[SR] Le Du ร้านอาหารระดับมิชิลิน [SR]

สวัสดีครับ ก่อนอื่นผมขออนุญาตแนะนำตัวคราวๆ นะ คับ ผมเป็น 1 ใน 2 สมาชิกที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วม รีวิวอาหารร้าน Le Du ร้านอาหารของหนึ่งในกรรมการจากรายการสุดฮิตในขณะนี้  Top Chef Thailand ครับ 

ก่อนจะเริ่มการรีวิวคงต้องขอขอบคุณ ppantip.com และรายการ Top Chef Thailand  จากช่องวัน 31 และ เชฟต้น มา ณ ที่นี้ครับ

คงต้องบอกว่าดีใจมากที่ได้รับเลือกเข้ากิจกรรมนี้เพราะ ร้าน อาหาร Le Du หรือ ฤดู นั้น ไม่ใช่ร้านอาหารระดับธรรมดาเลย เพราะได้รับการการันตีด้วย 1 Michelin Star มาถึง 2 ปีซ้อน แถมยังได้รับการจัดอันดับให้เป็น Asia’s 50 Best Restaurant อีกด้วย สำหรับผมเองเคยทานอาหารที่ร้าน Le Du แล้ว 2 ครั้ง ซึ่งทั้ง 2 ครั้ง​ ผมก็ประทับใจทั้งในรสชาติอาหาร การจัดจาน รวมถึงการบริการ แต่โพสนี้ผมคงจะ รีวิวจากการที่ไปกับ Pantip เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2563 เท่านั้นครับ

อาหารของร้าน Le Du นั้นจัดเป็นอาหารฝรั่ง ที่ใช้แรงบันดาลใจจากอาหารไทย เรียกได้ว่ารสชาติอาจจะคุ้นลิ้นเราๆ อยู่บ้าง แต่การจัดจานนั้นคงจะดูแปลกตาไป ส่วนรสชาติก็จะไม่เผ็ดจัดจ้านอย่างอาหารไทยนะครับ โดยบางจานอาจจะงงๆ ว่าเชฟเอาอาหารธรรมดาๆ อย่าง ข้าวขาหมู ข้างคลุกกะปิ หรือ คะน้าปลาเค็ม มาทำเป็นอาหารหรูๆ ได้ยังไงนะ
 
บรรยากาศในร้านโดยรวม จัดว่าค่อนข้างสบายๆ ใช้โทนสีขาวเป็นหลัก มีหน้าต่างที่สามารถส่องดูการทำงานของ เชฟและทีมงานได้ บรรยากาศโดยรวมจะไม่เป็นทางการมากนัก สามารถมาเป็น Business Dinner หรือมาสังสรรค์กับเพื่อน หรือมาเดทกับแฟนก็ยังได้



โดยปกติลูกค้าจะสามารถเลือกทานเป็น เมนูแบบ 4 หรือ 6 คอร์สได้ แต่มีข้อแม้ว่า ทุกคนที่ร่วมรับทานอาหารจะต้องทานจำนวนคอร์สที่เท่ากัน  เชฟต้นได้แนะนำว่ารายการอาหาร จะหมุนเวียนไปตามวัตถุดิบในแต่ละฤดู และผมตื่นเต้นมากตอนที่เชฟต้นบอกว่า วัตถุดิบส่วนใหญ่ที่ใช้ในร้านเป็นผลผลิตที่มาจากประเทศไทยของเรา บอกตรงๆ ผมภูมิใจที่ประเทศไทยมีผลผลิตที่มีคุณภาพมากมายที่สามารถนำมาทำอาหารอร่อยๆ​ ได้ โดยไม่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ สำหรับวันนี้ เชฟจัดเป็น แบบ 4  คอร์สมาให้ลองทานกัน

