๑.
O องค์พระธาตุสีทอง..นั้นมองเห็น-
งามโดดเด่นหยัดอยู่เคียงคู่ขวัญ
รับแสงสูรย์ทอดผ่านมานานวัน
และรับฉันทาชนผ่านวนเวียน
O เรียวยอดแหลมชี้ช่วงสู่สรวงสวรรค์
เพรียกแรงฝัน, ปวงถ้อยให้ค่อยเปลี่ยน-
เป็นแรงหวังแนบใจเอาไว้เพียร-
ตัดเศษเสี้ยนทุกข์ร้อนให้ผ่อนคลาย
O เหลื่อมเรื่อสีทองคำ, แรงจำนง-
ก็ค่อยส่งผ่านล่วงแดดช่วงฉาย
ปลั่งปลาบสีทองคำดั่งรำบาย-
ความมุ่งหมายแฝงเร้น ออก..เห็นรอย
O ถ้วน..ความ..คำ..รำบายคลับคล้ายว่า-
ทรมาทุกบท..พึงถดถอย-
จากจิตใจยึดมั่น..ผูกพัน, ทะยอย-
เข้าปลดปล่อยทุกข์ร้อน..ให้ผ่อนแรง
O กลางนิ่งนึก..ลออรูปก็วูบไหว
พร้อมแววในตาเต้น..เหมือนเร้นแฝง-
อารมณ์แสนอ่อนหวาน..มาผ่านแปลง-
เปลี่ยนร้อนแล้งเปล่าเปลี่ยว..พ้นเที่ยวทาง
O ถวิล..ความอาวรณ์ออดอ้อนเจ้า
จักใฝเฝ้ารออยู่แต่ตรู่สาง
พร้อม..หนาวรื่นโรยตัวอยู่ทั่วทาง
คือ-เรียวร่างอุ่นรอ..แอบ-ออ..ทรวง
O ดอกไม้หอมรวยรินล้อมถิ่น..นั้น-
แทนผูกพันอาลัย..อันใหญ่หลวง
เสียงวิหคพร้องพร่ำ แทนคำบวง-
บอกความหวงแหนชู้..ให้รู้นัย
O เห็นม่านหมอกหม่นมัวอยู่ทั่วแหล่ง
ห่วง-รูปแพงทองน้อยจะพลอยไหว-
หวั่นด้วยแรงเสน่หา..ความอาลัย-
ที่จักไหลหลั่งรุมลงสุมทรวง !
O แดดปลายฝนต้นหนาว..ทอวาววับ
เมื่อโลกสรรพหมุนด้าน..พ้นผ่านช่วง
พร้อมแววตารูปลออเหมือนรอทวง-
ถามถึงความแหนหวง..อีกดวงตา ?
O มือกบก้ม..กราบลงหน้าองค์พระ
ตั้งฉันทะมุ่งมาด..ยอวาสนา-
เข้าปรุงเปรียบเทียบขวัญ..ร่วมบัญชา-
เสน่หาอาวรณ์..คอยย้อนเตือน
O นิ่งนึกด้วยเอ็นดู..ไม่รู้แล้ว
ทองพระแผ้วเหลื่อมสู่..ยิ่งดูเหมือน-
โลมจิตให้บริสุทธิ์ และดุจเตือน-
ให้วกย้อนมาเยือนอย่าเลือนลับ
O นิ่งนึกผ่านภพชาติ, แรงปรารถนา-
ก็เหมือนว่าลึกล้ำเป็นลำดับ
ต่อหน้ารูปพระแผ้ว..ยิ่งแวววับ-
คือแววตาพริ้มพรับ..ตอบ-รับรู้ !
O รอบองค์พระธาตุหริภุญไชย
ความสดใสโลมพลอด..แดดทอดสู่
เมื่อหัวใจละห้อยเห็น, ความเอ็นดู-
ก็พร้อมอยู่ในอกสุดยกย้าย
O รูปแทนองค์ตถาคตปรากฎอยู่
รอจิตบูชิตตามสืบความหมาย
เพรียกความเงียบสงบพร้อมรอบล้อมกาย
ด้วยร่มธรรมปัดป่าย..ตราบคลายร้อน
๒.
