29.12.19
.
ความเดิมตอนที่แล้วจาก https://ppantip.com/topic/39563473 ที่เราพูดถึง overall ของทริป 5 ประเทศ 8 คืน
วันนี้เราจะมาเล่าถึงจุดหมายปลายทางถัดไป นั่นก็คือ บรัสเซลส์ (Brussels)! .
ตามตารางเที่ยวทริปยุโรปครั้งนี้ของเราบรัสเซลส์ก็ถือเป็นช่วงเวลาเกือบครึ่งทางของทริป เราเลือกจะแพลนเที่ยวที่นี่แบบหลวมๆ กฎการเที่ยวบรัสเซลส์ของเราก็คือ ตลาดคริสต์มาส (อีกแล้ว) สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต ขอแบบไม่เหนื่อย ไม่รีบ และต้องได้กินวาฟเฟิล!
.
เริ่มต้นทริปมาก็เป็นเดินทางที่แสนเหน็ดเหนื่อย ทันทีที่ลงรถบัสก็รีบคว้ากระเป๋าและตรงไปยังโรงแรมที่จองไว้ เราจองโรงแรมผ่านทาง Booking.com ชื่อว่า Max Hotel หาไม่ยากและไม่ไกลจากสถานีรถไฟ ระบบโรงแรมมีความคล้ายโฮสเทล ไม่ยุ่งยากซับซ้อน มีห้องกลางไว้สำหรับทานข้าวและพักผ่อนเหมือนโฮสเทล แต่ห้องพักก็คือใหญ่มาก และได้วิวดีในราคาย่อมเยา ที่สำคัญคือเราพักที่นี่ถึงสองคืน หลังจากจัดการเก็บกระเป๋า เราก็รีบเดินไปหาซุปเปอร์มาร์เก็ตสำหรับอาหารมื้อค่ำ ระหว่างทางเราเจอร้าน Kebab มีแววน่าสนใจ เลยเดินไปซื้อน้ำและขนมที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตก่อนจะกลับมาแวะสั่งอาหารชุดใหญ่ไปนั่งกินที่โรงแรม ไม่แน่ใจว่าเพราะหิวรึเปล่า แต่เป็นมื้อที่อร่อยและประทับใจมาก อิ่มหนำสำราญนอนหลับสบาย
.
อย่างที่บอกว่ากฎของการเที่ยวบรัสเซลส์ของเราในครั้งนี้คือต้องไม่เหนื่อย และจะไม่รีบ ฉะนั้นกว่าจะได้ออกไปเที่ยวจริงๆก็เกือบเที่ยง เราปักหมุดสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในเมืองเฉพาะระยะทางที่เดินเท้าได้ (ที่เหลือก็คือตัดทิ้ง) ซึ่งก็จะเหลือประมาณนี้ Grand-Place, Saint Michael Cathedral, Mont Des Arts, Place Royale, Manneken Pis, Jeanneke Pis เนื่องจากเราออกเดินทางกันค่อนข้างสาย ในเมืองก็เริ่มคึกคักพอสมควร ยังไม่ทันจะได้ไปไหนเราก็เจอกับเจ้าเครื่องเล่นใจกลางเมืองเหมือนเป็นการวัดอารมณ์ความรู้สึกของเราผ่านหน้าตา สนุกสนานกันไป
.
.
.
ทันทีที่เราเริ่มเข้าไปในโซนท่องเที่ยว เราก็พบกับร้านช็อกโกแลตกับร้านวาฟเฟิลเรียงรายสองข้างทาง เลือกไม่ถูกเลยว่าจะเข้าร้านไหนดี เราเดินไปเรื่อยๆจนสะดุดกับร้านช็อกโกแลตน่ารักๆ เหมาะเจาะกับอากาศที่หนาวเย็น และจู่ๆก็อยากได้ช็อกโกแลตร้อนมาอบอุ่นร่างกายสักแก้ว (ข้ออ้าง) ก็เลยได้นั่งพักชิวๆ แต่ช็อกโกแลตที่นี่อร่อยใช้ได้เลยนะว่าไม่ได้!
.
เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาล เราพอจะเดาได้เลยว่าเรากำลังจะถึงสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต เพราะคนเริ่มเบียดเสียด จนบางทีก็ต้องค่อยๆเดินไหลไปตามคน และเราก็มาถึงกร็องปลาส (Grand Place) จนได้ ตรงลานกว้างพอมีพื้นที่ให้เราได้ชื่นชมความสวยงามของสถาปัตยกรรมและถ่ายภาพบรรยากาศกันสักพักใหญ่ เราค่อนข้างจะหวาดระแวงกับการอยู่ในพื้นที่ที่คนเยอะๆและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลังจากเจอมิจฉาชีพที่ปารีสไปเมื่อต้นปีก่อน เราเดินต่อไปเพื่อไปหา Manneken Pis ที่โด่งดังของบรัสเซลส์ พอไปถึงจริงๆก็คือเกือบจะเดินผ่านเลยไป เพราะมองไม่เห็น น้องตัวเล็กกว่าที่คิดไว้เยอะมาก แถมพื้นที่สำหรับถ่ายรูปก็ไม่ได้เยอะเมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาดูน้อง
.
Grand Place, Brussels
Grand Place, Brussels
Grand Place, Brussels
Manneken Pis, Brussels
.
.
เดินมาจนหิว ก็เริ่มเสิร์ชหาร้านอาหารที่ขึ้นชื่อของบรัสเซลส์ เค้าว่ากันว่าต้องมากินหอย โดยเฉพาะเจ้า Mussels ที่เราลองกินที่ฝรั่งเศส และสก็อตแลนด์ไปแล้ว แต่คราวนี้เราจะมาลองกันที่เบลเยียมว่ามันจะต่างกันมากน้อยแค่ไหนเชียว เราเดินไปตามลายแทงร้านในกูเกิ้ลและพบว่าคนต่อแถวยาวออกมานอกร้าน แม้ว่ากฎของทริปคือเราจะไม่รีบ แต่เมื่อเราหิว เราก็เดินเข้าร้านฝั่งตรงข้ามที่ก็ดูน่ากินไม่แพ้กัน ที่สำคัญราคาเหมือนจะถูกกว่านิดหน่อย พนักงานน่ารักมาก การจัดโต๊ะก็มีความคล้ายฝรั่งเศสที่เอากระดาษมาปูโต๊ะสำหรับใช้ครั้งเดียวทิ้ง มีจุดเทียนบนโต๊ะให้ด้วยเพิ่มบรรยากาศโรแมนติก เราสั่งเป็น Mussels with fries และ Lobster soup เนื่องจากรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะไม่สบาย ต้องรีบอบอุ่นร่างกายเพราะจะต้องไปลุยอีกหลายที่เลย โดยรวมอาหารอร่อยมาก Mussels รสชาติดี แต่เอาจริงๆก็ไม่ได้รู้สึกว่าต่างจากที่เคยกินมาเท่าไร ส่วน Lobster soup หอมมาก หวาน เหมาะมากกับวันอากาศหนาวๆแบบนี้
.
Lobster soup
Mussels with fries
.
.
หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จเราก็เดินแวะไปหาน้องสาวของ Manneken Pis ก็คือ Jeanneke Pis น้องแอบอยู่ในตรอกเลยแหละ คนไม่เยอะเท่ากับ Manneken Pis แต่ถ่ายรูปค่อนข้างยากเพราะน้องอยู่ในกรงเหล็กอีกทีนึง
.
Jeanneke Pis, Brussels
.
.