มาเริ่มกันเลยดีกว่า 

สำหรับอาหารจานแรกที่เสริฟ์มานั้นเป็​น​ Amuse-bouche หรืออาหารเรียกน้ำย่อย​ อาหารจานแรกที่เสริฟ์มา​ เป็น​ กระธงทอง​ ใส้มูสไก่รสชาติคล้ายๆ​ กะหรี่พัฟ​ส่วนยอดสีแดงๆนั้นเป็​น​ บีทรูทดอง​ อร่อยครับ​ บีทรูทดองทำหน้าที่คล้ายกับอาจาด​เปรี้ยวๆ​ หวานๆ​ ตัดกับไส้ไก่​ จานนี้น่ารักๆ ครับ สวยงามน่าเอ็นดู ขอเพิ่มได้มั้ยนะ อ้อ เชฟบอกมาด้วยว่าถั่วเขียวอย่าทานนะครับ เดี๋ยวปวดท้อง ยิ้ม



และอาหารจานที่​ 2 ก็คือ​ เมี่ยงปลากระพง​ กับยำส้มโอ​ เสริฟ์พร้อม​โฟมกะทิและขิง​ เชฟต้น​ นำปลากระพงจากปัตตานี​มา​ม้วน​ (Roulade)​ กับใบชะพลู​และนำไป​ Sous Vide เป็นเวลา​ 20​ นาที​ ซึ่งการใช้เครื่อง  Sous Vide นั้นจะยังคงรักษาคุณภาพของเนื้อปลาไว้ได้​เป็นอย่างดี​ สำหรับผมอาหารจานนี้ออกจะธรรมดาไปนิด​ ถ้ายำส้มโอเปรี้ยวและเค็มกว่านี้หน่อยก็คงจะอร่อยกว่านี้ครับ และสำหรับผมโฟมกะทิเหมือนจะไม่ต้องใส่มาก็ได้ ข้อเสียอีกอย่างของอาหารจานนี้คือมันถ่ายรูปยากจัง  (หรือเราถ่ายรูปแย่ก็ไม่รู้)


จานต่อมาเป็นอาหารเมนคอร์ส​จานแรกครับ กุ้งเผา​ กับข้างคลุกกะปิ​ จานนี้เชฟต้นบอกว่าเป็นอาหาร​​ Signature ของร้าน ที่จะมีอยู่ตลอดทั้งปี​ โดยกุ้งแม่น้ำเชฟจะสั่งมาจากจังหวัด​สุราษฎร์ธานีหรือนครศรีธรรมราช​เท่านั้น​ บนตัวกุ้งเผาจะมีไข่เจียวฟู​ และซอสหัวกุ้งต้มยำราดอยูบนตัวกุ้ง​ ส่วนตัวข้าวเชฟนำข้าวดำดอย​ มาทำเป็น​คลุกกับกะปิ​ ลักษณะ​คล้ายๆ​ Risotto และราดหน้าด้วยหมูหวาน​ รสชาติเข้มข้นมาก​ ข้าวที่เชฟเลือกใช้อาจจะออกมาแข็งๆ​ หน่อย​ แต่เวลาเคี้ยวก็ได้รสสัมผัส​ที่ดีครับ​ แต่บางคนอาจจะบอกว่าเคี้ยวจนเหนื่อย สำหรับผมอยากจะตินิดเดียว​ ขอกุ้งเพิ่มได้มั้ยอะ? 

ที่จริงเชฟได้บอกมาด้วยว่าถ้าอยากทานกุ้งเผาอร่อยๆ ให้ไปที่ทะเลสาปสงขลา กุ้งที่นั้นดีมากๆๆ


และอาหารเมนคอร์ส​จานที่ 2​ ถ้าคนที่ทานอาหารฝรั่งบ่อยๆ​ อาจจะบอกว่าก็คอหมูย่างกับสลัดและข้าวบาร์เลย์ หน้าตาธรรมดานิ​ แต่ขอผมบอกเลยว่าที่เด็ดมันอยู่ที่ซอสแกงอ่อมครับ​ รสชาติมันนัวมาก​ โดยเฉพาะเวลาทานกับมะเขือม่วงบดที่ใส่แมงดานามาด้วย​ ช็อค! แมงดานาเนี่ยนะ ใช่ครับ ตัวที่อยู่ในน้ำพริกนี่แหละ และในส่วนของข้าวบาร์เลย์เชฟได้นำไปผัดกับไส้อั่วที่ทางร้านทำขึ้นมาเอง ทำให้ตัวข้าวเข้ากับซอสอ่อมเป็นอย่างดี แอบคิดในใจเชฟต้นนี่ช่างกล้า​ นึกไม่ออกเหมือนกันเวลาพวกฝรั่งเค้าจะทานกันได้มั้ย และต้องบอกว่าตัวหมูย่างนั้นฟินมาก นุ่มและหอมกลิ่นเตาถ่านเป็นอย่างมาก จานนี้ ชอบอีกแล้วครับ 