O กลางนิ่งนึก..ลออรูปยังวูบไหว
คล้ายรูปใครเคยสบแต่ภพก่อน
รอบสัญญาเพรงกรรมจึ่งกำจร-
สืบจากความออดอ้อนอาวรณ์นั้น
O เรียวรูปองค์บริสุทธิ์งามผุดผ่อง
ผ้าเนื้อทองผืนสไบ..พลิ้วไหวสั่น
และสายตาผ่านต้องมาพ้องกัน-
จึงโอบขวัญเจ้าไว้อยู่ในมือ
O ในท่ามกลางลำแดดทอแวดล้อม
รูปงามพร้อมเนตรชม้าย-นั้นคล้ายสื่อ-
ผ่านท่วงทีลุ่มลึก..ให้ฝึกปรือ-
การยุดยื้ออารมณ์ให้สมยอม
O ชายสไบทอดผืนบนพื้นนั่ง
เมื่ออีกฝั่งอีกฝ่าย - ละลาย..หลอม-
หัวใจกับเอ็นดู..เกินรู้ออม
ที่เหมือนพร้อมแพ้-พ่ายอยู่ภายใน
O เกศินีนวลปรางสะอางครบ
แต่เพียงสบ..เมื่อนั้น-ที่สั่นไหว-
คืออารมณ์..คือช่วงของดวงใจ-
ที่แกว่งไกวโยนตัวไปทั่วทรวง
O ในโบสถ์แสงหม่นครึ้ม, เสียงงึมงำ-
เหมือนองค์ธรรมผ่านสู่ไม่รู้ล่วง
อีกใจแฝงฝากคำร่วมบำบวง
หวังช่วยหน่วงเหนี่ยวใจ..ของใครนั้น
O เห็นมือเรียวกราบลงหน้าองค์พระ
อีกสายตาในวาระ..คล้ายจะหวั่น-
เกรง..แรงบุญสั่งสม..ไม่สมกัน-
จะพรากขวัญพิมพ์ใจ..จนไกลเกิน !
O เหลือบสายตาชม้ายชม้อยแล้วคอยหลบ
ครั้นตาสบรอบอุทธัจ, แววขัดเขิน -
ก็เผยรอยผ่านออก..รับหยอกเอิน-
การจำเริญปฏิพัทธให้ทัศนา
O งามเนื้อทองรูปทรงแห่งองค์พระ
ในกาละภพชาติ, แรงปรารถนา-
เฝ้าร่ำรอรูปนามให้ล่ามคา
คล้ายแจ่มจ้าในอกสุดยกพ้น
O สุรโลกชะลอลงก็คงใช่
แต่เหลียวไปจบรูป, ที่วูบหล่น-
หลังคาบยามสัมผัสในบัดดล
คือใจคน..ดวงตา, รูปหน้านั้น !
O โอ..เนตรชายชำเลืองที่เบื้องหน้า
หรือคอยดูทีท่าจัก..กล้า, หวั่น ?
แววในตาคล้ายยิ้ม..ก็พริ้มพลัน-
ที่เผลอหันมาพบ..แล้วสบตา
O ระยิบเอย..แววตาใต้ฟ้าต่ำ
เหมือนคอยนำคอยเหนี่ยวให้เหลียวหา
กลิ่นลำดวนจวนลม..ก็พรมภา-
วะ..หอมหาให้คนอิ่มล้นใจ
O ตาเหม่อมองสองแก้มที่แกมเรื่อ
ผุดผาดเนื้อนวลพิสุทธิ์..ฤๅหยุดไหว-
กับอารมณ์เสน่หาแสนอาลัย
ที่หลั่งไหลสุมอก..เกินยกแล้ว
O โอ..งามฤๅจะรวมลงท่วมโลก
จากบ่ายโบกรุมเร้าอย่างเบา..แผ่ว
จวบ..สายตาอ่อนหวานนั้นผ่านแวว-
ความผ่องแผ้วเผยระยับให้จับจอง
O พา..หัวใจในยามงดงามรูป-
เข้าโลมลูบแทรกซุกไปทุกห้อง,
ไร้เรี่ยวแรงเพียงพอไว้ต่อรอง-
การยึดครองแรงชู้แต่ผู้เดียว !
