เมื่อตอนที่ ชาวยุโรปมาถึงทวีปอเมริกา
พวกเขานำเอาความตายและเชื้อโรคมาเผยแพร่ด้วย
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศระดับโลก
ผลการศึกษาล่าสุดได้รายงานเรื่องนี้
ในช่วงระยะเวลาเพียง 100 ปี
ผลจากการตั้งถิ่นฐานทำมาหากินของชาวยุโรป
ที่ได้ฆ่าชาวพื้นเมือง/อินเดียนแดงมากกว่า 56 ล้านคน
ด้วยอาวุธที่ทันสมัยกว่า การแพร่ระบาดของเชื้อโรค
การขาดแคลนอาหารด้วยการทำลายแหล่งอาหารและพื้นที่ปลูกพืชไร่ในอดีต
ในเขตภาคใต้ ตอนกลางและตอนเหนือของทวีปอเมริกา
หมายเหตุ
ในยุคแรกที่ชาวยุโรปเจอทวีปอเมริกาและชนเผ่าพื้นเมืองนั้น
ชาวยุโรปมักจะคิดว่าเดินทางมาถึงอินเดียดินแดนในตำนานแล้ว
ต่อมาจึงเริ่มแยกแยะเรียกชื่อชนเผ่าแทนชื่อรวมว่า อินเดียน Indian
จากผิวสี การแต่งกาย การปักขนนกต่าง ๆ
การทาหน้าด้วยสีต่าง ๆ ซึ่งมักจะใช้สีแดงส่วนใหญ่
แต่คำนี้กลายมาเป็นชื่อที่เรียก ชนเผ่าพื้นเมืองในสหรัฐอเมริกา
เพราะอิทธิพลจากภาพยนตร์และหนังสือต่าง ๆ
ในอเมริกาจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก
เพราะนายทุนที่หาคนมาบุกเบิกดินแดนเป็นคนอังกฤษ
ในเขตละตินอเมริกา จะมีการใช้ภาษาสเปน เป็นหลัก
รองลงมาคือ โพธิเกศ(โปรตุเกส) ในบราซิล
เพราะมีการแย่งชิงสำรวจดินแดนในทวีปอเมริกา
หลังจากที่ Columbus ค้นพบทวีปอเมริกาแล้ว
จน Pope Alexander VI (ชาวสเปน)
ต้องขีดเส้นแบ่งตะวันออก/ตะวันตก
ให้ตะวันตกเป็นดินแดนสำรวจของสเปน
ส่วนตะวันออกเป็นดินแดนสำรวจของโปรตุเกส
ร่องรอยอาณานิคมสุดท้ายของโปรตุเกสคือ มาเก๊า
ที่ทุกวันนี้เป็นหนึ่งในประเทศสองระบบของจีน
มีการปลดปล่อยช้ากว่ามากเมื่อเทียบกับอาณานิคมในอัฟริกา
เพราะผลจาก
การปฏิวัติดอกคาร์เนชั่น
ในขณะเดียวกันหลายประเทศในยุโรป
การที่ประชากรย้ายถิ่นฐานไปแผ่นดินใหม่จำนวนมาก
มีผลทำให้ไร่นาพืชสวนถูกทิ้งร้างและฟื้นฟูขึ้นใหม่จำนวนหลายแห่ง
เพราะขาดแคลนแรงงานในการทำเกษตร
พวกไพร่ในที่ดินต่างผันตนเป็นอิสระชนในดินแดนใหม่
ทำให้มีการขยายพันธุ์ต้นไม้และพืชพรรณต่าง ๆ ตามธรรมชาติในยุโรป
มีขนาดประมาณการเทียบเท่าประเทศฝรั่งเศส
ส่งผลให้ปริมาณ
คาร์บอนไดออกไซด์ (
CO2)
ลดลงอย่างมากในชั้นบรรยากาศ
ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มีการเปลี่ยนแปลงไป
สามารถทำให้ยุโรปมีอากาศหนาวเย็นมากในปี 1610
หลังจากที่
Columbus เดินทางมาถึงอเมริกาในปี 1492
นักวิจัยจาก
https://www.ucl.ac.uk/ ได้ประมาณการไว้
" CO
2 และสภาพอากาศค่อนข้างคงที่อยู่ที่จุดนี้
เรื่องนี้คือ ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
ที่เราได้พบเห็นจากภาวะก๊าซเรือนกระจกโลก
