จานโปรดของบุคคลสำคัญในอดีต

ของกินระดับตำนานหรืออาหารชั้นเลิศที่ขึ้นโต๊ะบุคคลสำคัญในอดีต ในยุคนั้นหลายๆอย่างเป็นของหายาก  ในสมัยก่อนที่การคมนาคมไม่สะดวกนั้น วัตถุดิบเป็นของที่ต้องลงทุน, ลงแรง และ “ลงชีวิต” เสี่ยงตายอีกมหาศาล อย่างการขนหิมะจากยอดเขาสูงที่ต้องพาแรงงานทาสไม่รู้เท่าไรไปขนลงมา เพื่อความอร่อยชั่วคราวด้วยการเอามาปรุงไอศกรีมหวานเย็นในยุคแรก ทั้งคนทั้งม้าที่ต้องตายไประหว่างทาง

นโปเลียน จักรพรรดิแห่งเฟิร์สเอ็มไพร์ของฝรั่งเศส 


ขอบคุณภาพจาก http://seabritain2005.com/napoleon-bonaparte-จักรพรรดิผู้เจนศึก/#page-content

พระองค์มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลกทั้งการเป็นนักรบ, นักรัก และขอเพิ่มเรื่อง “นักกิน” เข้าไปด้วย ดังที่มีวลีทองที่เชื่อกันว่ามาจากพระองค์คือ “กองทัพเดินด้วยท้อง” ซึ่งเรื่องนี้แม้ไม่มีข้อยืนยันในประวัติศาสตร์ แต่ถ้าเป็นจริงตามนั้น ท้องของกองทัพนโปเลียนคงเป็นท้องที่เบาหวิวที่สุด ด้วยกองทัพของพระองค์ไปที่ไหนก็ต้องไปปล้นสะดมเขาขนานใหญ่ ไม่เว้นแม้หมู่บ้านจนๆ จนกลายเป็นเหมือนกองทัพผู้หิวโหย

แต่ตัวนโปเลียนเองทรงโปรดพระกระยาหารหรู ดังที่นักประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ถึงเครื่องเสวยที่ตั้งโต๊ะถวายว่าจะต้องมีขนมปังขาว, ฌองเบอร์แต็ง (ไวน์ระดับกรังด์กรู), เนื้อวัวหรือแกะอย่างดี และข้าวที่หุงอย่างดีกับธัญพืชหรือถั่วเล็นติล (ธัญพืชหน้าตาคล้ายถั่วเขียว)
 
มหาดเล็กส่วนพระองค์นั้นก็ได้เขียนไว้ว่า เจ้านายของเขากินเช่นเดียวกับทหารนายอื่นๆ ส่วนสิ่งที่ถือเป็น “ของโปรด” ก็คือ “ไก่อบ” ซึ่งถือเป็นสิ่งขาดไม่ได้ ในวังตุยเลอรีส์ที่ประทับนั้น ทางห้องเครื่องจะต้องมีไก่เสียบเหล็กอบอยู่ไว้ไม่ให้ขาด เผื่อเวลาพระจักรพรรดิทรง “หิวปุบปับ” ขึ้นมา โดยในเรื่องความโปรดระกาโภชน์ของนโปเลียนนี้ มีเรื่องเล่าคือ เมื่อครั้งบุกอียิปต์ ในภารกิจที่ยอดขุนทัพพระองค์นี้ขี่ม้าไปสำรวจคอคอดสุเอซ (ตอนนั้นยังไม่ตัดเป็นคลอง) พระองค์ทรงห่อไก่อบไปเป็นเสบียงถึง 3 ตัว

หยางกุ้ยเฟย


ขอบคุณภาพจาก https://www.thairath.co.th/content/448370

พระสนมที่งามล้นจนให้เป็น 1 ใน 4 สาวงามของจีน ซึ่งคำว่า “กุ้ยเฟย” นั้นไม่ใช่ชื่อแต่เป็นตำแหน่งพระสนมเอก โดยนางมีเรื่องราวผลไม้ฉ่ำน้ำจากแดนมังกรนี้มีชื่อเล่นที่คนจีนเรียกว่า “ยิ้มแห่งพระสนม” อยู่ว่าฮ่องเต้ถังเสวียนจงทรงลุ่มหลงในความงามของนางที่ว่ากันว่าดับรัศมีสตรีอื่นในราชสำนักไปเสียสิ้น ก็สวยถึงขนาดที่ทำให้องค์ฮ่องเต้ถึงกับใช้อุบายชิงมาจากสามีของนาง ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพระโอรสของพระองค์นั่นเอง