กฎที่เราตั้งขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างของการมาเที่ยวบรัสเซลส์ครั้งนี้ก็คือเราจะต้องได้กินวาฟเฟิล เนื่องจากมันมีร้านให้เลือกเยอะมาก และเราเองก็ยังอิ่มจากอาหารกลางวัน แต่ยังไงก็ต้องกินให้ได้ เราเลยเสิร์ชหาร้านดังจากกูเกิ้ล เพราะถ้าจะต้องอ้วนทั้งที ก็ขอกินอันที่เค้าว่าเด็ดกันหน่อย เจอหลายร้านเลยทีเดียว แต่เราสะดุดกับร้าน Maison Dandoy เพราะจำได้ว่าเคยเดินผ่านมาแล้วและเห็นว่ามีคนเยอะใช้ได้ เราเลยเลือกร้านนั้นและเดินย้อนกลับไป แม้ว่าคิวจะยาวออกมานอกร้าน แต่เราเล็งแล้วว่าแต่ละคนใช้เวลาไม่นาน คิวผ่านไปค่อนข้างเร็ว เราเลยยอมต่อคิว และเป็นอย่างที่คิดจริงๆ ใช้เวลาไม่นานเลย ระหว่างรอก็คือดมกลิ่นวาฟเฟิลหอมๆไป แม้ว่าจะอยากลองทั้งแบบ Brussels waffle and Liege waffle แต่ด้วยความอิ่ม และมีคนไม่ชอบกินของหวาน เราจึงมีโอกาสสั่งได้แค่หนึ่งชิ้น เราเลือกสั่ง Liege waffle มาเพราะคิดว่า Brussels waffle อาจจะพอหาได้ใกล้ๆที่พักวันพรุ่งนี้หรือคราวหลัง เลือก topping เป็นวิบครีม ทันทีทีตักเข้าปากก็คือ อือหือออออออ (ลากเสียงเพื่ออรรถรส) มันอร่อยมากจริงๆ เข้าใจแล้วว่าทำไมวาฟเฟิลที่นี่ถึงขึ้นชื่อ หอมมาก กรอบนอกนุ่มใน ไม่เลี่ยนเลย แถมกินกับวิบครีมก็คือเข้ากันสุดๆ กินหมดภายในเวลาไม่ถึงสองนาที (และคนที่บอกว่าไม่กินของหวานก็ลงความเห็นว่ามันอร่อยมากจริงๆ)
.
Liege waffle with whip cream
.
.
หลังจากเดินชมเมืองกันจนครบตามลิสต์ เราก็ไปมุ่งหน้าไปยังตลาดคริสต์มาสซึ่งเป็น a must ของการมาบรัสเซลส์ในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นเมืองท่องเที่ยว ตลาดคริสต์มาสก็ยังคงคึกคักอยู่ และใหญ่โตมากเลยทีเดียว เราเริ่มจากตลาดย่อมๆรอบโบสถ์ก่อนด้วยเครื่องดื่มขึ้นชื่อของที่นี่ เดินเข้าไปสั่ง Genever มา 1 ช็อต เลือกมาเป็นวานิลลา มันก็คือเหล้าช็อตรสวานิลลา หอม อร่อยเลยแหละ แต่ก็จะร้อนๆคอหน่อย เราเดินต่อมาอีกร้านเจอกับสิ่งล่อตาล่อใจให้ลอง มันคือ Jagermeister ที่มาในหลอดทดลอง แต่เราก็สั่งไม่เป็นเลยชี้ๆเอาทำให้สุดท้ายได้มาสองหลอดเลย อันนี้ขอเตือนทุกคนว่าให้ลองหลอดเดียวก่อน เพราะเราไม่ชอบเลย รสชาติแย่มากเหมือนยาแก้ไอ ทำลายช็อต Genever ก่อนหน้านี้ไปหมดเลย
.
.
.
เราเดินต่อไปยังตลาดคริสต์มาสอีกจุด ซึ่งเป็นตลาดเล็กๆน่ารัก ร้านที่ดึงดูดใจเราคือร้านแซลม่อน ที่ย่างแซลม่อนกันหน้าร้านหอมๆไปเลย อันนี้อร่อยมาก แซลม่อนสุกกำลังดี กลิ่นหอมมาก ที่สำคัญคือซอสอร่อยมาก เค้าเสิร์ฟมาคู่กับบาแกตต์
.
.
