O เมื่อแสงเรื่อรองงามแห่งยามรุ่ง
ค่อยค่อยฟุ้งฟายอณูเพรียกตรู่สาง
คลี่ปลายปีกปักษินล้อมถิ่นทาง
โลกเบื้องล่างก็ค่อยฟื้นขึ้นตื่นตัว
O ดอกดวงมวลน้ำค้าง .. หยาด-วางเม็ด
ดั่งพลอยเพชร-พรึบบน .. ความหม่นหลัว
ลมโรยริ้วเรียวใบ, ดอก-ไหวรัว
รับรื่นเย็นเกลือกกลั้วอยู่ทั่วใบ
O ริ้วลมและคมเนตรกอปรเลศนั้น
เหมือนรอรับรองขวัญก่อนสั่นไหว
ที่แวววามวับนั้นเหมือนมั่นใจ-
ว่าสายใยเหนี่ยวกระหวัด .. ต้องรัดรึง
O แทนหมอก-ยามอรุณ, แดดอุ่นร้อน
แววออดอ้อนชม้ายอยู่ .. ก็จู่ถึง
ลอบเหลือบ .. เช่นนิ้วเรียวคอยเหนี่ยวดึง-
เอา-หวานซึ้งประโลมทั่วเนื้อหัวใจ
O พร้อมหมอก-คือรูปหน้า, แววตาวับ
และทุกพรับพริ้มนั่น .. คล้ายสั่นไหว-
หรือเพื่อเร้าเสน่หาแรงอาลัย
โถมเข้าใส่จิตชาย .. ให้ว่าย-วน ?
O แสงเรื่อรองงดงามเคยวามวับ
บัดนี้ลับจากแหล่งทุกแห่งหน
จักขุต้องรูปคราญ .. เหมือนหวานปน-
หอมหลั่งล้นลอบเร้น .. ล้อมเส้นทาง
O วาดหวัง-แววในตาจักว้าวุ่น
เอื้อ-อบอุ่นทุกอณูแห่งตรู่สาง-
เข้าโอบรูปโอบขวัญโอบสรรพางค์
ร่นช่วงห่างด้วยคะนึงจดถึงกัน
O คิดถึงถวิลอยู่ .. อย่ารู้แล้ว
อย่างพลิ้วแผ่วห้วงใจ .. จงไหวสั่น
เพิ่มอาวรณ์ล่วงล้ำ แนบรำพัน
กล่อมทรวงนั้นให้สะทกอยู่วกวน
O ให้ละห้อยคอยเห็นอย่าเว้นว่าง
แม้นข่มวางฝืนขวัญนับพันหน
อย่าผ่อนพัก .. อาลัยที่ใจคน
ให้แต่อลวนอยู่ .. อย่างรู้คอย
O ถึงที่ความถวิลหา .. เผย-ปรากฎ
รำพันพจน์แทรกแล้ว .. จากแผ่วค่อย-
จักลูบใจรึงเร้าให้เฝ้าคอย
เต็มละห้อยห่วงเห็น .. อย่าเว้นวัน
O ที่อาวรณ์เริ่มบท .. ปรากฎค่า
ปรารถนา, อาลัย, ความไหวหวั่น
พึงอุบัติรายล้อม .. ขึ้นพร้อมกัน
เพื่อผูกขวัญผูกสวาดิ - รองชาติภพ !
O ลมเช้าเคย .. ผ่านช่วงโอบทรวงร้าว
ความเหน็บหนาวที่เผชิญ .. ก็เกินหลบ
มาบัดนี้หอมนั้นพร้อมครันครบ-
หวานสมทบ .. เหน็บหนาว ย่อมร้าวราน
O ด้วยหัวใจใฝ่คอยละห้อยห่วง
ความแหนหวงอาลัยก็ไพศาล
ริ้วลมร่ำเริงระลอก .. โอบดอกมาลย์-
ส่งหอมหวานซ่านบ่มอารมณ์ชู้
O ช้อยเรียวกลีบชูช่อ .. ให้รอชม-
สี, กลิ่นฉม .. ลมชาย .. กำจายสู่
อิริยาแฝงเร้นให้เอ็นดู-
ก็ไหวอยู่ด้วยสุมาลย์กลีบบานนั้น
O ละม่อมพักตร์แก้มอิ่ม .. ตาพริ้มหลบ
เมื่อบรรจบด้วยใจ .. ย่อมไหวสั่น
ด้วยความหอมหวานซึ้งที่ดึงดัน-
สร้างรูปฝันลงแฝงในแหล่งทรวง
O คาบหนาวนี้ลมร่ำ .. อยู่ค่ำเช้า
ความเปลี่ยวเปล่าห้วงใจ .. เคยใหญ่หลวง-
ก็ลับเลือนภาพหลังเสียทั้งปวง
จากความห่วงใยล้น .. ใครคนนั้น
O จากตรู่สาง .. เช้าสายจนบ่ายค่ำ
ลมคงร่ำฝ่าหาว, ความหนาวสั่น-
กลับลบเลือนเร้นหายที่ปลายวัน
จากอบอุ่นโอบขวัญ .. อย่างมั่นคง
O แดดแจ่มจ้า .. ฟ้าคราม .. เนตรวามแสง-
ค่อยเร้นแฝงเร้ารุมให้ลุ่มหลง
ดูเถิดแววเนตรดำ .. เหมือนจำนง-
ขอร่วมวงวัฏฏะชู้ .. ด้วยผู้เดียว
.
.
ดูเถิดเนตรหวานล้ำ .. เหมือนจำนง-
ขอเฝ้าบงการอยู่ .. แต่ผู้เดียว !