ก่อนหน้านี้ มีนักวิทยาศาสตร์บางรายได้ระบุว่า
อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงในช่วงทศวรรษ 1600
หรือที่เรียกว่า ยุคน้ำแข็งน้อย
Little Ice Age
เกิดจากปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ
แต่จากการรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ
ทางโบราณคดี ข้อมูลทางประวัติศาสตร์
และการวิเคราะห์คาร์บอนไดออกไซด์
ที่พบในก้อนน้ำแข็งทวีป
Antarctic
การฟื้นฟูสภาพป่าไม้ในทวีปยุโรป
(แต่ทำลายป่าไม้ในทวีปอเมริกา แต่ทำได้ช้ากว่า
เพราะเครื่องมือทำลายป่าไม้มีเพียงเลื่อยกับขวาน)
เป็นผลโดยตรงจากการมาถึงของชาวยุโรป
คือ องค์ประกอบสำคัญของความเย็นระดับโลก
เพราะเมื่อพวกเราให้ความสำคัญกับข้อมูลที่มาวิเคราะห์ร่วมกัน
พวกเราตระหนักได้ว่า ยุคน้ำแข็งน้อยที่หนาวเย็นมาก
เพราะ
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้คนหลายล้านคน "
Mark Maslin ภาควิชา UCL Geography
หนึ่งในทีมวิจัยที่เขียนร่วมให้สัมภาษณ์
วิธีการวิจัย
นักวิจัยวิเคราะห์น้ำแข็ง Antarctic
พบว่าก้อนน้ำแข็งที่เก็บกักก๊าซในชั้นบรรยากาศ
และสามารถแสดงให้เห็นผลว่า
มีคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมาก
อยู่ในชั้นบรรยากาศเมื่อหลายศตวรรษก่อน
" ในใจกลาง(แกน)น้ำแข็งแสดงให้เห็นว่า
มีการสะสมตัวของคาร์บอนไดออกไซด์ (มากกว่าปกติ)
ในปี 1610 (ผลของยุคน้ำแข็งน้อย)
เกิดจากแผ่นดินไม่ใช่จากมหาสมุทร
การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิเล็กน้อย
ประมาณ 10 องศาเซนเซียสในศตวรรษที่ 17
นำไปสู่ฤดูหนาวที่เย็นจัดกว่าฤดูหนาวที่ผ่านมา
และทำให้การเก็บเกี่ยวพืชผลล้มเหลว "
Alexander Koch ผู้ร่วมทีมวิจัย สรุปผลการวิจัย
ความสำคัญของการศึกษา
" ผลของการศึกษาที่นอกเหนือไปจากวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศแล้ว
ยังมีส่วนช่วยในการวิจัยทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์อีกด้วย
การตายของชาวอเมริกันพื้นเมืองจำนวนมากมายนั้น
ส่งผลโดยตรงต่อความสำเร็จของเศรษฐกิจยุโรป
ทรัพยากรธรรมชาติและอาหารถูกส่งมาจากโลกใหม่
ช่วยให้ประชากรของยุโรปขยายตัว(กินดี อยู่ดี เพิ่มจำนวนพลเมือง)
นอกจากนี้ยังทำให้ผู้คนหยุดทำการเกษตรเพื่อการยังชีพ
และเริ่มทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพื่อหาเงินยังชีพแทน
เรื่องแปลกแต่จริง ก็คือ การลดจำนวนประชากรพื้นเมืองในทวีปอเมริกา
อาจทำให้ชาวยุโรปครองโลกโดยไม่ได้ตั้งใจ
เพราะทำให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม
และสำหรับชาวยุโรปได้มาซึ่งการปกครองอย่างต่อเนื่อง
(รวมทั้งการแสวงหาอาณานิคม เพื่อกอบโกยทรัพยากร) "
Mark Maslin สรุปผลการศึกษา
เรียบเรียง/ที่มา
https://cnn.it/2HKBpyw
https://bit.ly/2RuXvog
https://go.nasa.gov/2CBGN1U
หมายเหตุ
เหตุการณ์ความหนาวเย็นอีกครั้งในยุโรปและอเมริกาที่ตามภายหลัง
จากปี 1883 ที่เกิดจากการระเบิดของ
ภูเขาไฟกรากะตัว
ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในอเมริกา
ความหนาวเย็นและการบุกเบิกดินแดนใหม่ในช่วงทศวรรษนั้น
ถ้าอ่านเป็นนวนิยายเพื่อความสนุกก็เรื่อง
ฤดูหนาวอันแสนยาวนาน ของ
Laura Ingalls Wilder
ในชุดหนังสือฉบับแปล
บ้านเล็กในป่าใหญ่
แต่มีข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งในวงการวรรณกรรมอเมริกันที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้
คือ การที่สมาคมห้องสมุดอเมริกัน (American Library Association หรือ ALA)
ประกาศว่าตัดสินใจจะ
เปลี่ยน ชื่อรางวัลวรรณกรรมสำคัญรางวัลหนึ่ง
รางวัลนี้เป็นรางวัลวรรณกรรมเยาวชน ที่เดิมที่ใช้ชื่อตาม
ลอร่า อิงกัลส์ ไวลเดอร์ (Laura Ingalls Wilder) ผู้เขียนหนังสือชุด Little House
หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ บ้านเล็กในป่าใหญ่
แต่เปลี่ยนมาเป็นรางวัลชื่อ Children’s Literature Legacy Award แทน
การเปลี่ยนชื่อรางวัลแบบนี้ ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่
รางวัลที่ตั้งตามชื่อคนดู เช่น รางวัลอิศรา อมันตกุล, รางวัลศรีบูรพา หรือรางวัลอื่น ๆ
ตอนตั้งชื่อรางวัลถือเป็นการ
ให้เกียรติ
แต่ถ้ามีการ เปลี่ยน ชื่อรางวัล ก็คล้ายเป็นการ
ปลดเกียรติ
ของคนคนนั้นออกไปจากตัวรางวัลนั่นเอง
เพราะนวนิยายของเธอมีหลายตอนที่เหยียดสีผิว/ชาติพันธุ์
ซึ่งในยุคนั้นเป็นเรื่องปรกติ แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่แล้ว
Credit :
https://bit.ly/2FuTxZK
เรื่องเล่าไร้สาระ
ในละตินอเมริกา คนพื้นเมืองตายเพราะโรคระบาด
ประเภทไข้หวัด ฝีดาษ ที่ชาวยุโรปนำเข้ามา
และหลายคนถูกจับเป็นทาสหรือนำไปแสดงละครสัตว์ในยุโรป
เพราะหัวหน้าเผ่าหลงเชื่อคำทำนายของหมอผีในอดีต
กับรบแพ้กับอาวุธปืนของพวกชาวยุโรป
ในอเมริกา คนพื้นเมือง(อินเดียนแดง) ตายมาก
เพราะอดอยากกับเชื้อโรคที่ชาวยุโรปมาแพร่ให้
รวมทั้งการถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพื่อแย่งชิงดินแดน
แต่เดิม พวกอินเดียนแดง ยังชีพด้วยการล่าสัตว์
ปลูกพืชแบบไร่เลื่อนลอย ย้ายไปเรื่อย ๆ
ทำให้ที่ดินกลับมาฟื้นฟูใหม่ได้
แบบชาวกระเหรี่ยง/ชาวเขานิยมทำกันในอดีต