O จน..สองมือจับของประคองถวาย-
พระ, พร้อมสายตาคอยชม้อยเหลียว-
จึงเมื่อนั้น..แจ้งเลศจากเนตรเรียว-
คล้ายหวังเหนี่ยวโน้มบุญ..ร่วมจุนเจือ ?
O แดดปลายฝนต้นหนาว..ยังวาววับ
เนตรพริ้มพรับในยาม..ก็งามเหลือ
เยี่ยงลมโลมผ่านวัลย์..ย่อมสั่นเครือ
รูปอะเคื้อโลมขวัญ..ย่อมสั่นสะท้าน
O ผมหล่นล้อมวงหน้าเมื่อหน้าก้ม
มือประนมตรองธรรม..พระย้ำผ่าน
ก่อนสองมือแผ่ราบลงกราบกราน
สาธุการเสียงแผ่ว..ก็แว่วดัง
O ดวงตาเอย..แต่คอยชม้อยชม้าย-
หรือเพียงหมายให้ละห้อย..เฝ้าคอยหวัง ?
ชายชำเลืองซ้อน..ซ้ำ..โหมกำลัง
หรือเพียงหมายชี้สั่ง..ทั่วทั้งใจ ?
O แววอ่อนหวานอ่อนไหวที่ในตา
คล้ายตอกตรึงสัญญาเกินฝ่าไหว
จนรูปนามถึงฆาตบำราศไป
ชาติภพไหน..คงอยู่ไม่รู้เลือน
๓.
O แต่เมื่อเนตรสบยิ้มแล้วพริ้มหลบ
คือแรกสบแรงชู้..นั้นดูเหมือน-
ต่อวงรอบรูปรอย..มาคอยเตือน-
ให้แล่นเลื่อนปฏิพัทธ..เต็มอัตรา
O จึงเมื่อเนตรพริ้มหลบหลังสบยิ้ม
และแก้มอิ่มเรื่อเรื้องอยู่เบื้องหน้า
รูปตอกตรึงลงมั่นในสัญญา-
ก็เหมือนว่ารออยู่..แต่ตรู่เช้า !
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=10-2011&date=28&group=11&gblog=357
O กลางสายลมเช้า .. O
๑.
O องค์พระธาตุสีทอง..นั้นมองเห็น-
งามโดดเด่นหยัดอยู่เคียงคู่ขวัญ
รับแสงสูรย์ทอดผ่านมานานวัน
และรับฉันทาชนผ่านวนเวียน
O เรียวยอดแหลมชี้ช่วงสู่สรวงสวรรค์
เพรียกแรงฝัน, ปวงถ้อยให้ค่อยเปลี่ยน-
เป็นแรงหวังแนบใจเอาไว้เพียร-
ตัดเศษเสี้ยนทุกข์ร้อนให้ผ่อนคลาย
O เหลื่อมเรื่อสีทองคำ, แรงจำนง-
ก็ค่อยส่งผ่านล่วงแดดช่วงฉาย
ปลั่งปลาบสีทองคำดั่งรำบาย-
ความมุ่งหมายแฝงเร้น ออก..เห็นรอย
O ถ้วน..ความ..คำ..รำบายคลับคล้ายว่า-
ทรมาทุกบท..พึงถดถอย-
จากจิตใจยึดมั่น..ผูกพัน, ทะยอย-
เข้าปลดปล่อยทุกข์ร้อน..ให้ผ่อนแรง
O กลางนิ่งนึก..ลออรูปก็วูบไหว
พร้อมแววในตาเต้น..เหมือนเร้นแฝง-
อารมณ์แสนอ่อนหวาน..มาผ่านแปลง-
เปลี่ยนร้อนแล้งเปล่าเปลี่ยว..พ้นเที่ยวทาง
O ถวิล..ความอาวรณ์ออดอ้อนเจ้า
จักใฝเฝ้ารออยู่แต่ตรู่สาง
พร้อม..หนาวรื่นโรยตัวอยู่ทั่วทาง
คือ-เรียวร่างอุ่นรอ..แอบ-ออ..ทรวง
O ดอกไม้หอมรวยรินล้อมถิ่น..นั้น-
แทนผูกพันอาลัย..อันใหญ่หลวง
เสียงวิหคพร้องพร่ำ แทนคำบวง-
บอกความหวงแหนชู้..ให้รู้นัย
O เห็นม่านหมอกหม่นมัวอยู่ทั่วแหล่ง
ห่วง-รูปแพงทองน้อยจะพลอยไหว-
หวั่นด้วยแรงเสน่หา..ความอาลัย-
ที่จักไหลหลั่งรุมลงสุมทรวง !
