพื้นที่ป่าไม้เพิ่มขึ้นเพราะคนน้อยลง
แต่ในที่สุดภูมิภาคแถวนี้ ก็แสดงให้เห็นว่ามีการกักเก็บ
CO2 จากการปลูกป่าในท้ายที่สุด
มีการอ้างกันอย่างแพร่หลายว่า โรคที่เกิดขึ้น
มีขึ้นหลังจากที่
Christopher Columbus เดินทางมาถึง New World ในปี 1492
แต่ผลการศึกษาล่าสุดได้เสนอว่า การลดลงของ
CO2 ครั้งนั้นน่าทึ่งมาก
เพราะมันเปลี่ยนบรรยากาศของโลก และขยายอากาศเย็นไปทั่วโลก
เพราะประชากรพื้นเมืองเหล่านี้ไม่ได้เผาป่า เพื่อทำการเกษตรอีกต่อไป
ถึงเผาก็ไม่มีผล เพราะจำนวนชนพื้นเมืองน้อยมาก เพราะตายไปมากแล้ว
ในการศึกษาที่ตีพิมพ์ในรายงานของ National Academy of Sciences
ผลการวิจัยใหม่ชี้ให้เห็นว่า การมาของ Christopher Columbus
ทำให้ความเป็นไปได้ของสถานการณ์เหล่านี้ในสหรัฐอเมริกาไม่ถูกต้อง
แต่ในพื้นที่ละตินอเมริกามีผลมากหลังจากชาวสเปนยึดพื้นที่ชนพื้นเมือง
เพื่อค้นหาคำตอบจากทฤษฎีที่ขัดแย้งกันหลายแห่ง
นักวิจัยจาก Harvard University University of Arizona
และ Southern Methodist University ใน Dallas
ได้ร่วมกันตรวจสอบข้อมูลทางโบราณคดี
และวงปีของต้นไม้ในเขตชุมชน Jemez ของ New Mexico
นักวิจัยยังใช้การตรวจจับแสงในอากาศและข้อมูล (
LiDAR)
เพื่อถ่ายภาพภูมิทัศน์โดยละเอียด และพัฒนาการประมาณประชากร
เพื่อประเมินปริมาณการสูญเสียในระดับภูมิภาคใน
ทวีปอเมริกาเหนือ
มีประชากรชาวพื้นเมืองประมาณว่าอยู่ระหว่าง
2-18 ล้านคน
ในช่วงเวลาที่ Columbus Columbus เดินทางมาถึง
ในตอนท้ายของศตวรรษที่ 19 จำนวนประชากรพื้นเมือง
ลดลงไปเหลือประมาณ 530,000 คน
นักวิจัยใช้ข้อมูลจาก LiDAR รวบรวมรายละเอียดจากภาพภูมิทัศน์
แล้วพัฒนาวิธีการประมาณการจำนวนประชากรที่หายไปจากเขตพื้นที่วิจัย
ผลการวิจัยของ Liebmann ยืนยันว่า ในชุมชน Pueblo จำนวน 18 แห่ง ที่ทำการวิจัย
ประชากรลดลงจากราว ๆ 6,500 คน เหลือน้อยกว่า 900 คนในช่วง 60 ปี
.