แต่พอชาวยุโรปยึดครองที่ดินในอเมริกาแล้ว
ไม่ยอมให้ชนเผ่าพื้นเมืองชาวอินเดียนแดง
เดินทางผ่านทางและเข้าล่าสัตว์ป่าในพื้นที่
เพราะในยุโรปที่ดินทำกินเป็นของพวกเจ้าศักดินา
ชาวบ้านทั่วไปเป็นเพียงแค่ไพร่ติดที่ดินทำกิน
มีน้อยรายมากที่เป็นเจ้าของที่ดินในยุโรป
ทำให้ชาวบ้านไม่มีที่ดินทำกินของตนเองหลายล้านคน
พอแผ่นดินใหม่มีการโฆษณาชวนเชื่อว่า
มีที่ดินเยอะแยะมากมายให้จับจอง
แบบใครมือยาวสาวได้สาวเอา
ไม่มีใครมาบังคับว่าห้ามราษฏรถือครองที่ดิน
เพราะไม่มีพวกเจ้าศักดินามายึดครองไว้
ทุกคนต่างเป็นอิสระชนมีเสรีภาพเต็มเปี่ยม
ทำให้พวกชาวยุโรปเลยแห่กันมามาก
เพราะตาล่อ(โลภมาก)กับที่ดินแผ่นดินใหม่
ทั้งในเขตอเมริกากับละตินอเมริกา
ปัญหาชาวอินเดียนแดงขาดแดลนอาหาร
และที่ดินทำกินส่วนหนึ่งในอเมริกา
เพราะสัตว์ป่าไร้ที่หากินและการฆ่าวัวไบซันในอเมริกา
แบบฆ่าล้างผลาญแข่งขันกันเอาแต่ลิ้นไปกินกัน
หรือตัดหัววัวไบซันมาโชว์ฝีมือยิงปืนกัน
ไม่สนใจเนื้อหนังแบบชนเผ่าอินเดียนแดง
เพราะยุทธศาสตร์แท้จริงในช่วงนั้นของชาวยุโรป
ต้องการทำลายแหล่งอาหารหลักของชาวอินเดียนแดง
คือ วัวไบซัน ที่ได้ทั้งเนื้อทั้งหนังมาใช้ประโยชน์
เพราะการทำสงครามไม่มีความปราณี ทั้งบุรุษ สตรี เด็กเล็ก คนชรา
การทำลายแหล่งน้ำ แหล่งอาหาร การฆ่าให้กลัว
มีมาตั้งแต่ยุคอเล็กซานเดอร์ ยุคซีซาร์ ยุคเจงกีสข่าน ยุคอัตติล่า
ที่ความโลภเข้าครอบงำอยากพิชิตโลกอยากครอบครองดินแดนกว้างใหญ่
ผลของการที่ชาวอินเดียนแดงอดอยาก
จึงเกิดปัญหาต้องสู้รบกับพวกคนผิวขาวในเวลาต่อมา
แต่พวกคนผิวขาวชาวยุโรปก็เริ่มพัฒนาอาวุธ
และการใช้พวกทาสผิวดำมาช่วยในการสู้รบ
สุดท้าย ชาวอินเดียนแดงต้องยอมพ่ายแพ้
และอยู่ในนิคมสร้างตนเองของพวกตนในที่สุด
คนเราต้องกินต้องใช้
ยิ่งมีคนมากการทำเกษตรและการเผาผลาญทรัพยากรยิ่งมาก
การที่คนอินเดียนแดงตายจำนวนมากกว่าคนยุโรป
พอ ๆ กับคนยุโรปมีประชากรน้อยมาก
เพราะยุคนั้นเกิดง่าย ตายง่าย โรครักษาไม่ค่อยได้
การที่มีคนตายมากมีผลทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ลดลงในช่วงนั้น
ส่วน
นิคมสร้างตนเอง ของไทยหลายแห่ง
ที่เริ่มขึ้นสมัยจอมพล แปลก พิบูลสงคราม
สืบต่อมาถึง จอมพล สฤษดิ์ ธนรัชต์ และ จอมพล ถนอม กิตติขจร
แต่เดิมคือ การให้ที่ดินทำกินกับราษฏร
ต่อมาต้องการตัดเสบียงกรัง/แหล่งพักพิง
แนวร่วมของสหายพรรคคอมมิวนิสต์ไทย
กับโยกย้ายหมู่บ้าน/คนที่มีปัญหากับรัฐ
ด้วยการขับไล่ไสส่งให้ไปให้ไกล ๆ จากถิ่นเดิม/ที่ทำกิน
ถ้ารอดตายก็โชคดีไป ถ้าไม่รอดตายก็ไปตายที่นั่นเลย
เพราะสมัยก่อนเดินทางลำบากมาก
หยูกยารักษาโรคก็ไม่มีทางดีกว่าทุกวันนี้