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=04-2018&date=01&group=11&gblog=690
O เช้านี้ .. O
ค่อยค่อยฟุ้งฟายอณูเพรียกตรู่สาง
คลี่ปลายปีกปักษินล้อมถิ่นทาง
โลกเบื้องล่างก็ค่อยฟื้นขึ้นตื่นตัว
O ดอกดวงมวลน้ำค้าง .. หยาด-วางเม็ด
ดั่งพลอยเพชร-พรึบบน .. ความหม่นหลัว
ลมโรยริ้วเรียวใบ, ดอก-ไหวรัว
รับรื่นเย็นเกลือกกลั้วอยู่ทั่วใบ
O ริ้วลมและคมเนตรกอปรเลศนั้น
เหมือนรอรับรองขวัญก่อนสั่นไหว
ที่แวววามวับนั้นเหมือนมั่นใจ-
ว่าสายใยเหนี่ยวกระหวัด .. ต้องรัดรึง
O แทนหมอก-ยามอรุณ, แดดอุ่นร้อน
แววออดอ้อนชม้ายอยู่ .. ก็จู่ถึง
ลอบเหลือบ .. เช่นนิ้วเรียวคอยเหนี่ยวดึง-
เอา-หวานซึ้งประโลมทั่วเนื้อหัวใจ
O พร้อมหมอก-คือรูปหน้า, แววตาวับ
และทุกพรับพริ้มนั่น .. คล้ายสั่นไหว-
หรือเพื่อเร้าเสน่หาแรงอาลัย
โถมเข้าใส่จิตชาย .. ให้ว่าย-วน ?
O แสงเรื่อรองงดงามเคยวามวับ
บัดนี้ลับจากแหล่งทุกแห่งหน
จักขุต้องรูปคราญ .. เหมือนหวานปน-
หอมหลั่งล้นลอบเร้น .. ล้อมเส้นทาง
O วาดหวัง-แววในตาจักว้าวุ่น
เอื้อ-อบอุ่นทุกอณูแห่งตรู่สาง-
เข้าโอบรูปโอบขวัญโอบสรรพางค์
ร่นช่วงห่างด้วยคะนึงจดถึงกัน
O คิดถึงถวิลอยู่ .. อย่ารู้แล้ว
อย่างพลิ้วแผ่วห้วงใจ .. จงไหวสั่น
เพิ่มอาวรณ์ล่วงล้ำ แนบรำพัน
กล่อมทรวงนั้นให้สะทกอยู่วกวน
O ให้ละห้อยคอยเห็นอย่าเว้นว่าง
แม้นข่มวางฝืนขวัญนับพันหน
อย่าผ่อนพัก .. อาลัยที่ใจคน
ให้แต่อลวนอยู่ .. อย่างรู้คอย
O ถึงที่ความถวิลหา .. เผย-ปรากฎ
รำพันพจน์แทรกแล้ว .. จากแผ่วค่อย-
จักลูบใจรึงเร้าให้เฝ้าคอย
เต็มละห้อยห่วงเห็น .. อย่าเว้นวัน
O ที่อาวรณ์เริ่มบท .. ปรากฎค่า
ปรารถนา, อาลัย, ความไหวหวั่น
พึงอุบัติรายล้อม .. ขึ้นพร้อมกัน
เพื่อผูกขวัญผูกสวาดิ - รองชาติภพ !
O ลมเช้าเคย .. ผ่านช่วงโอบทรวงร้าว
ความเหน็บหนาวที่เผชิญ .. ก็เกินหลบ
มาบัดนี้หอมนั้นพร้อมครันครบ-
หวานสมทบ .. เหน็บหนาว ย่อมร้าวราน
O ด้วยหัวใจใฝ่คอยละห้อยห่วง
ความแหนหวงอาลัยก็ไพศาล
ริ้วลมร่ำเริงระลอก .. โอบดอกมาลย์-
ส่งหอมหวานซ่านบ่มอารมณ์ชู้
O ช้อยเรียวกลีบชูช่อ .. ให้รอชม-
สี, กลิ่นฉม .. ลมชาย .. กำจายสู่
อิริยาแฝงเร้นให้เอ็นดู-
ก็ไหวอยู่ด้วยสุมาลย์กลีบบานนั้น
O ละม่อมพักตร์แก้มอิ่ม .. ตาพริ้มหลบ
เมื่อบรรจบด้วยใจ .. ย่อมไหวสั่น
ด้วยความหอมหวานซึ้งที่ดึงดัน-
สร้างรูปฝันลงแฝงในแหล่งทรวง
O คาบหนาวนี้ลมร่ำ .. อยู่ค่ำเช้า
ความเปลี่ยวเปล่าห้วงใจ .. เคยใหญ่หลวง-
ก็ลับเลือนภาพหลังเสียทั้งปวง
จากความห่วงใยล้น .. ใครคนนั้น
O จากตรู่สาง .. เช้าสายจนบ่ายค่ำ
ลมคงร่ำฝ่าหาว, ความหนาวสั่น-
กลับลบเลือนเร้นหายที่ปลายวัน
จากอบอุ่นโอบขวัญ .. อย่างมั่นคง
O แดดแจ่มจ้า .. ฟ้าคราม .. เนตรวามแสง-
ค่อยเร้นแฝงเร้ารุมให้ลุ่มหลง
ดูเถิดแววเนตรดำ .. เหมือนจำนง-
ขอร่วมวงวัฏฏะชู้ .. ด้วยผู้เดียว
.
.
ดูเถิดเนตรหวานล้ำ .. เหมือนจำนง-
ขอเฝ้าบงการอยู่ .. แต่ผู้เดียว !
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=04-2018&date=01&group=11&gblog=690