ตลาดคริสต์มาสของที่นี่ยังไม่หมด ไฮไลท์ก็คืออันสุดท้ายที่เราจะไปซึ่งใหญ่ที่สุด แค่มองเห็นจากข้างนอกก็ตื่นเต้นแล้ว ยังไม่ทันจะเดินไปไหนก็ต้องหยุดที่ร้านหอยทากร้านนี้ เราเคยกินหอยทาก หรือ Escagots ที่ฝรั่งเศส เป็นเมนูหอยทากอบเนย แต่ที่นี่คือเป็นหอยทากต้มซุป เอาจริงๆอยากกินอะไรอุ่นๆให้ชุ่มคอ ก็เลยลอง ปรากฎว่ามันอร่อยมาก ทึ่งมากจริงๆ รสชาติมันเหมือนต้มกระเพาะหมูบ้านเราเลย พริกไทยเข้มๆ น้ำซุปหอมๆร้อนๆ หอยทากกรุบๆ สุดยอดจริงๆ ไม่แน่ใจว่าปกติหากินได้ที่ไหนบ้าง แต่แนะนำเลยจริงๆ เป็นตลาดที่ของขายเยอะมาก ทั้งของกิน ของใช้ ของประทับตกแต่ง รวมถึงเครื่องเล่นต่างๆ เนื่องจากเรากินมาเยอะมากแล้ว ก็เลยทำได้แค่เดินดู และซึมซึบบรรยากาศกันไป ถ้าใครอยากเที่ยวตลาดคริสต์มาส เราว่าบรัสเซลส์ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยนะ
.
.
วันรุ่งขึ้นก็ไม่ต้องรีบร้อนมากเพราะเราเก็บที่เที่ยวหลักๆในเมืองครบหมดแล้ว ที่สำคัญคือรถไฟที่เราจะนั่งต่อไปยังอัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) จองไว้เป็นรอบประมาณบ่ายโมง เราลงไปหาอาหารเช้ากินง่ายๆ พักผ่อน แล้วก็นั่งรถใต้ดินไปยังสถานี Brussels Midi ซึ่งเป็นสถานที่ขึ้นรถไฟไปอัมสเตอร์ดัมของเรา ที่สถานีมีร้านอาหารให้เลือกมากมายหลายรูปแบบ อาหารเอเชีย ฝรั่ง หรือ fastfood เราก็กินข้าวเที่ยงกันที่นี่แหละ แล้วก็ซื้อเสบียงติดไม้ติดมือไปนิดหน่อยสำหรับบนรถไฟ เพื่อนชาวเนเธอร์แลนด์ของเราบอกว่าเส้นทางรถไฟจากบรัสเซลไปเนเธอร์แลนด์สวยใช้ได้เลย เดี๋ยวเราจะไปดูกันว่าวิวบนรถไฟเป็นยังไงบ้าง
.
.
[CR] Christmas Trip EP. 3 | บรัสเซลส์ (Brussels)
วันนี้เราจะมาเล่าถึงจุดหมายปลายทางถัดไป นั่นก็คือ บรัสเซลส์ (Brussels)!
.
เริ่มต้นทริปมาก็เป็นเดินทางที่แสนเหน็ดเหนื่อย ทันทีที่ลงรถบัสก็รีบคว้ากระเป๋าและตรงไปยังโรงแรมที่จองไว้ เราจองโรงแรมผ่านทาง Booking.com ชื่อว่า Max Hotel หาไม่ยากและไม่ไกลจากสถานีรถไฟ ระบบโรงแรมมีความคล้ายโฮสเทล ไม่ยุ่งยากซับซ้อน มีห้องกลางไว้สำหรับทานข้าวและพักผ่อนเหมือนโฮสเทล แต่ห้องพักก็คือใหญ่มาก และได้วิวดีในราคาย่อมเยา ที่สำคัญคือเราพักที่นี่ถึงสองคืน หลังจากจัดการเก็บกระเป๋า เราก็รีบเดินไปหาซุปเปอร์มาร์เก็ตสำหรับอาหารมื้อค่ำ ระหว่างทางเราเจอร้าน Kebab มีแววน่าสนใจ เลยเดินไปซื้อน้ำและขนมที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตก่อนจะกลับมาแวะสั่งอาหารชุดใหญ่ไปนั่งกินที่โรงแรม ไม่แน่ใจว่าเพราะหิวรึเปล่า แต่เป็นมื้อที่อร่อยและประทับใจมาก อิ่มหนำสำราญนอนหลับสบาย
.