Matthew Liebmann ผู้วิจัยร่วมกับ Joshua Farella และ
Thomas Swetnam จาก University of Arizona และ
Christopher Roos จาก Southern Methodist University
" ในชุมชน Jemez pueblos ที่ New Mexico
ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ มีการพบกันครั้งแรก
ระหว่างชนพื้นเมืองกับชาวยุโรป เริ่มต้นมีขึ้นในปี 1539
เราพบว่า โรคภัยไข้เจ็บยังไม่มีผลจนกระทั่งหลังปี 1620
เพราะมีการลดลงของประชากรอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 1620 ถึง 1680
อัตราการตายพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ชนพื้นเมืองราว 87% ตายในเวลาอันสั้น
ลองคิดดูว่า มันจะหมายถึงอย่างไร ถ้าคุณมีห้องที่เต็มไปด้วยผู้คน
และ 9 ใน 10 คนเสียชีวิต ลองคิดถึงสิ่งที่มีความหมายต่อโครงสร้างทางสังคม
พวกชนพื้นเมืองจะสูญเสียคนที่รู้จักยาแผนโบราณ ผู้นำทางสังคม
ผู้นำทางจิตวิญญาณและศาสนาของพวกเขา(ชนพื้นเมือง)
ให้นึกถึงผลกระทบอันใหญ่หลวง ที่มีต่อวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของพวกเขา "
(ไร้คนรู้ ไร้คนสืบทอด กลายเป็นไม่มีใครรู้อะไรบ้างเลย )
ไฟป่าขนาดย่อม ๆ เริ่มต้นมีมากในช่วงเวลานี้
เมื่อคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเหล่านี้
พวกเขาต้องการไม้ทำบ้านพัก
ใช้ไม้ทำความร้อนและปรุงอาหาร
นอกจากนี้พวกเขาต้องต้ดไม้โค่นป่า
ให้มีที่ดินทำกินเพื่อการเกษตร
เมื่อต้นไม้หักโค่น/ตายลงไม่เจริญเติบโต
มีหลักฐานแหล่งโบราณคดีเหล่านี้อยู่
แต่เมื่อคนตายลง ป่าก็เริ่มต้นงอกใหม่และเจริญเติบโต
และเราเริ่มที่จะเห็นไฟไหม้ป่าครั้งย่อย ๆ มากขึ้น "
โรคติดต่อชาวยุโรปได้ฆ่าชนพื้นเมืองสหรัฐอเมริกานับล้านคน
จำนวนประชากรพื้นเมืองสหรัฐอเมริกาลดลงอย่างมากหลังจากปี 1620
เรื่องราวนี้สอดคล้องกับการจัดตั้งคริสตจักรผู้สอนศาสนาในสหรัฐอเมริกาเขตตะวันตกเฉียงใต้
การลดลงของจำนวนประชากรจำนวนมาก ทำให้ป่าไม้เดิมฟื้นฟู และทำให้เกิดไฟป่า
ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรปได้นำโรคติดต่อ ซึ่งมีหลายประเภทมาก เช่น ไข้ทรพิษ โรคหัด โรคไข้หวัดใหญ่
กาฬโรค โรคคอตีบ โรคไข้รากสาดใหญ่ อหิวาตกโรค โรคไข้อีดำอีแดง โรคไข้เหลือง และโรคไอกรน
มีชาวยุโรปอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในสหรัฐอเมริกาหลายเชื้อชาติมาก
ชุดแรกเป็นพวกอังกฤษที่อดอยากจนต้องกินพวกเดียวกัน
คนอังกฤษผู้อพยพรุ่นแรกไปอเมริกากินเนื้อคนเพื่อกันตาย
โดยทะยอย ๆ เข้ามาหลายเชื้อชาติ ที่เข้ามามากที่สุดคือ เชื้อชาติเยอรมัน
หลีกหนีจากระบบศักดินาสวามิภักดิ์ในประเทศที่ไม่ค่อยมีสงครามในยุคนั้น
ชาวไอริชหลีกหนี ทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ในไอร์แลนด์ ช่วง 1845 -1852
เพราะอาหารขาดแคลน กับทนการกดขี่ขูดรีดของศักดินา/ศาสนาคริสต์ไม่ไหว