ดังคำบรรยายของเพลงนี้
เพลงปฏิวัติ-ควนกาหลง
ยุคน้ำแข็งน้อยเกิดขึ้นเพราะการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวอินเดียนแดง
พวกเขานำเอาความตายและเชื้อโรคมาเผยแพร่ด้วย
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศระดับโลก
ผลการศึกษาล่าสุดได้รายงานเรื่องนี้
ในช่วงระยะเวลาเพียง 100 ปี
ผลจากการตั้งถิ่นฐานทำมาหากินของชาวยุโรป
ที่ได้ฆ่าชาวพื้นเมือง/อินเดียนแดงมากกว่า 56 ล้านคน
ด้วยอาวุธที่ทันสมัยกว่า การแพร่ระบาดของเชื้อโรค
การขาดแคลนอาหารด้วยการทำลายแหล่งอาหารและพื้นที่ปลูกพืชไร่ในอดีต
ในเขตภาคใต้ ตอนกลางและตอนเหนือของทวีปอเมริกา
หมายเหตุ
ในยุคแรกที่ชาวยุโรปเจอทวีปอเมริกาและชนเผ่าพื้นเมืองนั้น
ชาวยุโรปมักจะคิดว่าเดินทางมาถึงอินเดียดินแดนในตำนานแล้ว
ต่อมาจึงเริ่มแยกแยะเรียกชื่อชนเผ่าแทนชื่อรวมว่า อินเดียน Indian
จากผิวสี การแต่งกาย การปักขนนกต่าง ๆ
การทาหน้าด้วยสีต่าง ๆ ซึ่งมักจะใช้สีแดงส่วนใหญ่
แต่คำนี้กลายมาเป็นชื่อที่เรียก ชนเผ่าพื้นเมืองในสหรัฐอเมริกา
เพราะอิทธิพลจากภาพยนตร์และหนังสือต่าง ๆ
ในอเมริกาจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก
เพราะนายทุนที่หาคนมาบุกเบิกดินแดนเป็นคนอังกฤษ
ในเขตละตินอเมริกา จะมีการใช้ภาษาสเปน เป็นหลัก
รองลงมาคือ โพธิเกศ(โปรตุเกส) ในบราซิล
เพราะมีการแย่งชิงสำรวจดินแดนในทวีปอเมริกา
หลังจากที่ Columbus ค้นพบทวีปอเมริกาแล้ว
จน Pope Alexander VI (ชาวสเปน)
ต้องขีดเส้นแบ่งตะวันออก/ตะวันตก
ให้ตะวันตกเป็นดินแดนสำรวจของสเปน
ส่วนตะวันออกเป็นดินแดนสำรวจของโปรตุเกส
ร่องรอยอาณานิคมสุดท้ายของโปรตุเกสคือ มาเก๊า
ที่ทุกวันนี้เป็นหนึ่งในประเทศสองระบบของจีน
มีการปลดปล่อยช้ากว่ามากเมื่อเทียบกับอาณานิคมในอัฟริกา
เพราะผลจาก การปฏิวัติดอกคาร์เนชั่น
ในขณะเดียวกันหลายประเทศในยุโรป
การที่ประชากรย้ายถิ่นฐานไปแผ่นดินใหม่จำนวนมาก
มีผลทำให้ไร่นาพืชสวนถูกทิ้งร้างและฟื้นฟูขึ้นใหม่จำนวนหลายแห่ง
เพราะขาดแคลนแรงงานในการทำเกษตร
พวกไพร่ในที่ดินต่างผันตนเป็นอิสระชนในดินแดนใหม่
ทำให้มีการขยายพันธุ์ต้นไม้และพืชพรรณต่าง ๆ ตามธรรมชาติในยุโรป
มีขนาดประมาณการเทียบเท่าประเทศฝรั่งเศส
ส่งผลให้ปริมาณ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)
ลดลงอย่างมากในชั้นบรรยากาศ
ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มีการเปลี่ยนแปลงไป
สามารถทำให้ยุโรปมีอากาศหนาวเย็นมากในปี 1610
หลังจากที่ Columbus เดินทางมาถึงอเมริกาในปี 1492
นักวิจัยจาก https://www.ucl.ac.uk/ ได้ประมาณการไว้