อย่างที่บอกว่ากฎของการเที่ยวบรัสเซลส์ของเราในครั้งนี้คือต้องไม่เหนื่อย และจะไม่รีบ ฉะนั้นกว่าจะได้ออกไปเที่ยวจริงๆก็เกือบเที่ยง เราปักหมุดสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในเมืองเฉพาะระยะทางที่เดินเท้าได้ (ที่เหลือก็คือตัดทิ้ง) ซึ่งก็จะเหลือประมาณนี้ Grand-Place, Saint Michael Cathedral, Mont Des Arts, Place Royale, Manneken Pis, Jeanneke Pis เนื่องจากเราออกเดินทางกันค่อนข้างสาย ในเมืองก็เริ่มคึกคักพอสมควร ยังไม่ทันจะได้ไปไหนเราก็เจอกับเจ้าเครื่องเล่นใจกลางเมืองเหมือนเป็นการวัดอารมณ์ความรู้สึกของเราผ่านหน้าตา สนุกสนานกันไป
.
ทันทีที่เราเริ่มเข้าไปในโซนท่องเที่ยว เราก็พบกับร้านช็อกโกแลตกับร้านวาฟเฟิลเรียงรายสองข้างทาง เลือกไม่ถูกเลยว่าจะเข้าร้านไหนดี เราเดินไปเรื่อยๆจนสะดุดกับร้านช็อกโกแลตน่ารักๆ เหมาะเจาะกับอากาศที่หนาวเย็น และจู่ๆก็อยากได้ช็อกโกแลตร้อนมาอบอุ่นร่างกายสักแก้ว (ข้ออ้าง) ก็เลยได้นั่งพักชิวๆ แต่ช็อกโกแลตที่นี่อร่อยใช้ได้เลยนะว่าไม่ได้!
.
เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาล เราพอจะเดาได้เลยว่าเรากำลังจะถึงสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต เพราะคนเริ่มเบียดเสียด จนบางทีก็ต้องค่อยๆเดินไหลไปตามคน และเราก็มาถึงกร็องปลาส (Grand Place) จนได้ ตรงลานกว้างพอมีพื้นที่ให้เราได้ชื่นชมความสวยงามของสถาปัตยกรรมและถ่ายภาพบรรยากาศกันสักพักใหญ่ เราค่อนข้างจะหวาดระแวงกับการอยู่ในพื้นที่ที่คนเยอะๆและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลังจากเจอมิจฉาชีพที่ปารีสไปเมื่อต้นปีก่อน เราเดินต่อไปเพื่อไปหา Manneken Pis ที่โด่งดังของบรัสเซลส์ พอไปถึงจริงๆก็คือเกือบจะเดินผ่านเลยไป เพราะมองไม่เห็น น้องตัวเล็กกว่าที่คิดไว้เยอะมาก แถมพื้นที่สำหรับถ่ายรูปก็ไม่ได้เยอะเมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาดูน้อง
.
เดินมาจนหิว ก็เริ่มเสิร์ชหาร้านอาหารที่ขึ้นชื่อของบรัสเซลส์ เค้าว่ากันว่าต้องมากินหอย โดยเฉพาะเจ้า Mussels ที่เราลองกินที่ฝรั่งเศส และสก็อตแลนด์ไปแล้ว แต่คราวนี้เราจะมาลองกันที่เบลเยียมว่ามันจะต่างกันมากน้อยแค่ไหนเชียว เราเดินไปตามลายแทงร้านในกูเกิ้ลและพบว่าคนต่อแถวยาวออกมานอกร้าน แม้ว่ากฎของทริปคือเราจะไม่รีบ แต่เมื่อเราหิว เราก็เดินเข้าร้านฝั่งตรงข้ามที่ก็ดูน่ากินไม่แพ้กัน ที่สำคัญราคาเหมือนจะถูกกว่านิดหน่อย พนักงานน่ารักมาก การจัดโต๊ะก็มีความคล้ายฝรั่งเศสที่เอากระดาษมาปูโต๊ะสำหรับใช้ครั้งเดียวทิ้ง มีจุดเทียนบนโต๊ะให้ด้วยเพิ่มบรรยากาศโรแมนติก เราสั่งเป็น Mussels with fries และ Lobster soup เนื่องจากรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะไม่สบาย ต้องรีบอบอุ่นร่างกายเพราะจะต้องไปลุยอีกหลายที่เลย โดยรวมอาหารอร่อยมาก Mussels รสชาติดี แต่เอาจริงๆก็ไม่ได้รู้สึกว่าต่างจากที่เคยกินมาเท่าไร ส่วน Lobster soup หอมมาก หวาน เหมาะมากกับวันอากาศหนาวๆแบบนี้
.
หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จเราก็เดินแวะไปหาน้องสาวของ Manneken Pis ก็คือ Jeanneke Pis น้องแอบอยู่ในตรอกเลยแหละ คนไม่เยอะเท่ากับ Manneken Pis แต่ถ่ายรูปค่อนข้างยากเพราะน้องอยู่ในกรงเหล็กอีกทีนึง
.
กฎที่เราตั้งขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างของการมาเที่ยวบรัสเซลส์ครั้งนี้ก็คือเราจะต้องได้กินวาฟเฟิล เนื่องจากมันมีร้านให้เลือกเยอะมาก และเราเองก็ยังอิ่มจากอาหารกลางวัน แต่ยังไงก็ต้องกินให้ได้ เราเลยเสิร์ชหาร้านดังจากกูเกิ้ล เพราะถ้าจะต้องอ้วนทั้งที ก็ขอกินอันที่เค้าว่าเด็ดกันหน่อย เจอหลายร้านเลยทีเดียว แต่เราสะดุดกับร้าน Maison Dandoy เพราะจำได้ว่าเคยเดินผ่านมาแล้วและเห็นว่ามีคนเยอะใช้ได้ เราเลยเลือกร้านนั้นและเดินย้อนกลับไป แม้ว่าคิวจะยาวออกมานอกร้าน แต่เราเล็งแล้วว่าแต่ละคนใช้เวลาไม่นาน คิวผ่านไปค่อนข้างเร็ว เราเลยยอมต่อคิว และเป็นอย่างที่คิดจริงๆ ใช้เวลาไม่นานเลย ระหว่างรอก็คือดมกลิ่นวาฟเฟิลหอมๆไป แม้ว่าจะอยากลองทั้งแบบ Brussels waffle and Liege waffle แต่ด้วยความอิ่ม และมีคนไม่ชอบกินของหวาน เราจึงมีโอกาสสั่งได้แค่หนึ่งชิ้น เราเลือกสั่ง Liege waffle มาเพราะคิดว่า Brussels waffle อาจจะพอหาได้ใกล้ๆที่พักวันพรุ่งนี้หรือคราวหลัง เลือก topping เป็นวิบครีม ทันทีทีตักเข้าปากก็คือ อือหือออออออ (ลากเสียงเพื่ออรรถรส) มันอร่อยมากจริงๆ เข้าใจแล้วว่าทำไมวาฟเฟิลที่นี่ถึงขึ้นชื่อ หอมมาก กรอบนอกนุ่มใน ไม่เลี่ยนเลย แถมกินกับวิบครีมก็คือเข้ากันสุดๆ กินหมดภายในเวลาไม่ถึงสองนาที (และคนที่บอกว่าไม่กินของหวานก็ลงความเห็นว่ามันอร่อยมากจริงๆ)
.
หลังจากเดินชมเมืองกันจนครบตามลิสต์ เราก็ไปมุ่งหน้าไปยังตลาดคริสต์มาสซึ่งเป็น a must ของการมาบรัสเซลส์ในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นเมืองท่องเที่ยว ตลาดคริสต์มาสก็ยังคงคึกคักอยู่ และใหญ่โตมากเลยทีเดียว เราเริ่มจากตลาดย่อมๆรอบโบสถ์ก่อนด้วยเครื่องดื่มขึ้นชื่อของที่นี่ เดินเข้าไปสั่ง Genever มา 1 ช็อต เลือกมาเป็นวานิลลา มันก็คือเหล้าช็อตรสวานิลลา หอม อร่อยเลยแหละ แต่ก็จะร้อนๆคอหน่อย เราเดินต่อมาอีกร้านเจอกับสิ่งล่อตาล่อใจให้ลอง มันคือ Jagermeister ที่มาในหลอดทดลอง แต่เราก็สั่งไม่เป็นเลยชี้ๆเอาทำให้สุดท้ายได้มาสองหลอดเลย อันนี้ขอเตือนทุกคนว่าให้ลองหลอดเดียวก่อน เพราะเราไม่ชอบเลย รสชาติแย่มากเหมือนยาแก้ไอ ทำลายช็อต Genever ก่อนหน้านี้ไปหมดเลย
.