นำไปสู่การแยกประเทศเป็นสองประเทศในเวลาต่อมา
การอพยพเข้ามาของคนยุโรป จะมีนายทุนยิวที่ตั้งหลักที่อังกฤษ
มีเครือข่ายติดต่อกันถึงเยอรมัน อิตาลี ไอร์แลนด์ ในการปล่อยเงินกู้
เป็นผู้สนับสนุนทางการเงินและให้เงินกู้ผ่านหัวหน้าแก้งลูกวัว
ในการนำชาวเยอรมัน/ชาวยุโรปเข้าไปตั้งรกรากที่สหรัฐอเมริกา
แล้วค่อยหักหนี้ชดใช้หนี้คืนผ่านหัวหน้าแก้งลูกวัว
ทำให้ชนชาติเหล่านี้ต้องรู้ภาษาอังกฤษ เพื่อป้องกันหัวหน้าแก้งโกง
รวมทั้งในตอนนั้น ต้องทำการค้ากับอังกฤษในการนำสินค้าเข้าประเภทต่าง ๆ
ความจำเป็นที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษจึงมีมาก
แล้วสืบต่อไปจนรุ่นลูกหลานต่างก็เรียนรู้ภาษาอังกฤษแทนภาษาเยอรมัน
และยิ่งหลังจากเยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1
ความแปลกแยกและชาติบรรพบุรุษแพ้สงคราม
จึงใช้ภาษาอังกฤษแทนภาษาเยอรมันในที่สุด
(แก้งลูกแพะ พวกแขก เช่น ปากีสถาน โรฮิงญา แก้งลูกหมู คนจีน)
ในสหรัฐอเมริกาภาคตะวันตกเฉียงใต้
คือ ความพยายามเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในปี 1620
และชาวยุโรปคืบคลานเข้าไปตั้งรกรากในสหรัฐอเมริกา
ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า คลื่นของโรคระบาด
สร้างความรุนแรงและความอดอยากที่ตามมา
ได้กวาดล้างชุมชนชาวพื้นเมืองที่อยู่ใกล้เคียงเพียงไม่กี่ทศวรรษ
ผลการวิจัยพบว่าในชุมชน Pueblo จำนวน 18 แห่งที่สำรวจ
ประชากรจากประมาณ 6,500 คนลดลงเหลือน้อยกว่า 900 ในเวลาเพียง 60 ปี
นักวิจัยได้เชื่อมโยงเรื่องนี้กับการตั้งโบสถ์คริสตจักรของผู้สอนศาสนาในปี 1620
เพราะผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรปเดินทางมาถึงสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน
ผู้คนเหล่านี้ก็นำพาโรคร้ายต่าง ๆ มาให้กับคนพื้นเมืองที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน
ชนพื้นเมืองจึงพบกับความรุนแรงจากโรคภัยไข้เจ็บ
การรุกรานพื้นที่ทำกิน และความอดอยากอันเป็นผลมาจากการตั้งถิ่นฐานของชาวยุโรป
จากเดิมป่าไม้ ทุ่งหญ้า สัตว์ป่าเป็นของธรรมชาติ เป็นของทุกคน
กลายเป็นที่ดินจับจองของคนบางคน ห้ามชนพื้นเมืองเข้าไปทำประโยชน์
และเมื่อคนพื้นเมืองได้รับความเดือดร้อนจากเรื่องนี้
สภาพแวดล้อมในท้องถิ่นก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
การลดประชากรพื้นเมืองครั้งแรก ส่งผลให้เกิดไฟป่าย่อย ๆ เพิ่มขึ้น
เพราะไม่มีคนคอยควบคุมไฟป่า และพื้นที่ป่าไม้เพิ่มขึ้นเพราะคนน้อยลง
แต่ในที่สุดภูมิภาคแถวนี้ ก็แสดงให้เห็นว่ามีการกักเก็บ CO2 จากการปลูกป่าในท้ายที่สุด
มีการอ้างกันอย่างแพร่หลายว่า โรคที่เกิดขึ้น
มีขึ้นหลังจากที่ Christopher Columbus เดินทางมาถึง New World ในปี 1492
แต่ผลการศึกษาล่าสุดได้เสนอว่า การลดลงของ CO2 ครั้งนั้นน่าทึ่งมาก