O แดดปลายฝนต้นหนาว..ทอวาววับ
เมื่อโลกสรรพหมุนด้าน..พ้นผ่านช่วง
พร้อมแววตารูปลออเหมือนรอทวง-
ถามถึงความแหนหวง..อีกดวงตา ?
O มือกบก้ม..กราบลงหน้าองค์พระ
ตั้งฉันทะมุ่งมาด..ยอวาสนา-
เข้าปรุงเปรียบเทียบขวัญ..ร่วมบัญชา-
เสน่หาอาวรณ์..คอยย้อนเตือน
O นิ่งนึกด้วยเอ็นดู..ไม่รู้แล้ว
ทองพระแผ้วเหลื่อมสู่..ยิ่งดูเหมือน-
โลมจิตให้บริสุทธิ์ และดุจเตือน-
ให้วกย้อนมาเยือนอย่าเลือนลับ
O นิ่งนึกผ่านภพชาติ, แรงปรารถนา-
ก็เหมือนว่าลึกล้ำเป็นลำดับ
ต่อหน้ารูปพระแผ้ว..ยิ่งแวววับ-
คือแววตาพริ้มพรับ..ตอบ-รับรู้ !
O รอบองค์พระธาตุหริภุญไชย
ความสดใสโลมพลอด..แดดทอดสู่
เมื่อหัวใจละห้อยเห็น, ความเอ็นดู-
ก็พร้อมอยู่ในอกสุดยกย้าย
O รูปแทนองค์ตถาคตปรากฎอยู่
รอจิตบูชิตตามสืบความหมาย
เพรียกความเงียบสงบพร้อมรอบล้อมกาย
ด้วยร่มธรรมปัดป่าย..ตราบคลายร้อน
๒.
O กลางนิ่งนึก..ลออรูปยังวูบไหว
คล้ายรูปใครเคยสบแต่ภพก่อน
รอบสัญญาเพรงกรรมจึ่งกำจร-
สืบจากความออดอ้อนอาวรณ์นั้น
O เรียวรูปองค์บริสุทธิ์งามผุดผ่อง
ผ้าเนื้อทองผืนสไบ..พลิ้วไหวสั่น
และสายตาผ่านต้องมาพ้องกัน-
จึงโอบขวัญเจ้าไว้อยู่ในมือ
O ในท่ามกลางลำแดดทอแวดล้อม
รูปงามพร้อมเนตรชม้าย-นั้นคล้ายสื่อ-
ผ่านท่วงทีลุ่มลึก..ให้ฝึกปรือ-
การยุดยื้ออารมณ์ให้สมยอม
O ชายสไบทอดผืนบนพื้นนั่ง
เมื่ออีกฝั่งอีกฝ่าย - ละลาย..หลอม-
หัวใจกับเอ็นดู..เกินรู้ออม
ที่เหมือนพร้อมแพ้-พ่ายอยู่ภายใน
O เกศินีนวลปรางสะอางครบ
แต่เพียงสบ..เมื่อนั้น-ที่สั่นไหว-
คืออารมณ์..คือช่วงของดวงใจ-
ที่แกว่งไกวโยนตัวไปทั่วทรวง
O ในโบสถ์แสงหม่นครึ้ม, เสียงงึมงำ-
เหมือนองค์ธรรมผ่านสู่ไม่รู้ล่วง
อีกใจแฝงฝากคำร่วมบำบวง
หวังช่วยหน่วงเหนี่ยวใจ..ของใครนั้น
O เห็นมือเรียวกราบลงหน้าองค์พระ
อีกสายตาในวาระ..คล้ายจะหวั่น-
เกรง..แรงบุญสั่งสม..ไม่สมกัน-
จะพรากขวัญพิมพ์ใจ..จนไกลเกิน !