เราเดินต่อไปยังตลาดคริสต์มาสอีกจุด ซึ่งเป็นตลาดเล็กๆน่ารัก ร้านที่ดึงดูดใจเราคือร้านแซลม่อน ที่ย่างแซลม่อนกันหน้าร้านหอมๆไปเลย อันนี้อร่อยมาก แซลม่อนสุกกำลังดี กลิ่นหอมมาก ที่สำคัญคือซอสอร่อยมาก เค้าเสิร์ฟมาคู่กับบาแกตต์
.
ตลาดคริสต์มาสของที่นี่ยังไม่หมด ไฮไลท์ก็คืออันสุดท้ายที่เราจะไปซึ่งใหญ่ที่สุด แค่มองเห็นจากข้างนอกก็ตื่นเต้นแล้ว ยังไม่ทันจะเดินไปไหนก็ต้องหยุดที่ร้านหอยทากร้านนี้ เราเคยกินหอยทาก หรือ Escagots ที่ฝรั่งเศส เป็นเมนูหอยทากอบเนย แต่ที่นี่คือเป็นหอยทากต้มซุป เอาจริงๆอยากกินอะไรอุ่นๆให้ชุ่มคอ ก็เลยลอง ปรากฎว่ามันอร่อยมาก ทึ่งมากจริงๆ รสชาติมันเหมือนต้มกระเพาะหมูบ้านเราเลย พริกไทยเข้มๆ น้ำซุปหอมๆร้อนๆ หอยทากกรุบๆ สุดยอดจริงๆ ไม่แน่ใจว่าปกติหากินได้ที่ไหนบ้าง แต่แนะนำเลยจริงๆ เป็นตลาดที่ของขายเยอะมาก ทั้งของกิน ของใช้ ของประทับตกแต่ง รวมถึงเครื่องเล่นต่างๆ เนื่องจากเรากินมาเยอะมากแล้ว ก็เลยทำได้แค่เดินดู และซึมซึบบรรยากาศกันไป ถ้าใครอยากเที่ยวตลาดคริสต์มาส เราว่าบรัสเซลส์ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยนะ
.
วันรุ่งขึ้นก็ไม่ต้องรีบร้อนมากเพราะเราเก็บที่เที่ยวหลักๆในเมืองครบหมดแล้ว ที่สำคัญคือรถไฟที่เราจะนั่งต่อไปยังอัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) จองไว้เป็นรอบประมาณบ่ายโมง เราลงไปหาอาหารเช้ากินง่ายๆ พักผ่อน แล้วก็นั่งรถใต้ดินไปยังสถานี Brussels Midi ซึ่งเป็นสถานที่ขึ้นรถไฟไปอัมสเตอร์ดัมของเรา ที่สถานีมีร้านอาหารให้เลือกมากมายหลายรูปแบบ อาหารเอเชีย ฝรั่ง หรือ fastfood เราก็กินข้าวเที่ยงกันที่นี่แหละ แล้วก็ซื้อเสบียงติดไม้ติดมือไปนิดหน่อยสำหรับบนรถไฟ เพื่อนชาวเนเธอร์แลนด์ของเราบอกว่าเส้นทางรถไฟจากบรัสเซลไปเนเธอร์แลนด์สวยใช้ได้เลย เดี๋ยวเราจะไปดูกันว่าวิวบนรถไฟเป็นยังไงบ้าง
.
ถ้าใครสนใจทริป 5 ประเทศ 8 คืนของเรา สามารถเข้าไปอ่านได้ที่..
EP 0 | overall https://ppantip.com/topic/39563473
EP 1 | สตราสบูร์ก Strasbourg https://ppantip.com/topic/39579119
แล้วก็ขออนุญาตฝากเพจ https://www.facebook.com/hareung/ ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้