เพราะมันเปลี่ยนบรรยากาศของโลก และขยายอากาศเย็นไปทั่วโลก
เพราะประชากรพื้นเมืองเหล่านี้ไม่ได้เผาป่า เพื่อทำการเกษตรอีกต่อไป
ถึงเผาก็ไม่มีผล เพราะจำนวนชนพื้นเมืองน้อยมาก เพราะตายไปมากแล้ว
ในการศึกษาที่ตีพิมพ์ในรายงานของ National Academy of Sciences
ผลการวิจัยใหม่ชี้ให้เห็นว่า การมาของ Christopher Columbus
ทำให้ความเป็นไปได้ของสถานการณ์เหล่านี้ในสหรัฐอเมริกาไม่ถูกต้อง
แต่ในพื้นที่ละตินอเมริกามีผลมากหลังจากชาวสเปนยึดพื้นที่ชนพื้นเมือง
เพื่อค้นหาคำตอบจากทฤษฎีที่ขัดแย้งกันหลายแห่ง
นักวิจัยจาก Harvard University University of Arizona
และ Southern Methodist University ใน Dallas
ได้ร่วมกันตรวจสอบข้อมูลทางโบราณคดี
และวงปีของต้นไม้ในเขตชุมชน Jemez ของ New Mexico
นักวิจัยยังใช้การตรวจจับแสงในอากาศและข้อมูล (LiDAR)
เพื่อถ่ายภาพภูมิทัศน์โดยละเอียด และพัฒนาการประมาณประชากร
เพื่อประเมินปริมาณการสูญเสียในระดับภูมิภาคในทวีปอเมริกาเหนือ
มีประชากรชาวพื้นเมืองประมาณว่าอยู่ระหว่าง 2-18 ล้านคน
ในช่วงเวลาที่ Columbus Columbus เดินทางมาถึง
ในตอนท้ายของศตวรรษที่ 19 จำนวนประชากรพื้นเมือง
ลดลงไปเหลือประมาณ 530,000 คน
Thomas Swetnam จาก University of Arizona และ
Christopher Roos จาก Southern Methodist University
" ในชุมชน Jemez pueblos ที่ New Mexico
ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ มีการพบกันครั้งแรก
ระหว่างชนพื้นเมืองกับชาวยุโรป เริ่มต้นมีขึ้นในปี 1539
เราพบว่า โรคภัยไข้เจ็บยังไม่มีผลจนกระทั่งหลังปี 1620
เพราะมีการลดลงของประชากรอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 1620 ถึง 1680
อัตราการตายพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ชนพื้นเมืองราว 87% ตายในเวลาอันสั้น
ลองคิดดูว่า มันจะหมายถึงอย่างไร ถ้าคุณมีห้องที่เต็มไปด้วยผู้คน
และ 9 ใน 10 คนเสียชีวิต ลองคิดถึงสิ่งที่มีความหมายต่อโครงสร้างทางสังคม
พวกชนพื้นเมืองจะสูญเสียคนที่รู้จักยาแผนโบราณ ผู้นำทางสังคม
ผู้นำทางจิตวิญญาณและศาสนาของพวกเขา(ชนพื้นเมือง)
ให้นึกถึงผลกระทบอันใหญ่หลวง ที่มีต่อวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของพวกเขา "
(ไร้คนรู้ ไร้คนสืบทอด กลายเป็นไม่มีใครรู้อะไรบ้างเลย )
ไฟป่าขนาดย่อม ๆ เริ่มต้นมีมากในช่วงเวลานี้
เมื่อคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเหล่านี้
พวกเขาต้องการไม้ทำบ้านพัก
ใช้ไม้ทำความร้อนและปรุงอาหาร
นอกจากนี้พวกเขาต้องต้ดไม้โค่นป่า
ให้มีที่ดินทำกินเพื่อการเกษตร
เมื่อต้นไม้หักโค่น/ตายลงไม่เจริญเติบโต
มีหลักฐานแหล่งโบราณคดีเหล่านี้อยู่
แต่เมื่อคนตายลง ป่าก็เริ่มต้นงอกใหม่และเจริญเติบโต
และเราเริ่มที่จะเห็นไฟไหม้ป่าครั้งย่อย ๆ มากขึ้น "