O เหลือบสายตาชม้ายชม้อยแล้วคอยหลบ
ครั้นตาสบรอบอุทธัจ, แววขัดเขิน -
ก็เผยรอยผ่านออก..รับหยอกเอิน-
การจำเริญปฏิพัทธให้ทัศนา
O งามเนื้อทองรูปทรงแห่งองค์พระ
ในกาละภพชาติ, แรงปรารถนา-
เฝ้าร่ำรอรูปนามให้ล่ามคา
คล้ายแจ่มจ้าในอกสุดยกพ้น
O สุรโลกชะลอลงก็คงใช่
แต่เหลียวไปจบรูป, ที่วูบหล่น-
หลังคาบยามสัมผัสในบัดดล
คือใจคน..ดวงตา, รูปหน้านั้น !
O โอ..เนตรชายชำเลืองที่เบื้องหน้า
หรือคอยดูทีท่าจัก..กล้า, หวั่น ?
แววในตาคล้ายยิ้ม..ก็พริ้มพลัน-
ที่เผลอหันมาพบ..แล้วสบตา
O ระยิบเอย..แววตาใต้ฟ้าต่ำ
เหมือนคอยนำคอยเหนี่ยวให้เหลียวหา
กลิ่นลำดวนจวนลม..ก็พรมภา-
วะ..หอมหาให้คนอิ่มล้นใจ
O ตาเหม่อมองสองแก้มที่แกมเรื่อ
ผุดผาดเนื้อนวลพิสุทธิ์..ฤๅหยุดไหว-
กับอารมณ์เสน่หาแสนอาลัย
ที่หลั่งไหลสุมอก..เกินยกแล้ว
O โอ..งามฤๅจะรวมลงท่วมโลก
จากบ่ายโบกรุมเร้าอย่างเบา..แผ่ว
จวบ..สายตาอ่อนหวานนั้นผ่านแวว-
ความผ่องแผ้วเผยระยับให้จับจอง
O พา..หัวใจในยามงดงามรูป-
เข้าโลมลูบแทรกซุกไปทุกห้อง,
ไร้เรี่ยวแรงเพียงพอไว้ต่อรอง-
การยึดครองแรงชู้แต่ผู้เดียว !
O จน..สองมือจับของประคองถวาย-
พระ, พร้อมสายตาคอยชม้อยเหลียว-
จึงเมื่อนั้น..แจ้งเลศจากเนตรเรียว-
คล้ายหวังเหนี่ยวโน้มบุญ..ร่วมจุนเจือ ?
O แดดปลายฝนต้นหนาว..ยังวาววับ
เนตรพริ้มพรับในยาม..ก็งามเหลือ
เยี่ยงลมโลมผ่านวัลย์..ย่อมสั่นเครือ
รูปอะเคื้อโลมขวัญ..ย่อมสั่นสะท้าน
O ผมหล่นล้อมวงหน้าเมื่อหน้าก้ม
มือประนมตรองธรรม..พระย้ำผ่าน
ก่อนสองมือแผ่ราบลงกราบกราน
สาธุการเสียงแผ่ว..ก็แว่วดัง
O ดวงตาเอย..แต่คอยชม้อยชม้าย-
หรือเพียงหมายให้ละห้อย..เฝ้าคอยหวัง ?
ชายชำเลืองซ้อน..ซ้ำ..โหมกำลัง
หรือเพียงหมายชี้สั่ง..ทั่วทั้งใจ ?
O แววอ่อนหวานอ่อนไหวที่ในตา
คล้ายตอกตรึงสัญญาเกินฝ่าไหว
จนรูปนามถึงฆาตบำราศไป
ชาติภพไหน..คงอยู่ไม่รู้เลือน
๓.
O แต่เมื่อเนตรสบยิ้มแล้วพริ้มหลบ
คือแรกสบแรงชู้..นั้นดูเหมือน-
ต่อวงรอบรูปรอย..มาคอยเตือน-
ให้แล่นเลื่อนปฏิพัทธ..เต็มอัตรา
O จึงเมื่อเนตรพริ้มหลบหลังสบยิ้ม
และแก้มอิ่มเรื่อเรื้องอยู่เบื้องหน้า
รูปตอกตรึงลงมั่นในสัญญา-
ก็เหมือนว่ารออยู่..แต่ตรู่เช้า !
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=10-2011&date=28&group=11&gblog=357