" CO2 และสภาพอากาศค่อนข้างคงที่อยู่ที่จุดนี้
เรื่องนี้คือ ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
ที่เราได้พบเห็นจากภาวะก๊าซเรือนกระจกโลก
ก่อนหน้านี้ มีนักวิทยาศาสตร์บางรายได้ระบุว่า
อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงในช่วงทศวรรษ 1600
หรือที่เรียกว่า ยุคน้ำแข็งน้อย Little Ice Age
เกิดจากปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ
ทางโบราณคดี ข้อมูลทางประวัติศาสตร์
และการวิเคราะห์คาร์บอนไดออกไซด์
ที่พบในก้อนน้ำแข็งทวีป Antarctic
การฟื้นฟูสภาพป่าไม้ในทวีปยุโรป
(แต่ทำลายป่าไม้ในทวีปอเมริกา แต่ทำได้ช้ากว่า
เพราะเครื่องมือทำลายป่าไม้มีเพียงเลื่อยกับขวาน)
เป็นผลโดยตรงจากการมาถึงของชาวยุโรป
คือ องค์ประกอบสำคัญของความเย็นระดับโลก
เพราะเมื่อพวกเราให้ความสำคัญกับข้อมูลที่มาวิเคราะห์ร่วมกัน
พวกเราตระหนักได้ว่า ยุคน้ำแข็งน้อยที่หนาวเย็นมาก
เพราะ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้คนหลายล้านคน "
Mark Maslin ภาควิชา UCL Geography
หนึ่งในทีมวิจัยที่เขียนร่วมให้สัมภาษณ์
วิธีการวิจัย
นักวิจัยวิเคราะห์น้ำแข็ง Antarctic
พบว่าก้อนน้ำแข็งที่เก็บกักก๊าซในชั้นบรรยากาศ
และสามารถแสดงให้เห็นผลว่า
มีคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมาก
อยู่ในชั้นบรรยากาศเมื่อหลายศตวรรษก่อน
" ในใจกลาง(แกน)น้ำแข็งแสดงให้เห็นว่า
มีการสะสมตัวของคาร์บอนไดออกไซด์ (มากกว่าปกติ)
ในปี 1610 (ผลของยุคน้ำแข็งน้อย)
เกิดจากแผ่นดินไม่ใช่จากมหาสมุทร
การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิเล็กน้อย
ประมาณ 10 องศาเซนเซียสในศตวรรษที่ 17
นำไปสู่ฤดูหนาวที่เย็นจัดกว่าฤดูหนาวที่ผ่านมา
และทำให้การเก็บเกี่ยวพืชผลล้มเหลว "
Alexander Koch ผู้ร่วมทีมวิจัย สรุปผลการวิจัย
ความสำคัญของการศึกษา
" ผลของการศึกษาที่นอกเหนือไปจากวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศแล้ว
ยังมีส่วนช่วยในการวิจัยทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์อีกด้วย
การตายของชาวอเมริกันพื้นเมืองจำนวนมากมายนั้น
ส่งผลโดยตรงต่อความสำเร็จของเศรษฐกิจยุโรป
ทรัพยากรธรรมชาติและอาหารถูกส่งมาจากโลกใหม่
ช่วยให้ประชากรของยุโรปขยายตัว(กินดี อยู่ดี เพิ่มจำนวนพลเมือง)
นอกจากนี้ยังทำให้ผู้คนหยุดทำการเกษตรเพื่อการยังชีพ
และเริ่มทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพื่อหาเงินยังชีพแทน
เรื่องแปลกแต่จริง ก็คือ การลดจำนวนประชากรพื้นเมืองในทวีปอเมริกา
อาจทำให้ชาวยุโรปครองโลกโดยไม่ได้ตั้งใจ