เลดี้หยางนั้นถูกพะเน้าพะนออย่างที่สุด โดยนางมีพื้นเพมาจากทางใต้ของจีน ซึ่งผลไม้โปรดอย่างหนึ่งก็คือ “ลิ้นจี่” แต่ในราชสำนักที่อยู่ทางเหนือนั้น ลิ้นจี่เป็นของหายากยิ่ง จึงทำให้องค์ฮ่องเต้ผู้ทรงปรารถนาจะยล “แย้มสรวลแห่งโฉมสะคราญ” บัญชาให้ส่งม้าเร็วลงใต้ไปนำลิ้นจี่มาถวายให้ทันเวลา โดยมิไยว่าจะเปลืองชีวิตม้าและคนไปเท่าใดก็ตาม เพียงเพื่อให้คนงาม “ยิ้ม” ได้ ฮ่องเต้ก็ทรงยอม

ซูสีไทเฮา


ขอบคุณภาพจาก https://www.silpa-mag.com/culture/article_22877

นางพญาหลังม่านไม้ไผ่ที่ได้ชื่อว่าถี่ถ้วนกับเรื่องกินเป็นอย่างยิ่ง บนโต๊ะเสวยในแต่ละมื้อจักต้องมีพระกระยาหารแตกต่างกันไปถึง 150 ชนิด โดยวิถีชีวิตของพระนางซูสีไทเฮานี้เดิมทีก็เริ่มจากสามัญชนที่พาตัวเองไต่เต้าเข้าไปสู่วังพญามังกรจนได้สิทธิ์ขาดบัญชาโอรสสวรรค์อย่างเบ็ดเสร็จ ซึ่งอำนาจของพระนางซูสีที่ล้นแผ่นดินจีนนี้จึงทำให้สามารถสั่งให้สรรหาสิ่งต่างๆมาปรนเปรอได้ โดยเรื่องของอาหารนั้นไม่ใช่ปัญหาแม้แต่น้อย เพราะในพระราชวังต้องห้ามมีแผนก ห้องเครื่องที่ใช้งบประมาณมหาศาลโดยแบ่งเป็น 5 ครัวย่อย ได้แก่ ครัวเนื้อ, ครัวมังสวิรัติ, ครัวข้าวและเส้น, ครัวของว่าง และสุดท้ายคือครัวของหวาน
พระกระยาหารที่ปรุงถวายซูสีไทเฮาเสวยพร้อมด้วยฮ่องเต้นั้นจะคัดสรรมาจากวัตถุดิบอย่างดีจากทุกทิศของประเทศ ซึ่งข้าราชการตามหัวเมืองจะเป็นผู้ส่งมา และถ้าเสด็จแปรพระราชฐานออกนอกวังก็จะต้องยกพลชาววิเสททั้งหลายจากห้องเครื่องตามไปเป็นขบวนด้วย

มีสิ่งที่บันทึกไว้ว่าเป็น “ของโปรด” นางพญาแมนจูนี้อยู่ทั้งคาวหวาน เช่น ขนมจีบที่แผ่นแป้งต้องบางเหมือนกระดาษ ไส้ต้องอร่อยกลมกล่อม โดยถูกนึ่งมาอย่างกำลังดี ซึ่งมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ “เปลี่ยนมือ” แล้วรสไม่ถึง พ่อครัวจึงถูกสั่งโบย ถัดมาคือ “ผัดรวมมิตร” ที่ฟังดูแล้วชวนให้นึกถึงผัดโป๊ยเซียน เพราะประกอบไปด้วย เนื้อสันในนุ่ม, เนื้อปลา, เซ่งจี๊ และกุ้งสด ที่ผัดโดยใช้พ่อครัวมือฉมังที่ยังคงเก็บโอชะในเนื้อเหล่านั้นไว้ได้ โดยที่ผัดนั้นไม่มันจนเกินไป พ่อครัวรายนี้ถูกพระทัยมากจนตั้งให้เป็น “ผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งกระทะร้อน”

มีผักอีกอย่างที่ซูสีโปรดปรานคือ “ถั่วงอก” แต่ด้วยเป็นเมนูของสตรีหมายเลข 1 ทั้งที ต้องไม่ธรรมดา จึงได้จัดการให้ “ยัดไส้” ด้วยหมูหรือไก่สับแล้วนำไปนึ่ง โดยต้องเอาลวดทองแดงมาแทงให้เกิดโพรงตรงกลางต้นถั่วเล็กๆ จนใส่ไส้ลงไปได้ ยังไม่รวมอาหารจากห้องเครื่องเฉพาะของพระนางที่เรียก “ห้องเครื่องอายุวัฒนะ” ที่พระราชวังฤดูร้อนริมทะเลสาบอีกนะครับ ซึ่งมีหน้าที่เตรียมอาหารโป๊วประเภทบำรุงที่คนจีนเชื่อกันว่าดี อย่างอุ้งเท้าอูฐ, อุ้งตีนหมี, หูฉลาม, รังนก และอื่นๆ 