และก็เดินทางมาถึงของหวานของเรา​ เชฟบอกกับผมว่าขนุนเป็นผลไม้ที่เชฟชอบมากที่สุด​ จึงนำมาทำเป็นอาหารจานนี้​ ไอศกรีมขนุน​ กับ​ ช็อคโกแลต​จากเชียงใหม่​ ไอศกรีมของเชฟต้นเนียนมากครับ ไม่มีเกล็ดน้ำแข็งอยู่เลย แถมรสของขนุนก็ยังเด่นชัดเหมือนกินขนุนจริงๆ​ และก็ไม่น่าเชื่อว่าขนุนจะกินกับ Chocolate​ Crumble แล้วเข้ากันนอกจากนี้เชฟยังเอาเมล็ดขนุนใส่ลงมาในอาหารจานนี้อีกด้วย​ เรียกว่าใช้ประโยชน์​จากทุกส่วนจริงๆ

หลายๆตนอาจจะสงสัยว่าบ้านเราปลูกช็อคโกแลตได้ด้วยเหรอ บ้านเราปลูกช็อคโกแลตกันหลายจังหวัดเลยนะครับ


จากการที่ได้พูดคุยและรับทานอาหารฝีมือของเชฟต้นในวันนี้ ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมร้าน Le Du ถึงได้ Michelin Star มาถึง 2 ปีซ้อน เพราะอย่างน้อยที่สุดผมว่าเชฟต้นทำได้ก็ 3-4 ข้อจากหลักเกณฑ์การให้คะแนนของมิชิลินแล้วแหละ  

หลักเกณฑ์การประเมิน 5 ประการของผู้ตรวจสอบของมิชลิน https://guide.michelin.com/th/th/michelin-guide-inspectors
1. คุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้
2. ความโดดเด่นของรสชาติและเทคนิคการทำอาหาร
3. เอกลักษณ์เฉพาะตัวของเชฟที่สะท้อนออกมาในอาหารและประสบการณ์ในมื้อนั้น
4. ความคุ้มค่าสมราคา
5. ความสม่ำเสมอ

โดยส่วนตัวผมคงจะมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยี่ยนเชฟต้นอีกครั้ง หากสมาชิกท่านใดสนใจที่จะตามไปชิม สามารถสำรองโต๊ะได้จาก Website ของทางร้าน http://www.ledubkk.com/ หรือโทรสอบถามได้ที่ (092) 919-9969 ได้เลยครับ การเดินทาง สามารถมาได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ว่าจะมาทาง BTS หรือขับรถมา ก็ได้
ร้านตั้งอยู่ที่ 99/3 ซอยสีลม  7 ถนนสีลม สามารถเดินเข้าจากทางถนนนราธิวาสได้ ถ้ามาทาง BTS ให้ลงที่สถานีช่องนนทรี ทางออกที่ 4 หรือหากสะดวกที่จะขับรถมาสามารถจอดรถได้ที่ Trinity Complex ก็ได้เหมือนกัน(มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)


สุดท้ายขอขอบคุณ ppantip.com และรายการ Top Chef Thailand  จากช่องวัน 31 และ เชฟต้น มาณ ที่นี้อีกครั้งครับ
ชื่อสินค้า:   Le Du Bangkok Restaurant
คะแนน:     

SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - ได้รับสินค้าหรือบริการมาใช้รีวิวฟรี โดยไม่ต้องคืนสินค้าหรือบริการนั้น
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่