เพราะทำให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม
และสำหรับชาวยุโรปได้มาซึ่งการปกครองอย่างต่อเนื่อง
(รวมทั้งการแสวงหาอาณานิคม เพื่อกอบโกยทรัพยากร) "
Mark Maslin สรุปผลการศึกษา
เรียบเรียง/ที่มา
https://cnn.it/2HKBpyw
https://bit.ly/2RuXvog
https://go.nasa.gov/2CBGN1U
หมายเหตุ
เหตุการณ์ความหนาวเย็นอีกครั้งในยุโรปและอเมริกาที่ตามภายหลัง
จากปี 1883 ที่เกิดจากการระเบิดของ ภูเขาไฟกรากะตัว
ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในอเมริกา
ความหนาวเย็นและการบุกเบิกดินแดนใหม่ในช่วงทศวรรษนั้น
ถ้าอ่านเป็นนวนิยายเพื่อความสนุกก็เรื่อง
ฤดูหนาวอันแสนยาวนาน ของ Laura Ingalls Wilder
ในชุดหนังสือฉบับแปล บ้านเล็กในป่าใหญ่
แต่มีข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งในวงการวรรณกรรมอเมริกันที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้
คือ การที่สมาคมห้องสมุดอเมริกัน (American Library Association หรือ ALA)
ประกาศว่าตัดสินใจจะ เปลี่ยน ชื่อรางวัลวรรณกรรมสำคัญรางวัลหนึ่ง
รางวัลนี้เป็นรางวัลวรรณกรรมเยาวชน ที่เดิมที่ใช้ชื่อตาม
ลอร่า อิงกัลส์ ไวลเดอร์ (Laura Ingalls Wilder) ผู้เขียนหนังสือชุด Little House
หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ บ้านเล็กในป่าใหญ่
แต่เปลี่ยนมาเป็นรางวัลชื่อ Children’s Literature Legacy Award แทน
การเปลี่ยนชื่อรางวัลแบบนี้ ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่
รางวัลที่ตั้งตามชื่อคนดู เช่น รางวัลอิศรา อมันตกุล, รางวัลศรีบูรพา หรือรางวัลอื่น ๆ
ตอนตั้งชื่อรางวัลถือเป็นการ ให้เกียรติ
แต่ถ้ามีการ เปลี่ยน ชื่อรางวัล ก็คล้ายเป็นการ ปลดเกียรติ
ของคนคนนั้นออกไปจากตัวรางวัลนั่นเอง
เพราะนวนิยายของเธอมีหลายตอนที่เหยียดสีผิว/ชาติพันธุ์
ซึ่งในยุคนั้นเป็นเรื่องปรกติ แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่แล้ว
Credit : https://bit.ly/2FuTxZK
เรื่องเล่าไร้สาระ
ในละตินอเมริกา คนพื้นเมืองตายเพราะโรคระบาด
ประเภทไข้หวัด ฝีดาษ ที่ชาวยุโรปนำเข้ามา
และหลายคนถูกจับเป็นทาสหรือนำไปแสดงละครสัตว์ในยุโรป
เพราะหัวหน้าเผ่าหลงเชื่อคำทำนายของหมอผีในอดีต
กับรบแพ้กับอาวุธปืนของพวกชาวยุโรป
ในอเมริกา คนพื้นเมือง(อินเดียนแดง) ตายมาก
เพราะอดอยากกับเชื้อโรคที่ชาวยุโรปมาแพร่ให้
รวมทั้งการถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพื่อแย่งชิงดินแดน
แต่เดิม พวกอินเดียนแดง ยังชีพด้วยการล่าสัตว์
ปลูกพืชแบบไร่เลื่อนลอย ย้ายไปเรื่อย ๆ
ทำให้ที่ดินกลับมาฟื้นฟูใหม่ได้