สตาลิน 


อาหารโปรดที่ขึ้นโต๊ะของบุรุษเหล็กแดนหมีขาวท่านนี้ก็คืออาหารแบบ “จอร์เจียนสไตล์” ที่ดูแล้วก็เป็นอาหารสุขภาพดี เพราะ ประกอบไปด้วย วอลนัท, กระเทียม, ลูกไหน, ทับทิม และไวน์ เช่น เมนูหนึ่งที่โด่งดังของ จอร์เจียคือ “ชาคาปูลี” เป็นสตูว์แกะหรือเนื้อลูกวัวกับหัวหอม, กระเทียมและไวน์ ขาว 
สตาลินชอบกินอาหารแบบจอร์เจียนง่ายๆ ที่นั่งกินแบบปิกนิกก็ได้ โดยเฉพาะเวลาไปพักที่ “ดัชชา” ซึ่งเป็นบ้านตากอากาศที่คนรัสเซียรู้จักดี
โดยสตาลินมีเชฟส่วนตัวที่ไว้ใจอยู่คนหนึ่งนามว่า “สปิริดอน ปูติน” ซึ่งฟังดูแล้วนามสกุลคุ้นๆไหม  ซึ่งพ่อครัวท่านนี้คือคุณปู่ของวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำคนปัจจุบันของรัสเซียนั่นเอง
ขอบคุณภาพจาก https://sites.google.com/site/worldwar2importantpeople/bukhkhl-sakhay-ni-sngkhramlok-khrang-thi-2-co-sef-s-ta-lin

ฮิตเลอร์


ถ้าจะบอกว่าใครสักคนกำหนดอาหารในชีวิตของตัวเองด้วย “อุดมการณ์” ก็ต้องเป็นท่านนี้เอง ด้วยความเชื่อในแนวอุดมคติต่อสุขภาพ ฮิตเลอร์จึงได้บำเพ็ญตนรับประทาน “มังสวิรัติ” อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด ซึ่งอาหารที่ขึ้นโต๊ะท่านผู้นำแห่งไรช์ที่ 3 นั้น แทบไม่ต่างจากที่นายทหารอื่นๆรับประทานเลย จนบางทีอาจด้อยกว่าด้วยซ้ำ
เพราะฮิตเลอร์รับประทานเพียง “มันบด” กับ “ซุปใส” แก้ติดคอเท่านั้น ทว่าด้วยความที่เป็นผู้นำซึ่งถูกหมายปองชีวิตมานับครั้งไม่ถ้วน กรรมวิธี “ก่อนกิน” จึงสำคัญกว่าอาหารมาก เพราะฮิตเลอร์มี “ทีมชิมอาหาร” ถึง 15 นาย ที่เป็นด่านหน้ากินของทุกสิ่งก่อนท่านผู้นำราว 45 นาที ซึ่งถ้าไม่มีใครตายก็เป็นอันว่าใช้ได้
อย่างไรก็ดี แม้ในภายหลังจะมีข้อมูลเสริมมาว่า ฮิตเลอร์ไม่ได้เป็นมังสวิรัติอย่างเคร่งครัดอย่างที่คิด โดยมังสาสิ่งที่จอมคนท่านนี้กินก็มีนกพิราบ, ลูกชิ้นตับ (ลีเบอร์โนเดิล), คาเวียร์ และปลาเทราท์ราดบัตเตอร์ซอส แต่ก็ไม่ได้ห่างไกลจากสิ่งที่เรียกว่าอาหารสุขภาพนัก
ส่วนอาหารโปรดของฮิตเลอร์นั้นก็ไม่ได้หรูหราราคาแพง เป็นเพียง “แป้งต้ม” กับไข่กวนและสลัดอีกชามหนึ่ง โดยแป้งต้มนี้เป็นอาหารแบบเวียนนาที่เรียกว่า “เอียร์น็อกเคิล”
ขอบคุณภาพจาก https://www.silpa-mag.com/this-day-in-history/article_1415