แบบชาวกระเหรี่ยง/ชาวเขานิยมทำกันในอดีต
แต่พอชาวยุโรปยึดครองที่ดินในอเมริกาแล้ว
ไม่ยอมให้ชนเผ่าพื้นเมืองชาวอินเดียนแดง
เดินทางผ่านทางและเข้าล่าสัตว์ป่าในพื้นที่
เพราะในยุโรปที่ดินทำกินเป็นของพวกเจ้าศักดินา
ชาวบ้านทั่วไปเป็นเพียงแค่ไพร่ติดที่ดินทำกิน
มีน้อยรายมากที่เป็นเจ้าของที่ดินในยุโรป
ทำให้ชาวบ้านไม่มีที่ดินทำกินของตนเองหลายล้านคน
พอแผ่นดินใหม่มีการโฆษณาชวนเชื่อว่า
มีที่ดินเยอะแยะมากมายให้จับจอง
แบบใครมือยาวสาวได้สาวเอา
ไม่มีใครมาบังคับว่าห้ามราษฏรถือครองที่ดิน
เพราะไม่มีพวกเจ้าศักดินามายึดครองไว้
ทุกคนต่างเป็นอิสระชนมีเสรีภาพเต็มเปี่ยม
ทำให้พวกชาวยุโรปเลยแห่กันมามาก
เพราะตาล่อ(โลภมาก)กับที่ดินแผ่นดินใหม่
ทั้งในเขตอเมริกากับละตินอเมริกา
ปัญหาชาวอินเดียนแดงขาดแดลนอาหาร
และที่ดินทำกินส่วนหนึ่งในอเมริกา
เพราะสัตว์ป่าไร้ที่หากินและการฆ่าวัวไบซันในอเมริกา
แบบฆ่าล้างผลาญแข่งขันกันเอาแต่ลิ้นไปกินกัน
หรือตัดหัววัวไบซันมาโชว์ฝีมือยิงปืนกัน
ไม่สนใจเนื้อหนังแบบชนเผ่าอินเดียนแดง
เพราะยุทธศาสตร์แท้จริงในช่วงนั้นของชาวยุโรป
ต้องการทำลายแหล่งอาหารหลักของชาวอินเดียนแดง
คือ วัวไบซัน ที่ได้ทั้งเนื้อทั้งหนังมาใช้ประโยชน์
เพราะการทำสงครามไม่มีความปราณี ทั้งบุรุษ สตรี เด็กเล็ก คนชรา
การทำลายแหล่งน้ำ แหล่งอาหาร การฆ่าให้กลัว
มีมาตั้งแต่ยุคอเล็กซานเดอร์ ยุคซีซาร์ ยุคเจงกีสข่าน ยุคอัตติล่า
ที่ความโลภเข้าครอบงำอยากพิชิตโลกอยากครอบครองดินแดนกว้างใหญ่
ผลของการที่ชาวอินเดียนแดงอดอยาก
จึงเกิดปัญหาต้องสู้รบกับพวกคนผิวขาวในเวลาต่อมา
แต่พวกคนผิวขาวชาวยุโรปก็เริ่มพัฒนาอาวุธ
และการใช้พวกทาสผิวดำมาช่วยในการสู้รบ
สุดท้าย ชาวอินเดียนแดงต้องยอมพ่ายแพ้
และอยู่ในนิคมสร้างตนเองของพวกตนในที่สุด
คนเราต้องกินต้องใช้
ยิ่งมีคนมากการทำเกษตรและการเผาผลาญทรัพยากรยิ่งมาก
การที่คนอินเดียนแดงตายจำนวนมากกว่าคนยุโรป
พอ ๆ กับคนยุโรปมีประชากรน้อยมาก
เพราะยุคนั้นเกิดง่าย ตายง่าย โรครักษาไม่ค่อยได้
การที่มีคนตายมากมีผลทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ลดลงในช่วงนั้น
ส่วน นิคมสร้างตนเอง ของไทยหลายแห่ง
ที่เริ่มขึ้นสมัยจอมพล แปลก พิบูลสงคราม
สืบต่อมาถึง จอมพล สฤษดิ์ ธนรัชต์ และ จอมพล ถนอม กิตติขจร
แต่เดิมคือ การให้ที่ดินทำกินกับราษฏร
ต่อมาต้องการตัดเสบียงกรัง/แหล่งพักพิง
แนวร่วมของสหายพรรคคอมมิวนิสต์ไทย
กับโยกย้ายหมู่บ้าน/คนที่มีปัญหากับรัฐ
ด้วยการขับไล่ไสส่งให้ไปให้ไกล ๆ จากถิ่นเดิม/ที่ทำกิน
ถ้ารอดตายก็โชคดีไป ถ้าไม่รอดตายก็ไปตายที่นั่นเลย