อีดี้ อามิน


อดีตผู้นำแห่งยูกันดา ด้วยบุคลิกภาพและนิสัยที่ไม่เหมือนใคร อาหารของอีดี้ก็อาจไม่เหมือนใคร  เพราะมีข่าวลือว่าอีดี้กินเนื้อคน ซึ่งเรื่องนี้ก็มีเค้าความจริงอยู่ แต่ไม่ใช่การกินแบบเอาจริงเอาจัง หากเป็นการกินเพื่อ “เอาเคล็ด” ตามความเชื่อแบบชนเผ่าในแอฟริกัน คือเมื่อครั้งที่ยังไม่ขึ้นมากุมอำนาจเบ็ดเสร็จ อีดี้ได้กรุยทางของตัวเองด้วยการปฏิวัติประธานาธิบดีคนเก่า แล้วสังหารศัตรูทางการเมืองเสียจนหมดเสี้ยนหนาม ก่อนจะตามไปยังห้องเก็บศพ แล้วดื่มเลือดจากร่างศัตรู ด้วยความเชื่อที่ว่าจะสยบดวงวิญญาณของผู้เป็นปรปักษ์ได้ ซึ่งเรื่องนี้มาจากปากคำของอดีตรัฐมนตรีสาธารณสุข ซึ่งได้เล่าว่าอีดี้เคยคุยโอ่เรื่องการกินเนื้อคน

ในยุคแห่งความโหดร้ายของอีดี้ อามิน ในยูกันดานี้กินเวลาถึง 8 ปี ทำให้แผ่นดินลุกเป็นไฟ มีความขัดแย้งกันรุนแรงจนทำให้พลเรือนต้องสังเวยชีวิตไปกว่า 300,000 ราย ครั้นเมื่อสิ้นอำนาจออกไปอยู่นอกประเทศ อีดี้ก็ยังคงรักษาพฤติกรรมการกินแบบ “ระห่ำ” ของเขาเอาไว้ โดยของโปรดที่ชื่นชอบก็คือเนื้อแกะ, มันสำปะหลัง, ขนมปัง และส้มถึงวันละ 40 ผล  ซึ่งเหตุผลของการกินส้มนี้อีดี้เชื่อว่าจะเป็น “ไวอากร้าธรรมชาติ” ที่ช่วยบำรุงตัวเขาได้

นอกจากนั้น เขายังชอบสั่งอาหารฟาสต์ฟู้ดอย่างพิซซ่าและไก่ทอดเคเอฟซีมารับประทานด้วย เนื่องจากตอนหนุ่มๆอีดี้เคยประจำการในกองทัพอังกฤษที่ควบคุมเคนยาและยูกันดาจึงทำให้อีดี้ชอบจารีตการกินและดื่มแบบเมืองผู้ดี โดยเฉพาะการจิบชายามบ่าย

มุสโสลินี


ขอบคุณภาพจาก https://world.kapook.com/pin/56862c704d265a4af58b4573

ท่านดูเช่แห่งอิตาลี เป็นผู้ที่มีความรักชาติอย่างแรงกล้า ซึ่งอาหารที่ท่านโปรดปรานก็ต้องเป็นอาหารอิตาเลียน ซึ่งเป็นอาหารแบบสุขภาพเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนเมนูเด็ดของมุสโสลินีก็เป็นอาหารง่ายๆ คือ สลัดผักใส่กระเทียมหั่นตามประสาคนอิตาเลียนที่ชอบกระเทียมราดด้วยน้ำมันมะกอกใส่น้ำมะนาวลงไป 
ซึ่งในเรื่องกระเทียมนี้ท่านมุสโสลินีชอบมาก โดยเฉพาะ “กระเทียมดิบ” อดีตภริยาของท่านเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าสามีที่รักรับประทานกระเทียมสดทั้งชามสลัดอยู่บ่อยครั้ง ด้วยมุสโสลินีเชื่อว่าดีกับหัวใจตัวเอง แต่เรื่องกลิ่นนั้นผู้เป็นคู่ชีวิตถึงกับบอกว่า “ไม่อาจอยู่ใกล้ๆได้หลังมื้ออาหาร” เลยทีเดียว
มุสโสลินีถือว่าอาหารแต่ละมื้อไม่ควรใช้เวลาจัดการเกิน 3 นาที ดังนั้นท่านจึงว่ามนุษย์ทุกคนควรใช้เวลากินอาหารสามมื้อต่อวันไม่เกิน 10 นาทีเท่านั้น 

ที่มาโดย : นพ. กฤษดา ศิรามพุช   ทีมงานนิตยสาร ต่วย'ตูน
Cr.https://www.thairath.co.th/content/683186 
Cr.https://waymagazine.org/dictator_dinners/ โดย รุ่งฤทธิ์ เพ็ชรรัตน์
ขอขอบคุณข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่